ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 34 เขี้ยวหมาป่า VS เซเว่นคิล
ถึงแม้ว่าชายผู้สวมหน้ากากจะไม่รู้ว่าเย่เชียนเป็นผู้นำของกองกำลังทหารรับจ้างที่ถูกขนานนามว่าราชาหมาป่าเย่เชียนก็ตาม แต่เขารู้ว่าสมาชิกของเขี้ยวหมาป่านั้นไม่ง่ายเลยที่จะต่อกรด้วย
“ก็ได้… ฉันสัญญา!” ชายผู้สวมหน้ากากตอบอย่างเคร่งขรึม
“ตกลงตามนั้น!” เย่เชียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ชายผู้สวมหน้ากากมองเย่เชียนอีกครั้งก่อนจะหันหลังกลับไป…
“ดะ… เดี๋ยว…”
จ้าวเทียนห่าวกำลังจะอ้าปากเพื่อเรียกชายผู้สวมหน้ากากคนนั้น แต่เย่เชียนห้ามเขาไว้ด้วยการส่งสัญญาณมือพร้อมพูดเบา ๆ ว่า “เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลัวหยา!”
นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่ากฎขององค์กรเซเว่นคิลเป็นอย่างไร ชายผู้สวมหน้ากากถามเขาเพื่อต้องการดูว่าจ้าวเทียนห่าวเป็นคนที่ทรยศหักหลังจริงหรือไม่ ทว่าจ้าวเทียนห่าวกลับคิดว่าเขาเป็นลูกหลานของหลัวหยาและเต็มใจที่จะยอมตาย
จ้าวเทียนห่าวผงะไปชั่วครู่ เขาต้องการถามเย่เชียนว่าเขารู้ได้อย่างไร แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจไม่ถาม ขณะนั้นเย่เชียนก็หันหน้ามองจ้าวเทียนห่าวและพูดว่า “มันดึกแล้ว… ถ้าคุณไม่รังเกียจก็ไปที่บ้านของผมก่อนไหม ?”
เมื่อจ้าวเทียนห่าวเห็นสัญลักษณ์บนเครื่องแบบของเย่เชียน เขาก็ได้แต่จ้องมองอย่างว่างเปล่าเพราะไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มคนนี้จะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในบริษัทเทียนหยากรุ๊ปของเขาเอง มันจึงทำให้เขาตกตะลึงเล็กน้อย
“งั้นคงต้องขอรบกวนคุณด้วย…” เขาตอบกลับไป
จ้าวเทียนห่าวไม่มีท่าทีอวดดีแต่อย่างใด เขาได้ยินการสนทนาระหว่างเย่เชียนกับชายผู้สวมหน้ากากแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่กลัวความตายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ นอกจากนี้เขายังอยากรู้จักกับชายหนุ่มผู้นี้ที่สามารถสงบสติอารมณ์ได้แม้ต้องเผชิญหน้ากับนักฆ่า อีกทั้งยังสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่ยากเย็นด้วย แต่ในเมื่อเขามีความสามารถมากขนาดนี้ แล้วเหตุผลใดเล่าที่เขาเต็มใจมาทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยชั้นผู้น้อยในบริษัทเทียนหยากรุ๊ป
“ฉันยังไม่ทราบชื่อของคุณเลย… ฉันชื่อจ้าวเทียนห่าว” จ้าวเทียนห่าวพูดอย่างเป็นกันเอง
“ผม เย่เชียน” เย่เชียนตอบห้วน ๆ ตามแบบฉบับของเขา จากนั้นก็พูดต่ออีกว่า “ที่พักของผมอยู่ข้างหน้านี้เอง… ไปกันเถอะ!”
