ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 43 โชคชะตา
“นั่งลง!” อาจารย์ฉินหยูพูดขึ้นเมื่อเธอมองเห็นใบหน้าของเย่เชียนที่ดูว้าวุ่นใจอีกครั้ง อีกทั้งยังยืนทื่ออยู่กับที่
เย่เชียนแปลกใจและไม่เชื่อว่าเงินเดือนและสวัสดิการของอาชีพอาจารย์จะดีถึงขนาดนี้ ซึ่งมันดีเกินกว่าที่เขาเคยทราบมาไปมาก แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้อย่างมากที่อาจารย์ธรรมดา ๆ จะมีห้องทำงานส่วนตัว เย่เชียนจึงเดาว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมาจากตระกูลที่มีอิทธิพลแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วเธอจะได้รับผลประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร ?
เมื่อเขาได้ยินเสียงของฉินหยูบอกให้เขานั่งลง เย่เชียนก็กลับมาสงบสติอารมณ์และนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเธอ
“เย่เชียน… ฉันอยากให้นายเข้าใจว่าฉันไม่สนใจว่านายจะมีความสัมพันธ์อะไรกับผู้อำนวยการหวางหรอกนะ… เนื่องจากนายอยู่ในคลาสเรียนของฉัน นายก็ต้องปฏิบัติตามกฎของฉัน” ฉินหยูพูดอย่างจริงจัง
เย่เชียนตกใจเล็กน้อยเพราะเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับผอ.คางคกนั่นเลย เขาครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งและอยากจะอธิบายว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับผอ.คางคก แต่เขาก็คิดว่ามันคงไร้ประโยชน์ถ้าจะอธิบายไป เขาจึงเลือกที่จะพยักหน้าและตอบเธอไปว่า “ผมเข้าใจแล้ว… ตราบใดที่ผมอยู่ข้างกายของคุณ ผมก็จะปฏิบัติตามกฎของคุณ…”
ฉินหยูถึงกับพูดไม่ออก เพราะคำพูดของเย่เชียนมันฟังดูเหมือนว่าเขาคุ้นเคยกับการพูดคุยกันในหมู่พวกนักเลงอันธพาล ถ้าเขาใช้คำว่า ‘ข้างกายของคุณ’ เธอก็คิดว่าเย่เชียนอาจเป็นพวกนักเลงหัวไม้จริง ๆ และเคยเป็นพวกโดดเรียนหรือหนีออกจากบ้านมาก่อน คำเหล่านี้จึงไม่แปลกสำหรับเขา
“เอาล่ะ… ตอนนี้นายเป็นนักศึกษาแล้ว นายต้องทำตัวให้สมกับเป็นนักศึกษา แต่ดูการแต่งตัวของนายตอนนี้สิ… มันไม่เหมาะสมเลยนะ” ฉินหยูเอ่ยพลางถอนหายใจ
เย่เชียนก้มมองลงเสื้อผ้าของเขา เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศและไม่มีเวลาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่เลย นอกเหนือจากชุดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองชุดแล้ว เขาก็มีเพียงแค่ชุดนี้ที่เป็นเสื้อยืด กางเกงสีดำของหน่วยรบพิเศษกับรองเท้าบูทคอมแบทที่ดูเก่าและสีซีดจาง เขาจึงพูดอย่างน่าเวทนาว่า “อ้อ… ผมไม่มีเสื้อผ้าชุดอื่นน่ะ ผมมีเพียงแค่ชุดนี้ชุดเดียว…”
“ห๊ะ! นายใส่ชุดนี้ตลอดทั้งปีเลยเหรอ ?!” ฉินหยูถามด้วยความประหลาดใจ
เธอเป็นผู้หญิงที่รักชอบความสะอาด และแน่นอนว่าเธอก็ไม่กล้าที่จะสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกันแม้แต่วันเดียว ไม่ต้องพูดถึงการสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกันตลอดทั้งปีเลย
