ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 4 พ่อ
ตอนที่ 4 พ่อ
เย่เชียน ฮันเซ่ล พี่ใหญ่ และน้องสาม ทุกคนต่างก็เป็นเด็กกำพร้า หากพ่อไม่ตัดสินใจรับพวกเขามาเลี้ยงแล้วล่ะก็ พวกเขาคงไม่ต่างอะไรกับเด็กข้างถนนที่หิวโหยไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนปลายเท้า พ่อไม่ใช่คนที่ร่ำรวยอะไร เขาเป็นเพียงแค่ชายผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีคนหนึ่งที่อดทนทํางานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว
เมื่อมีโอกาส พ่อมักรับเด็กกำพร้ามาเลี้ยงดูเสมอ หากเขาเห็นเด็กคนไหนตกที่นั่งลำบากและไม่มีที่พึ่งเขาก็จะช่วย
ตัวเย่เชียนเอง เขาพบกับพ่อตั้งแต่เขายังเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา เขาจึงค่อนข้างแตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่อย่างเร่ร่อนไร้จุดหมาย ตั้งแต่เขาจำความได้ เขารู้ว่าพ่อเลี้ยงดูพวกเขามาอย่างดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้ จนกระทั่งเย่เชียนเรียนจบชั้นประถม เขาจึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเพื่อหาเงินช่วยพ่อเลี้ยงที่ใจบุญของเขาและเพื่อสนับสนุนครอบครัวของเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อแปดปีก่อนเย่เชียนได้กระทำความผิดอันใหญ่หลวงซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้รับการอภัยโทษ เพราะเขาดันไปแทงหนึ่งในสามหัวหน้าแก๊งที่มีอิทธิพลในละแวกนี้เข้า ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกเหนือไปจากต้องหนีออกจากชุมชนแห่งนี้และใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่อหลบหนีจากการถูกไล่ล่า
เมื่อสองปีก่อน พ่อรับฮันเซ่ลมาเลี้ยงดูอีกคน เธออาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในเมืองยากจนแห่งหนึ่ง แต่พวกเขาได้เสียชีวิตลงกะทันหันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อสงสารเด็กคนนี้มากจึงตัดสินใจรับเธอมาอุปถัมภ์ เธอมีผลการเรียนดีกว่าเด็กคนอื่น และเธอก็ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ช่วยพ่อคัดแยกขยะแถวบ้าน
ตัดภาพกลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบัน
ในขณะที่สองพี่น้องกำลังคุยกันอย่างออกรส จู่ ๆ ก็มีชายแก่คนหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตระหนกตกใจ เขาหายใจหอบถี่แต่ก็พยายามพูดออกมาอย่างร้อนรน
“เซ่ลเอ๊ย เซ่ล… ขะ ขะ ข้ามีข่าว ข่าวร้ายมาบอกเจ้า ตะ ตาแก่หยางถูกทำร้าย ตะ ตอนนี้เขาอยู่โรงพยาบาล”
หลังจากพูดจบเขายังคงหายใจหอบ ในขณะที่เขาพยายามสูดหายใจลึก ๆ อยู่นั้น สายตาเขาก็เหลือบไปเห็นว่ามีคนแปลกหน้าอยู่ในบ้านหลังนี้กับฮันเซ่ลด้วย เขาจ้องมองไปที่คนแปลกหน้าผู้นั้นอย่างระมัดระวังและครุ่นคิด เขาไม่เคยเห็นหน้าชายผู้นี้มาก่อนแต่เขากลับรู้สึกคุ้น ๆ หน้า
เมื่อได้ยินว่าพ่อเข้าโรงพยาบาล เย่เชียนตกใจลุกพรวดขึ้นทันที เขาไม่ได้ตั้งตัวเลยว่าจะต้องมาได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้ในวันที่เขากลับมาถึงบ้านเพื่อเจอพ่อ ไม่รอช้าเขารีบหันไปถามชายแก่ว่า
“ลุงจ้าว! พ่ออยู่โรงพยาบาลไหนครับ”
ฮันเซ่ลที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกไม่ต่างไปจากคนอื่น ๆ ในบ้าน เมื่อเธอพยายามคิดว่าเด็กอย่างเธอควรทําอะไรในตอนนี้และเธอสามารถทำอะไรเพื่อช่วยพ่อได้บ้าง ความคิดร้าย ๆ ก็ผ่านเข้ามาในหัวของเธออย่างบ้าคลั่ง น้ำตาของเด็กสาวไหลอาบทั่วแก้มและเธอมองไปที่ชายสองคนตรงหน้าอย่างหมดหนทาง เธอหันไปพูดกับเย่เชียนเสียงสั่นเครือ
“ฮืออ… พี่สอง พ่อจะไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ? ฉันกลัว ฉันเป็นห่วงพ่อ พวกเราควรทํายังไงดี…?”
