ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 42 หัวใจสตรีดุจดั่งเข็มในมหาสมุทร
“นี่… นายน่ะไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเหรอ ? เราจะเหมือนคู่รักกันได้ยังไง ? ฉันว่าเราสองคนเหมือนกับดอกไม้ที่จมปลักอยู่ในกองขี้วัวมากกว่า” จ้าวหยาพูดพลางจ้องมองเย่เชียนด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม
เย่เชียนฉีกยิ้มและพูดว่า “เธอไม่คิดว่าดอกไม้ที่ปักอยู่ในกองขี้ของสัตว์จะบานสะพรั่งอย่างสวยงามตลอดไปงั้นเหรอ ? เพราะถ้ามันอยู่ในแจกัน มันก็มีแต่จะเหี่ยวเฉาลงในไม่ช้า!”
จ้าวหยาส่ายหัวของเธออย่างช่วยไม่ได้และตอบว่า “ไม่ล่ะ ฉันไม่คิดอย่างนั้น… และมันก็เป็นไปไม่ได้ด้วยที่เราจะแต่งงานกัน!”
เย่เชียนยักไหล่ “เหอะ! ฉันน่ะ ทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะการหมั้นนี้มันเป็นความคิดของพ่อเธอเอง และถ้าเธอไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นแล้วล่ะก็ เธอก็ควรไปคุยกับเขาเองนะ”
“นายคิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ ? เดี๋ยวฉันจะโทรหาพ่ออย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วง!” จ้าวหยาตอบ
เย่เชียนยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาไม่แน่ใจว่าจ้าวเทียนห่าวเป็นคนประเภทไหนกันแน่ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าถ้าเขาใช้วิธีนี้เพื่อที่จะให้เย่เชียนสามารถปกป้องลูกสาวของเขาได้ คนเป็นพ่อที่รักลูกมากอย่างจ้าวเทียนห่าวคงพยายามทำทุกวิถีทางให้ลูกสาวปลอดภัย เพราะหากจ้าวหยารู้ว่ามีนักฆ่าจ้องจะลอบสังหารพวกเขา เธอจะต้องหวาดกลัวอย่างแน่นอน ดังนั้นเย่เชียนจึงมั่นใจว่าจ้าวเทียนห่าวจะเล่นไปตามน้ำกับตน อย่างไรก็ตาม เขาต้องรีบแจ้งให้จ้าวเทียนห่าวทราบก่อน เพื่อที่เขาจะได้รับมือกับคำถามนับร้อยของจ้าวหยาได้โดยไม่ถูกจับได้ในภายหลัง
คลาสเรียนช่วงเที่ยงกำลังจะสิ้นสุด เย่เชียนไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยตั้งแต่เข้ามาเพราะเขามัวแต่ทะเลาะกับจ้าวหยาอยู่ และเมื่อเสียงระฆังดังขึ้น พวกนักศึกษาต่างก็หาวขึ้นมาทันทีราวกับว่าพวกเขาเพิ่งตื่นจากการงีบหลับ ถึงแม้ว่าอาจารย์ฉินหยูจะสวยขนาดไหน แต่หลังจากการจ้องมองเธอเป็นเวลานาน ๆ พวกเขาก็จะเบื่อไปในที่สุด
เย่เชียนใช้สายตาสอดส่องไปทั่วห้องอย่างถี่ถ้วน ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นใครบางคนและเขาก็ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็มองมาทางเขาอยู่เช่นกัน และหลังจากนั้น คนคนนั้นก็ทำเป็นมองเย่เชียนผ่าน ๆ เหมือนไม่เคยเจอกันมาก่อนแล้วก็เดินออกจากห้องไป แม้ว่าเขาคนนั้นจะปกปิดตัวตนอย่างดี แต่เย่เชียนก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าจากท่าทางที่เยือกเย็นของเขา
เย่เชียนฉีกยิ้มทันที ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นบุคคลจากครอบครัวที่มีอำนาจและอิทธิพลมากมายก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเกรงกลัวเลย ชายผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือลูกชายของเลขานุการเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้นั่นเอง
หลังจากที่ฉินหยูรวบรวมสิ่งของการเรียนการสอนเสร็จและกำลังจะเดินออกจากห้อง เธอก็หยุดที่ประตูแล้วหันไปหาเย่เชียนก่อนจะพูดขึ้นว่า “เย่เชียน มากับฉัน!”