“ไม่ ๆ… มันไม่ใช่อย่างนั้น! คือผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศน่ะ พอดีผมรีบมากเกินไปหน่อยเลยไม่ได้เอาพวกเสื้อผ้าอื่น ๆ ติดมาด้วย อีกอย่าง ผมก็ยังไม่มีเวลาไปหาซื้อใหม่เลยต้องทนกับเรื่องนี้ไปก่อน” เย่เชียนตอบกลับด้วยสายตาที่ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
“นายเคยไปต่างประเทศมาแล้วเหรอ ? ไปประเทศไหนมาล่ะ ?” ฉินหยูถามอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
“ประเทศทางตะวันออกกลางน่ะ” เย่เชียนตอบกลับง่าย ๆ
“ตะวันออกกลาง ? นายไปทำอะไรที่นั่น ? ไปศึกษาเหรอ ?” ฉินหยูถามด้วยความประหลาดใจ เธอได้ยินมาว่าสถานที่นั้นกำลังอยู่ในภาวะสงคราม ในตอนแรก เธอคิดว่าเย่เชียนจะบอกว่าเขามาจากประเทศอังกฤษหรือไม่ก็สหรัฐอเมริกาเสียอีก เธอไม่ได้คาดหวังเอาไว้เลยว่าเย่เชียนจะพูดว่าตะวันออกกลาง
เย่เชียนหัวเราะและพูดว่า “ที่นั่นมันค่อนข้างยุ่งเหยิง… มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะหาเงิน”
ฉินหยูจ้องมองเย่เชียนอย่างสับสนงงงวย เธอรู้สึกว่ายิ่งมองและยิ่งรู้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น เธอจึงถามต่อว่า “อ้าว! นายมีงานทำแล้วเหรอ ? แล้วอะไรที่ทำให้นายตัดสินใจย้ายมาเรียนที่นี่กันล่ะ ?” ฉินหยูถามอย่างสงสัย
เย่เฉียนลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง สายตาของเขามองออกไปข้างนอก เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้พูดถึงความเป็นมาของตัวเอง เย่เชียนนั้นได้เรียนรู้วิธีการพูดกับผู้คนต่าง ๆ มากมาย และเขารู้ดีว่าการพูดตัดพ้อถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่น่ารันทดมันเป็นอาวุธที่ดีสำหรับเอาไว้ใช้กับผู้หญิง เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และพูดขึ้นว่า
“ผมเป็นเด็กกำพร้า… ตั้งแต่ที่ผมจำความได้ ผมน่ะไม่เคยได้มีโอกาสเห็นหน้าพ่อแม่เลย ผมเป็นแค่ขอทานตามท้องถนน นอนใต้สะพานและอดมื้อกินมื้อ แต่ผมยังโชคดีเพราะต่อมาผมก็ได้รับการเลี้ยงดูจากผู้ที่มีจิตใจเมตตา นั่นก็คือตอนที่ผมมีสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวเป็นครั้งแรก… ชายชราที่รับอุปถัมภ์ผมมานั้นไม่ได้ร่ำรวยแต่อย่างใด ท่านเป็นแค่คนเก็บขยะคนหนึ่งเท่านั้น ผมจึงไม่มีเงินไปศึกษาเล่าเรียนเหมือนใครเขา ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ผมก็คงต้องตายเพราะความหิวโหยไปนานแล้ว ถึงแม้ว่าท่านจะมีฐานะยากจน แต่ท่านนั้นร่ำรวยน้ำใจ ท่านให้ความรักความอบอุ่นกับผมอย่างที่เด็กคนหนึ่งควรจะมี…
แปดปีที่ผ่านมาที่ผมออกจากบ้านไป ผมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากเลย แต่อย่างน้อย ๆ ผมก็ไม่หิวโหยหรือหนาวเหน็บอีกต่อไป ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะชดเชยเวลาที่ขาดหายไปในชีวิตของผมด้วยการมาเรียนที่มหาวิทยาลัย มันเป็นความฝันอย่างหนึ่งของผม ผมเคยคิดว่าถ้าผมสามารถเรียนที่นี่ได้ ผมก็จะไม่เสียใจเลย!”