เมื่อลุงจ้าวได้ยินฮันเซ่ลพูด เขาก็หันขวับมาถามเย่เชียนทันทีว่า
“เจ้าคือเสี่ยวเอ๋อร์งั้นรึ ?!”
เย่เชียนพยักหน้าตอบรับ
“ใช่ครับลุงจ้าว นี่ผมเอง เสี่ยวเอ๋อร์” เย่เชียนตอบลุงจ้าวเสร็จ เขาก็หันไปตบไหล่ฮันเซ่ลเบา ๆ เป็นการปลอบประโลมเธอให้ใจเย็นลง แม้ในใจของตนนั้นจะร้อนรุ่มไม่ต่างกัน
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่สองของเธออยู่นี่แล้ว พ่อต้องไม่เป็นอะไรมากแน่ ๆ เขาเข้มแข็งเสมอ”
“แล้วตกลงพ่ออยู่โรงพยาบาลไหน ?” เย่เชียนปลอบน้องเสร็จ เขาก็หันไปถามลุงจ้าวต่อ
“โรงพยาบาลเหรินเหมิน” ลุงจ้าวตอบอย่างรวดเร็ว
เย่เชียนไม่มีเวลาทักทายลุงจ้าวอย่างเป็นทางการหรือแม้กระทั่งถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ เขาทําได้เพียงขอบคุณลุงจ้าวแล้วรีบพาฮันเซ่ลออกไปจากบ้าน ก่อนจะมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลเหรินเหมินตามคำบอกเล่าของลุง
“พี่สอง พวกเรามีเงินไม่มาก ฉันไม่รู้ว่ามันจะพอกับค่ารักษาพ่อหรือไม่” ฮันเซ่ลพูดขึ้นอย่างกระวนกระวายจนมือไม้สั่นไปหมด ขณะที่เธอดึงซองสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าของเธอ
เย่เชียนเหลือบมองเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“อย่ากังวลไปเลย พี่สองพอจะมีเงินอยู่บ้าง เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลเอง เซ่ลไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก”
พูดถึงเรื่องเงิน ในกระเป๋าของเย่เชียนมีบัตรธนาคารนานาชาติสวิสอยู่ใบหนึ่ง ในนั้นมีเงินฝากอยู่นับร้อยล้าน แต่ถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่ค่อยอยากใช้มันเท่าไหร่นักเพราะเขามั่นใจว่าพวกพ้องพี่น้องจอมปลอมของเขาจะต้องตามหาตัวเขาเพื่อหวังที่จะใช้ชีวิตที่หรูหราด้วยเงินของเขาเป็นแน่ ซึ่งต่างจากตัวเขาเองที่อยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแบบสามัญชนคนธรรมดามากกว่า แต่ตอนนี้เขามีเงินสดติดตัวอยู่แค่หมื่นเดียว ถ้ามันไม่เพียงพอกับค่ารักษาพยาบาล เย่เชียนก็ไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยที่จะเบิกเงินนั้นออกมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลของพ่อ
ฮันเซ่ลพยายามกลั้นน้ำตาอย่างยากลำบาก ขณะที่ดึงเงินออกมาจากกระเป๋าของเธอ พวกเขานั่งแท็กซี่ตรงไปยังโรงพยาบาลซึ่งใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงทางเข้าโรงพยาบาล เย่เชียนจ่ายเงินให้คนขับหนึ่งร้อยหยวนและรีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลโดยไม่แม้แต่จะรอเงินทอน
เมื่อไม่ได้เจอกันนานกว่าแปดปี เย่เชียนเองก็อยากที่จะพบกับพ่อ เขาอยากพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของตนเองที่ได้ไปประสบพบเจอมาในระยะเวลาที่ไม่ได้เจอกัน อยากให้พ่อได้ภูมิใจที่เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีด้วยน้ำพักน้ำแรงของพ่อ แต่ทว่าเขากลับได้รับข่าวที่พ่อถูกทําร้ายและนําตัวส่งโรงพยาบาล มันทําให้จิตใจเขาในตอนนี้ร้อนรุ่มและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เขาอยากจะแก้แค้นใครก็ตามที่ทำให้พ่อต้องเจ็บเสียตั้งแต่ที่เขาทราบข่าว แต่ตอนนี้เขาห่วงชีวิตของพ่อยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
