ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 421 จงเรียนรู้จากความอัปยศและเปลี่ยนมันเป็นความแข็งแกร่ง
ตอนที่ 421 จงเรียนรู้จากความอัปยศและเปลี่ยนมันเป็นความแข็งแกร่ง!
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้นหลายๆ คนมีความชัดเจนอย่างมากว่าในตอนที่หยางเทียนยังมีชีวิตอยู่นั้นก็แทบจะไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้และหลังจากที่หยางเทียนตายไปแล้วก็ตาม ซึ่งอาจพูดได้ว่าหยางเทียนนั้นทำสิ่งที่ผิดพลาดและเลวร้ายมากและทิ้งอดีตเอาไว้เบื้องหลังดังนั้นเขาจึงอดกลั้นเรื่องต่างๆ เอาไว้อย่างมากมาย ซึ่งจือเหวินเองก็ไม่เคยปรานีศัตรูเลยแม้แต่น้อยและนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเติบโตขึ้นและมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนี่เป็นผลมาจากความสัมพันธ์ของเธอกับอย่างเทียนอย่างแน่นอน
เย่เชียนเองก็ได้ตรวจสอบเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นเย่เชียนจึงชื่นชมจื้อเหวินเล็กน้อย อาจพูดได้ว่าเหตุผลที่ทำให้จื้อเหวินประสบความสำเร็จได้ในทุกวันนี้นั้นก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเธอกับหยางเทียนแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือความตั้งใจของเธอและความไม่ย่อท้อของเธอนั่นเอง
ไม่เพียงแค่นั้นเพราะหน่วยข่าวกรองของเขี้ยวหมาป่ายังทำการสืบค้นเชิงลึกเกี่ยวกับวีรกรรมของหยางเทียนที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องราวของชายคนนี้นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นตำนานเลยก็ว่าได้ ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะทำเรื่องเลวร้ายมาตลอดก็ตามแต่ในการวิเคราะห์แล้วสุดท้ายเขาก็ยังคงเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การชื่นชมอยู่ดี ถ้าหากต้องใช้คำไหนในการอธิบายล่ะก็คงจะต้องใช้คำว่า ‘วีรชน’ เพราะนั่นเหมาะสมที่สุดสำหรับเขา
แม้แต่เย่เชียนเองเมื่อเขาเห็นข้อมูลของหยางเทียนแล้วเขาก็รู้สึกชื่นชมชายคนนั้นเล็กน้อย ซึ่งมันก็น่าเสียดายนักที่พระเอกเช่นนี้จะต้องมาตายจากเร็วเกินไป
“หัวหน้าจือ!” เย่เชียนทักทาย
จือเหวินก็โบกมือเบาๆ และบอดี้การ์ดก็ออกไปด้วยความเคารพ “นั่งก่อนสิ!” จือเหวินพูดโดยไม่ได้มองไปที่เย่เชียนเลยแม้แต่น้อยเธอเพียงแค่เคาะนิ้วของเธอเบาๆ ลงบนโต๊ะเพื่อส่งสัญญาณให้เย่เชียนนั่งลงด้วยท่วงท่าที่ดูสง่างาม ซึ่งชื่อชื่อแม่ม่ายดำนั้นเป็นสิ่งที่เธอสมควรได้รับแล้ว
เย่เชียนก็เดินไปที่ฝั่งตรงข้ามของจือเหวินและนั่งลงแบบสบายๆ เล็กน้อยราวกับว่าเขาอยู่ในบ้านของตัวเอง ซึ่งเย่เชียนนั้นเคยพบเจอคนที่มีอำนาจและอิทธิพลมากกว่าจือเหวินมามากมายและเขาก็ไม่เคยประหม่าเลยสักครั้งแล้วนับประสาอะไรกับจือเหวิน? ส่วนโจวหยวนก็ยืนอยู่ข้างหลังเย่เชียนอย่างเป็นธรรมชาติและสายตาของเขาก็ไม่กล้ามองไปที่จือเหวินเลยด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวความคิดที่ชั่วร้ายและเจตนาร้ายของเขาแต่มันเป็นเพราะจือเหวินที่มีกลิ่นอายที่น่ากลัวเกินไปจนเขารู้สึกกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก
“ฉันรู้เรื่องของคุณแล้ว..เนื่องจากหวังหูขอความช่วยเหลือมาเพราะงั้นคุณไม่ต้องห่วงฉันจะช่วยคุณหาถังเหวยซวนเอง” จือเหวินหันหน้าไปมองเย่เชียนพูด แต่ทว่าบนใบหน้าของเธอมีความประหลาดใจปรากฏขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะพูดตามตรงเลยก็คือเธอนั้นรู้สึกตกใจเล็กน้อยและในใจของเธอก็รู้สึกได้เบาๆ ว่าผู้ชายตรงหน้าเธอนั้นไม่ใช่แค่พ่อค้าของโบราณแต่อย่างใด เพราะความกดดันที่ยิ่งใหญ่ที่เย่เชียนแสดงออกมานั้นไม่สามารถซ่อนจากเธอได้เลย ซึ่งสัมผัสที่หกของผู้หญิงบ่งบอกเธอว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