เย่เชียนไม่ได้โกหกฉินหยู เพราะคำพูดเหล่านี้ล้วนมาจากใจของเขาและจากชีวิตของเขาจริง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องโกหกเลย อีกทั้งเขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าอายแต่อย่างใด
หลังจากที่ฉินหยูได้ยินคำพูดของเขา เธอก็ตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย ผู้หญิงอย่างเธอจะจินตนาการถึงชีวิตความเป็นอยู่เช่นนั้นได้อย่างไร เธอเป็นลูกสาวของครอบครัวที่มีฐานะมาตั้งแต่เกิด เธอนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตเด็กขอทานข้างถนนเป็นอย่างไรและไม่คาดคิดด้วยว่าชีวิตของเย่เชียนจะมีเรื่องราวเช่นนี้ เธอจ้องมองแผ่นหลังของเขาในขณะที่เขายืนมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอจึงคิดกับตัวเองว่า ‘บางทีเขาอาจไม่อยากให้ฉันรู้ว่าเขามีภูมิหลังที่น่าอับอาย’ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเย่เชียนต้องลำบากมากขนาดไหน แต่เธอก็คิดว่าเส้นทางของเขานั้นมีแต่ขวากหนามและคงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ท้ายที่สุดแล้วมันต้องยากมากสำหรับคนที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีที่ยืนในสังคม ไม่มีคนหนุนหลัง ไม่มีคนสนับสนุน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เธอมองไปที่ชายหนุ่มผู้เปล่งประกายที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่ในรูปของชายหนุ่ม ฉินหยูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงทางและหวั่นไหว เธอคิดในใจว่า ‘เขาคงต้องผ่านเรื่องราวมามากมายแน่ ๆ’
หลังจากที่เย่เชียนเพิ่งจะเล่าเรื่องราวอันน่าเศร้าของตัวเองไป เขาก็หันกลับมาแล้วพูดว่า “ผมขอโทษนะ… ที่ผมพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
ฉินหยูส่ายหัวทันที “ไม่เป็นไร ๆ ตอนนี้นายมีโอกาสนี้แล้ว… ฉันหวังว่านายจะรักษามันไว้ให้ดี เพราะนายคงไม่อยากให้มันเสียเวลาไปเปล่า ๆ หรอกใช่มั้ย ?”
เย่เชียนยิ้มอ่อน ๆ และตอบว่า “ขอบคุณ… ผมขอบอกตามตรงเลยนะว่าผมอาจจะอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก ที่ผมอยู่ที่นี่เพราะมันเป็นความฝันอย่างหนึ่งของผมมานานแล้ว แต่ท้ายที่สุด ผมก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำข้างนอก ผมไม่มีเวลามากพอสำหรับเรื่องนี้”
เย่เชียนรู้ดีว่ามันแปลกมากที่เขาจะพูดเรื่องแบบนี้กับคนแปลกหน้า บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้ว่า เขารู้สึกราวกับว่าตัวเขาเองและฉินหยูเคยพบกันมาก่อน นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า ‘โชคชะตา’ ก็เป็นได้
เมื่อเธอได้ยินเย่เชียนพูดว่าเขาอาจจะอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก ฉินหยูก็รู้สึกไม่ดีและไม่เต็มใจกับคำพูดนั้น แต่เพียงชั่วครู่ฉินหยูก็ขจัดความรู้สึกนั้นออกไป
“อืม ในเมื่อนายตัดสินใจด้วยตัวเอง ฉันก็จะไม่รั้งนาย”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ จู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกโดยชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังถือดอกไม้เข้ามาในห้อง เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของฉินหยู เขาก็พูดขึ้นมาว่า “หยูหยู่… คุณไม่มีสอนแล้วเหรอ ? ผมจองโต๊ะเอาไว้แล้ววันนี้… คุณจะให้เกียรติไปทานข้าวกับผมได้ไหม ?”
ฉินหยูขมวดคิ้วของเธอและมองชายคนนั้นอย่างรังเกียจและตอบอย่างเย็นชาว่า “เหว่ยเฉินหลง! คุณไม่มีมารยาทเลยหรือไง ? ทำไมคุณไม่รู้จักเคาะประตูก่อน ? แล้วคุณก็อย่ามาเรียกฉันด้วยชื่อเล่น… เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนะ!”
เหว่ยเฉินหลงเสียหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็วและยิ้มตอบ
“เอาล่ะ… ผมจะเรียกคุณว่าฉินหยูก็ได้ พอใจแล้วหรือยัง ? ว่าแต่… ผมจองร้านอาหารเอาไว้เรียบร้อยแล้วและรถก็กำลังจอดรออยู่ข้างล่าง คุณจะให้เกียรติไปกับผมไหม ?”