“คุณรู้จักกับนักฆ่าคนนั้นเหรอ ?” จ้าวเทียนห่าวถามด้วยความสงสัย
“คุณคิดว่าผมเป็นพวกเดียวกับเขาเหรอ ? คุณคิดว่าเราเพิ่งจะเล่นละครเพื่อตบตาคุณหรือยังไง ?” เย่เชียนตอบด้วยคำถาม
“ไม่ ๆ ๆ… ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน!” จ้าวเทียนห่าวรีบตอบ
“หากคุณต้องการฆ่าฉันจริง ๆ แล้วล่ะก็ มันไม่จำเป็นเลยที่คุณจะต้องลำบากเล่นละครพวกนี้… อีกอย่าง ฉันก็หนีไปไหนไม่พ้นอยู่ดี… ฉันแค่เห็นคุณทั้งสองคนดูเหมือนว่าจะรู้จักกันเฉย ๆ น่ะ”
เย่เชียนไม่ได้พูดชี้แจงอะไรเพิ่มเติม เพราะเขาเองก็คิดว่าสิ่งที่จ้าวเทียนห่าวคิดก็ไม่ผิดนัก เขาก็แค่ยิ้มเบา ๆ และพูดว่า “เราไม่เคยเจอกันมาก่อนและไม่รู้จักกัน… แต่เราเคยได้ยินเรื่องราวของกันและกันมา”
จ้าวเทียนห่าวค่อนข้างสับสนงุนงงกับคำตอบของเย่เชียน เพราะเมื่อครู่นี้ระหว่างที่เย่เชียนสนทนากับชายผู้สวมหน้ากากคนนั้น ทั้งสองก็ไม่มีใครเปิดเผยชื่อของตนเลย แล้วพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่ทว่าเย่เชียนไม่ต้องการที่จะอธิบายและเขาเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะถามอะไรมากไปกว่านี้ด้วย
“คุณเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเทียนหยากรุ๊ปเหรอ ?” จ้าวเทียนห่าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและถาม
“ใช่… และวันนี้ก็เป็นการทำงานวันแรกของผมด้วย” เย่เชียนตอบสบาย ๆ
“แล้วเป็นยังไงบ้าง ? คุณคุ้นเคยกับมันบ้างหรือยังล่ะ ? หึ ๆ ๆ” จ้าวเทียนห่าวถามพลางหัวเราะ
“มันค่อนข้างดีเลย… เงินเดือนก็ดี… อาหารก็ไม่เลว แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังดีอีก… ผมจะไปหาสิ่งดี ๆ เหล่านี้ได้จากที่ไหนอีกล่ะ ?” เย่เชียนตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูจริงใจ
“ด้วยทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมและความใจเย็นของคุณ คุณไม่รู้สึกเสียใจเหรอที่คุณได้เป็นแค่เพียงพนักงานรักษาความปลอดภัยชั้นผู้น้อย ?” จ้าวเทียนห่าวถาม ท่าทางของเขาดูเป็นกังวลเล็กน้อย
“ไม่เลย… มันยังพอมีโอกาสที่จะเติบโตอยู่ มันยอดเยี่ยมมาก และนอกจากนี้ผมก็ไม่มีภูมิหลังการศึกษาที่ดีหรือประสบการณ์ด้านอื่น ๆ ด้วย… ถ้าผมไม่ทำงานด้านรักษาความปลอดภัย ผมจะไปทำอะไรได้อีกล่ะ ?” เย่เชียนตอบอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่แท้จริงมักถูกซ่อนอยู่ในซอกหลืบ บางทีชายหนุ่มผู้นี้ที่อยู่ต่อหน้าเขาอาจจจะเป็นพรสวรรค์ที่ถูกซ่อนอยู่ในเมืองนี้ก็เป็นได้ ตัวเขาเองได้เห็นคนที่มีพรสวรรค์มาแล้วมากมาย แต่ไม่มีคนไหนที่มีทัศนคติดีเหมือนเย่เชียนมาก่อน จ้าวเทียนห่าวคิดกับตัวเองอยู่ในใจว่าถ้าเขาให้เย่เชียนมาเป็นผู้ติดตามของเขาล่ะก็ เย่เชียนจะต้องช่วยเขาได้มากแน่ ๆ
“ผมพักอยู่ที่นี่ครับคุณจ้าว” เย่เชียนเปิดประตูและทำท่าทางต้อนรับ “บ้านของผมมันโล่ง ๆ และเรียบง่ายหน่อยนะ ถ้าคุณจ้าวไม่รังเกียจก็เชิญเลยครับ!”
จ้าวเทียนห่าวหัวเราะและพูดว่า “ตอนที่ฉันเป็นเด็ก ฐานะที่บ้านก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นักหรอก ฉันก็อยู่แบบนี้เหมือนกัน เอาจริง ๆ ฉันชอบใช้ชีวิตที่เรียบง่ายมากกว่าหรู ๆ ซะอีก บ้านฉันสร้างด้วยคอนกรีตธรรมดา ๆ นี่แหละ และตอนแรกที่ฉันย้ายมาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้นี้ ฉันก็ยังเคยไปนอนใต้สะพานเลย… เย่เชียน คุณอย่าเรียกฉันว่าคุณจ้าวเลย ถ้าไม่รังเกียจก็ให้เรียกฉันว่า ‘ลุงจ้าว’ เถิด และฉันขอเรียกคุณว่า ‘นาย’ ก็แล้วกันนะ!”