ที่สำคัญกว่านั้นเธอเห็นเงาของหยางเทียนบนร่างกายของเย่เชียนซึ่บเพียงแค่แวบเดียวเธอก็รู้สึกได้ในทันที
“ถ้างั้นผมเย่เชียนก็ขอขอบคุณล่วงหน้าเลยก็แล้วกันครับ..นี่เป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าหัวหน้าจือจะชอบนะครับ” เย่เชียนพูดขณะที่เขาโบกมือให้โจวหยวนยื่นของขวัญให้เธอ
จือเหวินก็ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมองเธอเพียงพูดอย่างแผ่วเบาว่า “มันคือความร่วมมือและการช่วยเหลือกัน..แล้วถ้าหากฉันรับของตอบแทนจากคุณแล้วฉันจะไม่กลายเป็นคนที่ทำอะไรเพียงเพื่อผลกำไรแบบนั้นหรอ?”
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และโบกมือให้โจวหยวนถอยกลับมาแต่ทว่าของขวัญก็ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ “มันเป็นเพราะผมชินกับนิสัยแบบนี้ไปแล้วนะ..ผมหวังว่าหัวหน้าจือจะยกโทษให้ผม..ของชิ้นนี้ไม่ใช่ของราคาแพง..มันไม่ได้มีค่ามากนัก” เย่เชียนพูด
จือเหวินก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและเปิดกล่องด้วยความสงสัยและพบว่าด้านในเป็นภาพวาดภาพวาดทิวทัศน์ซึ่งในภาพวาดก็มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนสะพานท่ามกลางกระแสลมหวนและฝนที่โหมกระหน่ำ และสิ่งที่สำคัญก็คือใบหน้าของหญิงสาวนั้นดูสดใสและมีความสุข ซึ่งนี่คือภาพที่เย่เชียนใช้ความพยายามอย่างมากโดยการตามหาจิตรกรท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงมาวาดภาพนี้เป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าภาพวาดนี้จะเป็นเพียงภาพวาดธรรมดาๆ แต่ในมุมมองของจือเหวินแล้วมันมีความหมายมากเลยทีเดียว
เพราะการแสดงออกของผู้หญิงในภาพวาดนั้นเหมือนกับเธอเมื่อก่อนทุกประการ
การแสดงออกของจือเหวินในขณะนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดราวกับว่าความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ในตัวเธอได้หวนกลับมาในใจของเธออีกครั้งและเธอก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายของเย่เชียนได้ว่าเขากำลังหัวเราะเยาะเธอหรือเขากำลังพยายามที่จะแสดงให้เห็นเพื่อพิสูจน์ว่าเขานั้นรู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับเธอ?
หลังจากหยุดไปชั่วขณะน้ำเสียงของจือเหวินก็เบาลงล็กน้อยแล้วเธอก็พูดว่า “นี่หมายความว่าไง”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “จงเรียนรู้จากความอัปยศและเปลี่ยนมันเป็นความแข็งแกรง!!”
จือเหวินก็ถึงกับตกใจและมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจเพราะเธอทำสิ่งต่างๆ อย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดหลายปีเพื่อลืมความอัปยศอดสูนั้นแต่ทว่าถึงยังไงก็ดูเหมือนว่ามันจะทำให้ตัวเธอยิ่งจมดิ่งลึกลงไปมากขึ้น ซึ่งเธอนั้นอายุแค่ 28 ปีแต่เธอกลับดูเหมือนคนในวัย 40 ปี ทำไมกันล่ะ? นั่นก็เพราะว่าเธอกดดันตัวเองหนักเกินไปเพราะการที่เธอยิ่งอยากลืมสิ่งต่างๆ มากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งลืมไม่ลงมากเท่านั้น ถึงแม้ว่าคนภายนอกจะกลัวที่จะเอ่ยถึงช่วงเวลานั้นแต่ใครจะรับประกันได้ว่าคนอื่นๆ จะไม่นินทาเธอลับหลังกัน?
