ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 35 พวกพ้อง
“แกอย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใคร แกคิดว่าฉันโง่เหรอ ?! โชคดีที่วันนี้ฉันอารมณ์ดีเลยไม่อยากเถียงกับแก แต่ถ้าแกยังกล้าโทรมาอีกครั้งล่ะก็ ฉันจะฆ่าแกเอง!” เจิ้งซินตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด เขาไม่สนใจความจริงที่ว่าจ้าวเทียนห่าวตัวจริงคือคนที่ถือสายอยู่
จ้าวเทียนห่าวตกตะลึงไปชั่วขณะกับถ้อยคำด่าและคำสบถของเจิ้งซิน เพราะเขาคิดว่าบุคลากรทุกคนของบริษัทเทียนหยากรุ๊ปนั้นมีความประณีตในการทำงานและมารยาทเป็นเลิศ เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าฝ่ายรักษาความปลอดภัยจะมีบุคลากรอารมณ์ร้ายไร้มารยาทเช่นนี้อยู่ ถึงแม้ว่าตำแหน่งของแผนกรักษาความปลอดภัยจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรในบริษัท แต่มันก็เป็นภาพลักษณ์ของบริษัทเทียนหยากรุ๊ปเช่นกัน ไม่ว่าใครก็ตามที่พูดถึงเทียนหยากรุ๊ป สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงก็คือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นดั่งตัวแทนภาพลักษณ์ที่ดีของเทียนหยากรุ๊ป
จ้าวเทียนห่าววางสายไปอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นเขาจึงโทรไปยังเบอร์ของเลขานุการของเขา
“ฮัลโหล… นี่ฉันเอง จ้าวเทียนห่าว… รบกวนคุณช่วยส่งข้อความนี้ให้เฉาต้าหัว ผอ.ฝ่ายรักษาความปลอดภัย บอกเขาว่าให้เขาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ชื่อเย่เชียนลางานได้เป็นเวลาสามวัน แล้วบอกไปด้วยว่าเป็นการอนุมัติพิเศษของฉันเอง อ้อ… แล้วช่วยหาชื่อของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนที่เพิ่งจะรับสายฉันที่เบอร์แผนกของเขาเมื่อครู่นี้ด้วย!!!” จ้าวเทียนห่าวพูดด้วยความเกรี้ยวโกรธอย่างมาก
เลขานุการของเขาไม่เคยได้ยินเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน เขาได้แต่เช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตรงหน้าผากอย่างเป็นกังวลและคิดในใจว่าบุคลากรในองค์กรคนไหนกันที่กล้าไปกระตุ้นความเดือดดาลของเจ้านายได้ขนาดนี้ เขากำลังจะตอบรับทราบอย่างเคร่งครัดแต่จ้าวเทียนห่าวก็รีบวางสายไปเสียก่อน
เมื่อจ้าวเทียนห่าวเดินออกจากห้องมา เขาก็ยิ้มแห้ง ๆ และพูดกับเย่เชียนว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก… ฉันเพิ่งจะขออนุมัติให้นายลาหยุดไปน่ะ”
เย่เชียนทำตาโตและเขาก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า “ลุงลางานให้ผมเหรอ ?”
จ้าวเทียนห่าวพยักหน้าและตอบว่า “ใช่… ฉันสนิทกับประธานบริษัทของนายมาก แค่ทำให้นายได้หยุดซักสองสามวันมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับฉันเลย!” จ้าวเทียนห่าวขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ “แต่สิ่งที่ฉันกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือความปลอดภัยของลูกสาวฉัน ฉันเกรงว่าพวกนักฆ่ามันจะไม่มาหาฉัน แต่กลับไปหาลูกสาวของฉันแทน เย่เชียน… นายช่วยปกป้องลูกสาวของฉันได้ไหม ? ขอแค่เธอปลอดภัย ฉันก็หมดห่วง… ฉันจะได้งัดกับไอ้พวกนั้นได้อย่างสบายใจ”
เย่เชียนไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่และถามว่า “อ้าว… แล้วลุงล่ะ ?”
จ้าวเทียนห่าวยิ้มอย่างมั่นใจและตอบว่า “ตราบใดที่ฉันไปถึงเซฟเฮ้าส์อย่างปลอดภัยแล้วล่ะก็… ไม่ง่ายที่พวกมันจะมาฆ่าฉันได้!”