เย่เชียนยิ้มกรุ้มกริ่มและพูดกับจ้าวหยาว่า “ที่รัก… สามีของเธอขอตัวไปทำธุระสักครู่นึงนะ… รอฉันด้วยล่ะ!”
จ้าวหยาจ้องมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเย่เชียนจนตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วครู่พลางคิดกับตัวเองว่า ‘ให้ตายสิ! ผู้ชายคนนี้หล่อมากเลย’ แต่เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเย่เชียน สติของเธอก็กลับมาในทันทีและโกรธเกรี้ยวอยู่ในใจอีกครั้ง เธอกำลังจะจับเขากัดอีกรอบ แต่เย่เชียนก็หลุดมือเธอไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเธอที่ยืนอยู่คนเดียวในห้อง เธอจึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธและพึมพำกับตัวเองว่า
“ไอ้อันธพาลบ้า…! ฉันยังไม่ทันได้แก้แค้นนายเลยนะ!”
……
เย่เชียนเดินไปข้าง ๆ ฉินหยูด้วยใบหน้าที่ดูสบายอกสบายใจเป็นอันมาก เขาจ้องมองฉินหยูพร้อมกับรอยยิ้มอ่อน ๆ บนใบหน้าของเขา ส่วนฉินหยูนั้น เธอเคยชินกับการจ้องมองเช่นนี้ไปเสียแล้ว เพราะพวกนักศึกษาชายทั้งหลายก็มีสายตาที่คล้ายคลึงกันมาก สายตาที่มองเธอระหว่างที่เรียนอยู่ก็เป็นเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม เธอไม่เคยรู้สึกไม่สบายใจมาก่อนเลย ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเครียดและประหม่าขึ้นมาซึ่งมันขัดกับความคิดของเธอ เธอโกรธและหันหน้าไปทางเย่เชียนเพียงเพื่อจะพบว่าดวงตาของเขาสดใสและการแสดงออกของเขาก็ชัดเจนเหมือนคนอื่น ๆ แต่มันดูรุนแรงเกินไป! สุดท้าย เธอก็หมดหนทางราวกับว่าเธอกำลังสูญเสียตัวตนของตัวเอง หลังจากที่เธอจ้องมองอย่างเฉยเมยอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็สูญเสียความใจเย็นไปจนหมดและแทนที่ด้วยความโกรธ
“นี่! นายกำลังมองอะไรอยู่ ห๊ะ ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เย่เชียนรู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของฉินหยู เขาจ้องมองเธออย่างว่างเปล่าราวกับว่าเขาลืมสิ่งที่จะพูดออกไปหมดในทันที
ฉินหยูเองก็ประหลาดใจกับปฏิกิริยาของเย่เชียนเช่นกัน ทันใดนั้นเธอก็สงสัยว่าเธอมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติบนใบหน้าของเธอหรือร่างกายของเธอหรือเปล่า เธอจึงก้มหัวดูเพื่อตรวจสอบตัวเองว่ามีอะไรที่ผิดปกติไป พร้อมทั้งมือของเธอที่แตะใบหน้าเพื่อตรวจสอบใบหน้าของเธอด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้น เธอก็คิดขึ้นมาว่านายคนนี้ต้องเล่นตลกกับเธออีกอย่างแน่นอนจึงขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชา
“เย่เชียน นายไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือยังไง ?”
ผู้หญิงนั้นอารมณ์ไม่แน่ไม่นอน เย่เชียนจึงไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของฉินหยูได้ แต่ในฐานะทหารรับจ้าง เขาได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เบื้องหน้าได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เย่เชียนแสร้งทำเป็นไม่รู้และพูดว่า “หา ? ตอนนี้คุณกำลังพูดกับผมอยู่เหรอ ? ขอโทษที ผมรู้สึกว้าวุ่นใจเลยไม่ได้ยินว่าคุณพูดอะไรน่ะ ?”