เมื่อเข้ามาในโรงพยาบาล เย่เชียนเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์และถามอย่างร้อนรนว่าพ่อของเขาอยู่ห้องไหน หลังจากได้คำตอบ เขาก็ไม่รีรอรีบเดินตรงไปที่นั่นทันที
เมื่อพวกเขาไปถึงห้องที่พ่อนอนอยู่ สิ่งแรกที่เย่เชียนเห็นคือมือของพ่อที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่ม มันเต็มไปด้วยผ้าพันแผลและปลาสเตอร์ยา และวินาทีนั้นเองที่เย่เชียนไม่อาจกลั้นน้ำตาให้ไหลรินลงมาบนหน้าของเขาได้อีกต่อไป
“พะ พ่อ พ่อครับ” เย่เชียนสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เขามีร้อยพันคำที่อยากจะพูด แต่กลับไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
หยางเจียนกัวได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นข้าง ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงนี้มานานหลายปีแต่เขายังคงจำมันได้ดีเสมือนเขาได้คุยกับเจ้าของเสียงนี้ทุกวัน เขาพยายามลืมตาที่เหนื่อยล้าขึ้นมาและภาพของเด็กหนุ่มที่เขาคิดถึงและเป็นห่วงก็ค่อย ๆ ปรากฏตรงหน้าซึ่งตอกย้ำน้ำเสียงที่เขาได้ยินเมื่อครู่ว่าเป็นลูกชายที่ไม่ได้เจอกันกว่าแปดปี จากนั้นน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาอย่างเสียมิได้
“เสี่ยวเอ๋อร์ แกกลับมาแล้วเหรอ ?”
“ครับพ่อ ผมกลับมาแล้ว” เย่เชียนพยักหน้าตอบ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปมากกว่านี้
หยางเจียนกัวยิ้มและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
“พ่อดีใจที่แกกลับมา และพ่อต้องขอโทษด้วยที่แกต้องมาพบกับพ่อที่นี่ในสภาพแบบนี้ แต่พ่อไม่ได้เจ็บอะไรมากแล้ว แกไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไป”
“พ่อรู้ไหมว่าใครเป็นคนทําให้พ่อต้องมาเจ็บตัว” เย่เชียนถาม
“เสี่ยวเอ๋อร์ เจ้าลืมมันไปเสียเถิด พวกเขาเป็นพวกคนมีเงินและมีอํานาจ อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลย เพราะถ้าแกทําแบบนั้นแล้วเรื่องมันจะไปกันใหญ่ อีกอย่าง พวกเขาก็จ่ายเงินมาสองพันหยวนสําหรับค่ารักษาพยาบาลของพ่อแล้ว พ่อว่าแกลืม ๆ เรื่องนี้ไปเสียดีกว่า” หยางเจียนกัวรู้ว่าเย่เชียนเป็นคนอย่างไร ถ้าเขาเล่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ให้เย่เชียนฟัง เย่เชียนจะต้องตามไปล้างแค้นพวกมันอย่างไม่ต้องสงสัย
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่น้องสามถูกทําร้าย ในตอนที่เย่เชียนรู้เข้า เขาก็รีบไปล้างแค้นแทนน้องสามโดยการบึ่งเข้าแทงหนึ่งในสามหัวหน้าแก๊ง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาต้องหลบหนีอย่างหมดหนทางเพราะตัวเขาเพียงคนเดียวไม่สามารถที่จะต่อกรกับคนทั้งแก๊งได้
เย่เชียนรู้ว่าพ่อคิดอะไรอยู่ในใจ เขาจึงจงใจพูดให้พ่อรู้ว่าเขาไม่ใช่คนใจร้อนคนเดิมและรู้สึกนิ่งเฉยกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