เย่เชียนเงียบไปครู่หนึ่งและไตร่ตรองว่าหากสมาชิกหน่วยเขี้ยวหมาป่าคนอื่น ๆ อยู่กับเขาด้วยในตอนนี้ มันก็จะไม่มีปัญหาอะไรใด ๆ เลย เขาจะได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี แต่เย่เชียนยังไม่ต้องการให้คนเหล่านั้นรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ตอนนี้เขายังยุ่งอยู่กับการปกป้องสองพ่อลูก ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่มีพ่อแท้ ๆ แต่เขาก็สามารถรู้สึกได้ถึงความห่วงใยและความรักที่มีต่อกันภายในครอบครัว
สำหรับจ้าวเทียนห่าวแล้ว หากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับลูกสาวของเขา มันก็คงเสมือนการจุดชนวนการปะทะกันให้เกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นจริง เซี่ยงไฮ้ก็คงจะไม่พ้นต้องกลายเป็นพื้นที่แห่งสงคราม
“ลุงจ้าว! ผมรู้จักคนอยู่สองคน ถ้าพวกเขาตกลงที่จะช่วย ผมก็สามารถออกไปปกป้องลูกสาวของลุงได้อย่างสบายใจ” เย่เชียนพูดหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“หืม… พวกเขาเป็นใครกันล่ะ ?” จ้าวเทียนห่าวถาม
“พวกเขาก็เป็นเหมือนผมนี่แหละครับ… เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทเทียนหยากรุ๊ป และความสามารถของพวกเขาก็ไม่เลวเลย” เย่เชียนตอบขณะที่คิดเกี่ยวกับฟูจุนเฉิงและจ้าวไถ่จู้
เมื่อจ้าวเทียนห่าวได้ยินคำว่า ‘เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทเทียนหยากรุ๊ป’ จ้าวเทียนห่าวก็รู้สึกแปลกใจเพราะเขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะมีคนที่มีความสามารถมากมายซ่อนตัวอยู่ในบริษัทของเขา เขาไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้เต็มใจที่จะเป็นยามรักษาความปลอดภัยทั่วไปได้อย่างไร ทำไมพวกเขาไม่ใช้พรสวรรค์ที่มีไปทำในสิ่งที่ตนต้องการ อีกทั้งพวกเขาก็กำลังจะมาเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อมาช่วยสหายของพวกเขาโดยไม่ลังเล
มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จ้าวเทียนห่าวจะสามารถหยุดพวกเขาได้ คือจ้าวเทียนห่าวต้องเปิดเผยสถานะของตนในตอนนี้โดยใช้ชื่อของตนที่มีตำแหน่งเป็นถึงประธานบริษัทกดดันพวกเขาให้พวกเขาถอนตัว แต่ในเมื่อมันก็เลยเถิดมาขนาดนี้แล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่ต้องเชื่อใจคนเหล่านี้
“เอาล่ะ… ถ้าอย่างนั้นก็ตามที่นายว่าเลยแล้วกัน แต่หากพวกเขาไม่ว่างก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันมีวิธีป้องกันตัวเองเยอะแยะ ตราบใดที่ลูกสาวของฉันไม่เป็นอะไร ฉันน่ะยังไงก็ได้…” จ้าวเทียนห่าวพูดอย่างสิ้นหวังเพราะเขาไม่อยากให้คนเหล่านั้นมาเสี่ยงชีวิตเพราะตน
เย่เชียนพยักหน้าและกดเบอร์ของแผนกรักษาความปลอยภัยในเทียนหยากรุ๊ป หลังจากนั้นไม่นานหวันชุนหัวก็รับสาย เมื่อเขาได้ยินเสียงของเย่เชียนแล้ว หวันชุนหัวก็รีบตอบทันทีว่า “น้องเย่ นายเยี่ยมมาก… นายช่างกล้าลางานวันที่สองของการทำงาน พี่ชายคนนี้ขอคารวะนายจากใจจริง! ฮ่า ๆ ๆ ”
เย่เชียนรู้ว่าพี่ชายคนนี้ชอบคุยนอกลู่นอกทางและคงจะคุยกันไม่รู้เรื่องเป็นแน่ เขาจึงไม่อยากคุยกับหวันชุนหัวต่อให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงบอกให้หวันชุนหัวส่งโทรศัพท์ให้กับฟูจุนเฉิง
เย่เชียนพูดกับฟูจุนเฉิงเพียงไม่กี่คำและขอให้เขาช่วยตน ฟูจุนเฉิงเงียบไปครู่หนึ่งแต่สุดท้ายเขาก็ตอบตกลง เย่เชียนพูดขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วยังไม่ลืมที่จะขอให้เขาพาจ้าวไถ่จู้มาด้วย ถึงแม้ว่าฟูจุนเฉิงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็ยังตอบตกลงกับเย่เชียนอย่างง่ายดาย หลังจากนัดแนะกันเรื่องสถานที่นัดพบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เย่เชียนก็วางสายไป
“พวกเขาตอบตกลงที่จะช่วย! งั้นเราไปกันเถอะครับ!” เย่เชียนพูดอย่างกระตือรือร้น