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนจ้าวเทียนห่าวก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นเพียงการพบกันครั้งแรกของพวกเขา และมันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้คนอื่นสนิทสนมคุ้นเคยกับตัวเองเช่นนี้
“เอ้อ… พอดีว่าช่วงนี้พ่อผมป่วยและพักอยู่ที่โรงพยาบาล… งั้นคืนนี้ลุงนอนในห้องของพ่อผมก็แล้วกันนะครับ” เย่เชียนพาจ้าวเทียนห่าวไปที่ห้องของหยางเจียนกัวแล้วเปิดประตู
“ขอบใจนายมาก!” จ้าวเทียนห่าวตอบอย่างเกรงใจเล็กน้อย
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ครับ ลุงพักผ่อนเถอะ”
เมื่อเย่เชียนพูดจบ จ้าวเทียนห่าวก็เข้าไปในห้อง
……
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เชียนลุกออกจากเตียงแต่เช้า เขาตัดสินใจไม่ไปทำงานในวันนี้เพราะเขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่นักฆ่าจากองค์กรเซเว่นคิลจะปรากฏตัวอีกครั้ง เขาจึงไม่สามารถออกไปทำงานได้ หลังจากนั้นไม่นาน จ้าวเทียนห่าวก็ลุกขึ้นจากเตียง
หลังจากที่รอให้จ้าวเทียนห่าวยืดเส้นยืดสายเสร็จแล้ว เย่เชียนก็พูดขึ้นว่า “ลุงรอซักครู่นะครับ… ผมขอโทรไปหาที่ทำงานหน่อย”
“ตามสบาย” จ้าวเทียนห่าวพูดด้วยรอยยิ้ม เขายังคงสะลึมสะลือเพราะเพิ่งตื่นจากการนอน
เย่เชียนหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและกดหมายเลขในแผนกรักษาความปลอดภัยของบริษัทเทียนหยากรุ๊ป
“สวัสดีครับหัวหน้าเจิ้ง นี่ผมเอง เย่เชียน… พอดีว่ามีปัญหาเกิดขึ้นที่บ้านของผมนิดหน่อยน่ะ ผมขออนุญาตลาหยุดซักสามวันได้ไหม ?” เย่เชียนพูดขึ้นเมื่อเจิ้งซินรับสาย
“อะไรนะ ?! ขอลา! เย่เชียน นายเพิ่งมาทำงานได้แค่วันเดียวแต่จะขอลาแล้วเหรอ ?! จรรยาบรรณในการทำงานของนายแย่มาก! นายคิดว่าที่นี่คือที่ไหนกัน ?! บริษัทเทียนหยากรุ๊ปคืออะไรสำหรับนาย ห๊ะ ?! นายคิดว่ามันเป็นแค่สวนผักสวนปลาหลังบ้านของนายเหรอไง ? เอาล่ะ ถ้าวันนี้นายมาสายไม่ตรงเวลา นายก็ไม่ต้องโผล่หน้ามาทำงานอีก! เข้าใจไหม ?!” เสียงโกรธของเจิ้งซินทะลุผ่านทางโทรศัพท์
เมื่อวานนี้ ช่วงที่จวนจะถึงเวลาเลิกงาน เจิ้งซินได้ยินมาว่าเย่เชียนรังแกเลขาลี่และเขาก็วางแผนไว้ว่าจะสั่งสอนเย่เชียนในวันนี้ แต่เขาไม่คิดว่าเย่เชียนจะโทรมาขอลางาน เขาไม่สามารถพูดอะไรได้อีกนอกจากทิ้งท้ายเอาไว้แบบนั้น
เย่เชียนขมวดคิ้วและหงุดหงิดเล็กน้อยในขณะที่วางสายโทรศัพท์ เขาไม่ได้สนใจที่จะทำงานเท่าไรนัก เพราะเขาไปทำงานก็เพื่อให้พ่อรู้สึกโล่งใจเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำก็คือการปกป้องชีวิตของจ้าวเทียนห่าวเป็นเวลาสามวัน ในตอนแรกที่เขาช่วยจ้าวเทียนห่าวเป็นเพียงเพราะเขารู้สึกว่าชายคนนี้เป็นคนที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว ทว่าในตอนนี้ก็มีอีกเหตุผลหนึ่งเข้ามาร่วมด้วยคือ… นี่เป็นศักดิ์ศรีการเดิมพันระหว่างเขี้ยวหมาป่าและเซเว่นคิล หากเย่เชียนพ่ายแพ้ นั่นก็หมายความว่าเขี้ยวหมาป่าพ่ายแพ้เช่นกัน
เมื่อเห็นสีหน้าของเย่เชียนแล้ว จ้าวเทียนห่าวก็เดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น
“เย่เชียน… ขอฉันยืมโทรศัพท์หน่อยสิ…” จ้าวเทียนพูดพลางยิ้มเล็กยิ้มน้อย เขาหยิบโทรศัพท์ไปจากมือของเย่เชียน จากนั้นก็พยักหน้าให้และหันตัวเดินกลับไปไปในห้องพร้อมปิดประตู จากนั้นเขาก็โทรไปที่แผนกรักษาความปลอดภัยของบริษัทเทียนหยากรุ๊ปและพูดอย่างสุขุม
“ฉันคือจ้าวเทียนห่าว… ต่อสายเฉาต้าหัวให้ฉันที”
ผู้ที่รับสายคือเจิ้งซิน เมื่อเขาได้ยินคำพูดของจ้าวเทียนห่าว เขาก็งงเป็นไก่ตาแตก เขาดูที่หน้าจอโทรศัพท์อีกครั้งและเห็นว่ามันเป็นเบอร์ของเย่เชียนที่เพิ่งจะโทรมาก่อนหน้านี้เอง ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนใส่โทรศัพท์อย่างเดือดดาล
“ไอ้เวรเอ๊ย!!! ถ้าแกเป็นจ้าวเทียนห่าว ฉันก็เป็นพ่อของจ้าวเทียนห่าวล่ะวะ!!!”