“พ่ออย่าห่วงไปเลยครับ ผมกลับมาบ้านครั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตสงบ ๆ กับครอบครัว ผมไม่ต้องการสร้างปัญหาหรือมีปัญหากับใคร ผมรู้ว่าผมควรทําอย่างไร”
“เฮ้อ…” หยางเจียนกัวถอนหายใจก่อนจะพูดว่า
“พ่อเก็บขยะข้างนอกสนามบินอยู่ดี ๆ ก็มีผู้ชายคนนึงเดินผ่านมาใกล้ ๆ เขาคนนั้นทํากระเป๋าเงินหล่นที่พื้น พ่อจึงรีบเก็บคืนเขา แต่เขากลับคิดว่าพ่อเป็นขโมยจึงลงมือทำร้ายพ่อ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจผิด เขาจึงจ่ายค่ารักษามาให้”
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยในขณะที่ฟังพ่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และตระหนักได้ในตอนนี้เองว่าตอนที่เขาอยู่ที่สนามบิน เขารู้สึกคุ้นหน้าชายแก่ที่ถูกหามขึ้นรถพยาบาล ที่แท้ชายแก่คนนั้นก็คือพ่อของเขานี่เอง
ภาพของชายท้วมคนนั้นค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในหัว ใจเขาเริ่มเต้นแรงและเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เขาเริ่มคิดหาหนทางที่จะเอาคืนอยู่หลายทาง พ่อถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมและโดนทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แต่กลับได้เงินแค่สองพันหยวนมาช่วยค่ารักษา แล้วเรื่องจะจบลงเพียงเท่านี้มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ ? เรื่องเงินนั้นสําหรับเย่เชียนมันไม่ได้สําคัญอะไรเลย เขาเพียงแค่ต้องการความยุติธรรมสําหรับพ่อของเขาก็เท่านั้น
“ไร้มนุษยธรรมสิ้นดี! ทำคนเขาอื่นบาดเจ็บปางตายขนาดนี้แต่กลับจ่ายเงินแค่สองพันเพื่อจบเรื่อง ไม่ต้องมาขอโทษหรือดูดำดูดีอะไรเลยงั้นสิ! ทำไมเราต้องมาเจอกับเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ด้วย นี่กฎหมายไม่คุ้มครองอะไรเราบ้างเลยเหรอคะ ?” ฮันเซ่ลโพล่งขึ้น
แม้ฮันเซ่ลจะโกรธมากแต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์และอ่อนโยนที่ทำอะไรไม่ได้ไปกว่าการพูดตัดพ้อหาความเป็นธรรม
“เซ่ล ลูกอยู่ในช่วงสอบกลางภาคอยู่นะ กลับบ้านไปทบทวนบทเรียนของลูกเถอะ พ่อไม่เป็นอะไร เดี๋ยวพักผ่อนอีกหน่อยก็ได้กลับบ้านแล้ว” หยางเจียนกัวพูดอย่างอ่อนโยน
“พ่อคะ พ่อนอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้แล้วจะให้หนูกลับไปทนทวนหนังสืออยู่ที่บ้านได้อย่างไรคะ ? จิตใจหนูไม่เข้มแข็งมากพอที่จะทำแบบนั้นแน่ ๆ ค่ะ ให้หนูเอาหนังสือมานั่งทบทวนที่โรงพยาบาลและดูแลพ่อไปพร้อม ๆ กันดีกว่า หนูอยากแน่ใจจริง ๆ ว่าพ่อมีคนดูแลไม่คลาดสายตา” ฮันเซ่ลรั้น
เย่เชียนหันมาสบตากับฮันเซ่ลแล้วบอกเธอว่า
“เซ่ล ฟังคำที่พ่อพูดเถอะ พี่สองจะอยู่ที่นี่ให้เอง เธอไม่ต้องกังวล”
“ไม่ค่ะพี่สอง พี่เพิ่งเดินทางกลับมาคงจะเหนื่อยน่าดู พี่นั่นแหละที่ควรกลับบ้านไปพักผ่อน นอกจากนี้แล้วหนูไม่เชื่อว่าใครจะดูแลพ่อได้ดีเท่าหนู ยังไงก็เถอะหนูจะอยู่ต่อ” ฮันเซ่ลพูดอย่างหนักแน่นด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่