จ้าวเทียนห่าวกล่าวขอบคุณเย่เชียนไม่หยุดปาก จากนั้นก็ตามเย่เชียนไป
……
ณ จุดนัดพบ
ฟูจุนเฉิงและจ้าวไถ่จู้มาถึงกันก่อนแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้มากันแค่สองคนเท่านั้นเพราะหวันชุนหัวเองก็ติดตามมาด้วยอีกคน พวกเขายืนรอกันอยู่อย่างเงียบ ๆ เมื่อพวกเขาเห็นเย่เชียนมาถึง ทั้งสามคนก็รีบไปทักทายเขา
ทันใดนั้นหวันชุนหัวก็พูดติดตลกกับเย่เชียนว่า “เย่เชียน! มันเป็นเพราะนายคนเดียวเลย… พี่ ๆ ทุกคนถึงต้องงัดกับไอ้หัวหน้าบ้าบอเจิ้งซินนั่น! ไม่รู้ล่ะ หลังจากเรื่องนี้จบ… นายต้องเลี้ยงข้าวพวกเราเป็นการตอบแทน ฮ่า ๆ ๆ!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หวันชุนหัวพูด เย่เชียนก็ตระหนักว่าหัวหน้าเจิ้งซินต้องทำให้พวกเขาลำบากอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากตนเป็นรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่า ถ้าจะตอบไปว่า ‘ขอบคุณ’ มันก็ไม่สมควร เพราะเขาเป็นต้นเหตุให้พวกเขาต้องบาดหมางกัน เขาจึงไม่ได้พูดคำนั้นออกไปและได้แต่ยิ้มพลางตอบกลับไปว่า “แน่นอน! เดี๋ยวจบเรื่องผมจัดให้… แต่เรื่องนี้มันค่อนข้างเสี่ยงนะพี่… ถ้าพวกเราพลาดมันอาจถึงตายได้!”
หวันชุนหัวผงะทันทีที่เย่เชียนพูดจบ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดการณ์ไว้เลยว่าเรื่องนี้มันจะบานปลายถึงขนาดนี้ ในส่วนของจ้าวเทียนห่าวก็ยังคงมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“งั้นนายบอกพวกเรามาซิว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง ?” ฟูจุนเฉิงถามอย่างจริงจัง
แม้ว่าฟูจุนเฉิงจะไม่ได้รู้จักกับเย่เชียนมานาน แต่เขาก็เข้าใจว่าด้วยความสามารถของเย่เชียน หากมีปัญหามันก็คงจะไม่ได้เป็นปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างแน่นอน เพราะถ้ามันเป็นเพียงปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เย่เชียนคงจะไม่ลำบากมาขอให้พวกเขาช่วย ท้ายที่สุดแล้วการที่เย่เชียนตัดสินใจเรียกพวกเขามาก็หมายความว่าเย่เชียนไว้วางใจพวกเขา แล้วจะให้พวกเขาทรยศต่อความไว้วางใจนั้นได้อย่างไรกันล่ะ!
เย่เชียนพยักหน้าให้ฟูจุนเฉิงเบา ๆ บางครั้งระหว่างพี่น้องก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดอะไรกันมาก แค่มองตาและสีหน้าก็สามารถเข้าใจกันได้ มันเหมือนกับว่าเย่เชียนกับฟูจุนเฉิงรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไรในยามสงคราม และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรเลยแต่ก็รู้ได้ว่าเย่เชียนรู้สึกขอบคุณพวกเขาจากใจจริง
“มา! ผมจะแนะนำให้พวกพี่ ๆ รู้จักกันก่อน นี่คือลุงจ้าว! ลุงจ้าว… สามคนนี้เป็นเพื่อนร่วมงานของผมที่ผมบอกลุง… เขาคนนี้ชื่อฟูจุนเฉิง ส่วนคนนี้ชื่อจ้าวไถ่จู้ และคนสุดท้ายนี่ชื่อหวันชุนหัว” เย่เชียนผายมือพร้อมแนะนำพวกเขาทีละคน
“ขอบคุณพวกนายทุกคนมากที่มาช่วย แล้วก็ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่ต้องมารบกวน ทำให้พวกนายต้องมาเดือดร้อนไปกับฉันด้วย” จ้าวเทียนห่าวทักทายแต่ละคนและจับมือพวกเขา
“ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกครับคุณจ้าว… ปัญหาของน้องเย่มันก็เหมือนปัญหาของเรานั่นแหละครับ” หวันชุนหัวตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ แล้วพูดอย่างกล้าหาญ
ทั้งสามคนทำงานในบริษัทเทียนหยากรุ๊ปมาเป็นเวลานาน แต่พวกเขาไม่เคยเห็นและไม่เคยเจอตัวจริงของประธานบริษัทของตนเองเลย ตอนนี้ประธานของพวกเขาอยู่ข้างหน้าพวกเขาแล้ว แต่ทว่าพวกเขาก็จำไม่ได้ หากมีใครบางคนมาบอกพวกเขาว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขาตอนนี้เป็นถึงประธานของพวกเขา ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร…
“เย่เชียน… ไหนบอกซิว่าเรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่กันแน่ ?” ฟูจุนเฉิงถามอย่างดุดัน