ท้ายที่สุด ฉินหยูก็ไม่รู้สึกโกรธเย่เชียนแล้ว เพราะเธอรู้ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถเอาชนะคนหน้าด้านแบบเขาได้ เธอทำได้แค่ส่ายหัวอย่างหมดหนทาง จากนั้นก็พูดว่า “ฉันถามว่า นายมองอะไรฉันอยู่ ?”
“อ๋อ… คือ… ผมกำลังคิดว่าผมเคยเห็นคุณที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า” เย่เชียนตอบกลับ
“นายเคยเห็นฉันที่ไหนมาก่อนงั้นเหรอ ? ก็ที่ห้องสำนักงานคณบดีไง!” ฉินหยูตอบง่าย ๆ
“ไม่…! ผมหมายถึงก่อนหน้านั้นอีก” เย่เชียนขมวดคิ้วและเกาหัวตัวเองราวกับกำลังคิดบางอย่าง
ฉินหยูยิ้มและพูดว่า “เย่เชียน นายอย่ามาพูดจาไร้สาระกับฉันเลยดีกว่า วิธีที่นายใช้กับผู้หญิงมันล้าสมัยไปแล้ว นอกจากนี้ฉันยังเป็นถึงอาจารย์ของนาย นายอย่าหวังเลย! บอกตามตรงว่าฉันไม่ต้องการให้นายทำตัวงี่เง่าแบบนี้ ฉันขอให้นายตั้งใจเรียนและยับยั้งตัวเองเสียบ้างเถอะในอนาคตน่ะ เพราะหากว่านายยังขืนทำตัวงี่เง่าแบบนี้อยู่อีก ฉันจะไล่นายออกไปจากห้องซะ!”
เย่เชียนฉีกยิ้ม “ก็ได้ ๆ ผมจะไม่งี่เง่า คลาสต่อไปผมจะตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน ผมสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาใด ๆ อีก”
ตราบใดที่ใครคนหนึ่งสามารถรับรู้ถึงความผิดพลาดของเขาได้และพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเอง มันก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีมาก ตอนนี้ฉินหยูรู้สึกดีขึ้นและใจเย็นลงเล็กน้อย เธอไม่ได้รู้สึกเกลียดเย่เชียนเหมือนที่เธอรู้สึกตอนที่เห็นเขาครั้งแรกแล้ว เธอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แค่เฉพาะในคลาสของฉันเท่านั้นนะ แต่ในคลาสเรียนของอาจารย์คนอื่น ๆ นายก็ต้องตั้งใจเรียนด้วย!”
“แน่นอนอยู่แล้ว… ผมจะเป็นเด็กดีและจะตั้งใจเรียน ผมจะเรียนให้หนักในทุก ๆ วัน เพื่อที่สักวันผมจะได้เป็นอาจารย์อย่างคุณบ้าง หลังจากสำเร็จการศึกษา ผมจะได้มาสอนเด็กคนอื่น ๆ ในสถาบันนี้เป็นการตอบแทน” เย่เชียนพูดอย่างเพ้อฝัน
“หือ ? นายอยากเป็นอาจารย์ด้วยงั้นเหรอ ?” ฉินหยูถามด้วยความงุนงงอย่างมาก
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า “ผมล้อเล่นน่ะ! ฮ่า ๆ ๆ… คุณไม่คิดเหรอว่าถ้าผมได้เป็นอาจารย์จริง ๆ แล้วผมจะไม่ทำให้เด็ก ๆ หลงทางไปในทิศทางที่ผิด!”
ฉินหยูส่ายหัวอย่างหมดหนทางและไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
เมื่อพวกเขามาถึงออฟฟิศ ฉินหยูก็เปิดประตูเข้าไปก่อน
“เข้ามาสิ!” เธอเอ่ย ก่อนจะไปที่โต๊ะทำงานแล้วนั่งลง
เย่เชียนสงสัยและคิดในใจว่า ‘นี่อาชีพอาจารย์สมัยนี้มันมีสวัสดิการดีขนาดนี้เลยเหรอ ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่อาจารย์ธรรมดา ๆ ก็ยังมีห้องทำงานส่วนตัวเป็นของตัวเองด้วย’