“ขอบคุณ!” หลังจากนั้นไม่นานจือเหวินก็ค่อยๆ ม้วนรูปภาพใส่กลับเข้าไปในกล่องและปิดฝาไป
“คุณเย่คะ..คุณดูไม่เหมือนนักธุรกิจธรรมดาๆ เลย..คุณเป็นใครกันแน่” น้ำเสียงของจือเหวินดูแปลกๆ ไปเล็กน้อยราวกับว่าเธอกำลังชื่นชมและกำลังเย้ยหยันไปพร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ได้วางแผนเอาไว้แล้วว่าเขาจะไม่เข้าไปแทรกแซงสิ่งต่างๆ ในดินแดนแถบตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้เพราะเขามาเพียงเพื่อตามหามีดคลื่นโลหิตหมาป่าและหลังจากนั้นเขาก็จะกลับไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้ทันที ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาและยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าชื่อของเขี้ยวหมาป่าจะโด่งดังแต่ทว่าในประเทศจีนนั้นพวกเขาก็ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก และยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากเย่เชียนบอกไปว่าเขาเป็นราชาหมาป่าเย่เชียนแล้วเย่เชียนก็คิดว่าถึงยังไงจือเหวินก็ไม่รู้จักอยู่ดี
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ก็ตามถึงยังไงจุดประสงค์ของผมก็คือการตามหาถังเหวยซวนเท่านั้น..ผมแค่อยากได้ของของผมคืน..ส่วนที่เหลือมันก็ไม่มีอะไรสำคัญหรอกใช่มั้ย?” เย่เชียนพูดอย่างเรียบเฉย
จือเหวินก็พยักหน้าเบาๆ เพราะแท้จริงแล้วเธอเองก็ไม่ได้สนใจตัวตนของเย่เชียนมากนักและเธอก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย อย่างไรก็ตามเนื่องจากความสัมพันธไมตรีแล้วการที่หวังหูมาขอความช่วยเหลือด้วยตัวเองเช่นนั้นเธอจึงต้องให้หน้าและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ซึ่งถึงแม้ว่าหวังหูเพิ่งจะปรากฏตัวได้ไม่นานนักแต่เธอก็ต้องตกใจอย่างมากที่เขาสามารถครองเมืองเซี่ยงไฮ้ได้ ดังนั้นการที่เธอได้ช่วยเหลือหวังหูในครั้งนี้มันก็เทียบเท่ากับการทำให้เขาเป็นหนี้บุญคุณเธอและยิ่งไปกว่านั้นการช่วยเหลือในครั้งนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องยากและไม่ได้เสียอะไรเลยแม้แต่น้อย
“ฉันรู้เรื่องนี้แล้ว..เพราะงั้นฉันจะแจ้งให้คุณทราบหากฉันมีข่าวอะไรใหม่ๆ ..เพราะงั้นคุณกลับไปก่อนเถอะ!” จือเหวินพูดอย่างเย็นชาซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังไล่เขาให้ออกไป
เย่เชียนก็ยักไหล่เบาๆ เพราะจุดประสงค์ของการมาหาเธอในครั้งนี้นั้นก็สำเร็จแล้วดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ “ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ..ผมฝากเรื่องนี้ด้วยนะครับหัวหน้าจือ..ลาก่อน!” เย่เชียนพูดจบแล้วลุกขึ้นเดินออกไป
โจวหยวนก็รีบเดินตามไปซึ่งเขายนั้นก็โล่งใจอย่างมากเพราะเขาไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเผชิญหน้ากับเย่เชียนเขาก็ไม่ได้รู้สึกกดดันมากขนาดนั้นแต่ทว่าเขากลับรู้สึกหายใจลำบากมากเมื่ออยู่ต่อหน้าจือเหวิน ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าขานั้นไม่รู้ถึงสถานการณ์ตัวตนที่แท้จรืงของเย่เชียนที่มักจะยับยั้งออร่าและกลิ่นอายของเขาเอาไว้ในเวลาปกติให้ดูใจดีและใจกว้างอย่างมาก ดังนั้นคนอื่นๆ จึงดูเหมือนว่าเย่เชียนนั้นเข้าหาได้ง่าย แต่ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ทั้งจิตสังหารและเจตนาฆ่าของเขาก็จะระเบิดออกมาจนคนทั่วไปแทบจะยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เมื่อมองไปที่เย่เชียนที่จากไปจือเหวินก็อดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดเบื้องลึก เพราะถ้าหากเย่เชียนเป็นเพียงนักธุรกิจล่ะก็เขาจะไม่มีทางรู้เรื่องของเธออย่างแน่นอนและเขาก็จะไม่ให้ของขวัญหรือพูดแบบนั้นกับเธอเป็นแน่ เพราะคนส่วนใหญ่ก็รู้ดีว่าการเปิดรอยแผลของผู้อื่นนั้นมันก็เท่ากับเป็นการดูถูกผู้อื่นและตอกย้ำความอัปยศของคนคนนั้น ซึ่งการกระทำของเย่เชียนนั้นไม่ใช่สิ่งที่นักธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรควรจะทำเลย
เย่เชียนก็ไม่ได้เห็นอกเห็นใจอะไรกับประสบการณ์ชีวิตของจือเหวินเลยแต่เขาคิดเพียงแค่ว่าผู้หญิงอย่างจือเหวินเป็นผู้หญิงที่มีค่าควรแก่การช่วยเหลือของหยางเทียนเพราะถ้าหากหัวใจของใครถูกกดทับและบดขยี้ด้วยบาดแผลอยู่เสมอนั้นจิตใจของเธอก็จะย่ำแย่และไม่ดีต่อสุขภาพซึ่งไม่เอื้อต่อการพัฒนาที่ดีของเธอ ดังนั้นเย่เชียนจึงให้ภาพวาดจือเหวินเป็นพิเศษและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเขาเชื่อว่าจือเหวินเป็นคนฉลาดและเข้าใจความหมายของคำพูดได้แต่เพียงแค่ว่ามันไม่มีใครพูดแบบนั้นกับเธอมาตั้งหลายปีแล้ว
เมื่อครั้งที่หยางเทียนยังมีชีวิตอยู่เขาก็ไม่เคยปลอบใจเธอเพื่อให้เธอได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ทว่าหลังจากที่หยางเทียนตายไปก็ยังไม่มีใครมาปลอบใจเธอ ซึ่งถ้าหากคนคนหนึ่งจงใจที่จะหลีกเลี่ยงความเศร้าที่เกิดขึ้นแล้วกำลังเผชิญกับบาดแผลที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนั้นมันจะทำให้ตัวเองมียิ่งแผลในใจมากขึ้นเท่านั้น
“เฮ้!” เย่เชียนบังเอิญเดินไปชนใครบางคนเมื่อเขากำลังจะออกไป ซึ่งผู้ชายคนนี้สูง 1.9 เมตรและมีรูปร่างที่แข็งแรงกำยำและมีรอยสักบนหน้าผากของเขาโดยตัวอักษรคำว่า ‘ราชา’ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหน้าผากของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่? เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและรีบแสร้งเดินโซเซถอยหลังกลับไปสองสามก้าว
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะบังเอิญเดินชนกันก็ตามแต่ในความเป็นจริงแล้วเย่เชียนนั้นก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อยแต่ทว่าร่างกายของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ถูกแรงกระแทกจนถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่ทันตั้งตัว และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความสงสัยของหลวนปิงลี่แล้วเย่เชียนจึงต้องแสร้งตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยการเซถอยหลังไปสองสามก้าวจากนั้นเย่เชียนก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจและขยี้หัวของเขาด้วยความงุนงง
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ฟื้นคืนสติได้อย่างรวดเร็วและหลังจากมึนงงอยู่ชั่วครู่โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับเย่เชียนแล้วเขาก็ก้าวเข้าไปข้างในโดยมีชาวต่างชาติตามมาข้างหลังเขา ซึ่งเมื่อคนของจือเหวินเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่เช่นนี้พวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาห้ามแต่อย่างใด
“ให้เขาเข้ามา!” เมื่อจือเหวินเห็นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่แล้วเธอก็พูดช้าๆ แต่ทว่าดวงตาของเธอนั้นกลับจับจ้องไปที่เย่เชียนอย่างใจจดใจจ่อเพราะคนอื่นๆ นั้นมองไม่เห็นแค่เธอเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเย่เชียนนั้นเดินชนเข้ากับพยัคฆ์แดนเหนือจนเขาถอยกลับไปสองสามก้าว ซึ่งถึงแม้ว่าเย่เชียนจะตอบสนองเร็วมากก็ตามแต่ถึงยังไงเธอก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งพยัคฆ์แดนเหนือนั้นก็ไม่ได้สังเกตเห็นแต่ทว่าจือเหวินนั้นเห็นมันชัดเจนจนเธอเผยความประหลาดใจในดวงตาของเธอโดยไม่รู้ตัวแต่เธอก็รีบปกปิดมันไปอย่างรวดเร็ว
.
.
.
.
.
.
.