ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 46 น่ารัก
“ไอ้บ้า…!” จ้าวหยาตะโกนแล้วรีบวิ่งไปหาเย่เชียน ท่าทางของเธอนั้นน่ากลัวราวกับว่าเธอต้องการจะฆ่าเย่เชียนทิ้งเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่เย่เชียนนั้นฉลาดพอ เขาไม่ต้องการให้มีรอยฟันบนแขนของเขาอีกจึงรีบวิ่งหนีก่อนที่จ้าวหยาจะบ้าคลั่งมากัดเขา
……
แน่นอนว่าเหตุผลที่เย่เชียนกลับมาที่ประเทศจีนก็ไม่ใช่เพื่อที่จะมาหาอะไรทำฆ่าเวลาหรือเบื่อหน่ายกับชีวิตการเป็นทหารรับจ้าง เพราะมันก็นานมากแล้วที่หน่วยเขี้ยวหมาป่าไม่ได้มาทำภารกิจที่ประเทศจีนเลย
เย่เชียนเป็นคนจีนโดยกำเนิด และเขานั้นก็เป็นคนหนึ่งที่รักชาติยิ่งชีพ ซึ่งประเทศจีนแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ตรงที่ไม่ยอมรับการมีอยู่ของทหารรับจ้าง ถึงแม้ว่าทหารรับจ้างจะไม่ได้อยู่ในองค์กรใต้ดินใด ๆ ก็ตามที พวกเขาเพียงทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงชีวิตและครอบครัวของตัวเอง แต่ในสายตาของรัฐบาลจีนนั้น พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตและอยู่นอกเหนือกฎหมายอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ารัฐบาลจีนจะไม่เต็มใจที่จะยอมรับลักษณะทางกฎหมายของทหารรับจ้างในประเทศ แต่ทางรัฐบาลก็ให้ความร่วมมือกับหน่วยเขี้ยวหมาป่าอยู่หลายครั้งเช่นกัน
เย่เชียนนั้นเป็นคนที่ไม่เต็มใจยอมรับกับข้อผิดพลาดและการถูกเอาเปรียบเท่าใดนัก ในความคิดของเขา ลูกผู้ชายควรมีความเป็นเจ้าของและปรารถนาที่จะพิชิตสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาจะกลับมายังประเทศจีนได้ไม่กี่วัน แต่มันก็ชัดเจนแล้วว่าไม่มีอะไรที่แน่นอนเลยในแผ่นดินจีนนี้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับวิธีการและสถานการณ์ที่ใช้ทำสิ่งต่าง ๆ ล้วน ๆ
เย่เชียนหายใจเข้าลึก ๆ และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เขากดโทรออก จากนั้นก็พูดว่า “พิกัด… ประเทศจีน!”
หลังจากนั้นเย่เชียนก็วางสายโทรศัพท์ไป
……
หลังจากวิ่งหนีจ้าวหยามาสักพัก เย่เชียนก็คิดได้ว่าวันนี้เขายังไม่ได้กินข้าวเลย และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเขารีบร้อนในตอนเช้าและลืมเอาเงินมาด้วย เขาคิดถึงจ้าวหยาขึ้นมาแต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของเธอในตอนนี้ เย่เชียนก็คิดว่าคงจะลำบากที่จะยืมเงินเธอ เขาควรหลีกเลี่ยงเธอไปก่อน
ในขณะที่เย่เชียนกำลังลังเลที่จะเดินกลับไปหาจ้าวหยาเพื่อขอยืมเงินเธอมาซื้อข้าวกิน จู่ ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มันเป็นเบอร์ของแฟนอย่างเป็นทางการเพียงคนเดียวของเขา… หลินโรโร่ว
“ที่รัก… คุณคิดถึงผมไหม ?” พอรับสาย เย่เชียนก็ปากหวานขึ้นมาทันที
เห็นได้ชัดว่าหลินโรโร่วยังไม่คุ้นเคยกับการเรียกแบบนี้ของเย่เชียน เธอจึงถอนหายใจเล็กน้อยและพูดว่า “เย่เชียน… พ่อของคุณจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้แล้วนะ คุณจะมารับท่านมั้ย ?”
“ไปสิ… กี่โมงเหรอ ?”
เย่เชียนหยุดการหยอกล้อกับหลินโร่โร่วไว้ชั่วคราวและถามอย่างเป็นทางการเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อของเขา ไม่มีใครมาแทนพ่อของเขาได้ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ฮันเซ่ลจะดูแลพ่อเป็นอย่างดีก็ตาม แต่เย่เชียนเองก็ยังคงไปหาพ่อเป็นเวลาสองสามชั่วโมงทุกวัน เพียงแค่เมื่อวานนี้ที่เขามีปัญหานิดหน่อยก็เลยไม่ได้ไป แต่วันนี้ท่านก็กำลังจะได้กลับบ้านแล้ว
“ฉันทำทุกอย่างตามขั้นตอนการขอออกจากโรงพยาบาลให้เรียบร้อยหมดแล้วนะ เหลือเพียงแค่รอให้คุณมา…” หลินโรโร่วพูดเบา ๆ
“ขอบคุณมากนะที่รัก… เดี๋ยวผมจะรีบไปที่นั่นทันทีเลย!”
เย่เชียนวางสายหลังจากพูดจบ จากนั้นเขาก็ไปขออนุญาตอาจารย์ฉินหยูเพื่อลากิจครึ่งวัน และเมื่อได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบกลับบ้านอย่างเร่งรีบ
ตามที่ฉินหยูกล่าวมาก่อนหน้านี้ว่า ถ้าเย่เชียนอยู่ในเขตความรับผิดชอบของเธอ แล้วเขาปฏิบัติตัวตามกฎ การลาครึ่งวันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไร ฉินหยูไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล เมื่อเธอรู้ว่าเย่เชียนกำลังจะไปรับพ่อของเขาออกจากโรงพยาบาล เธอก็อนุมัติให้โดยไม่ลังเลใด ๆ เธอแค่บอกเย่เชียนว่าถ้าคืนนี้เขาไม่สะดวกก็เลื่อนไปเป็นเย็นวันพรุ่งนี้แทนได้ แต่เย่เชียนกลับไม่เห็นด้วย เพราะเขาจะไม่มีทางผิดคำพูดกับสุภาพสตรีเช่นเธอ ถึงแม้ฟ้าจะถล่มดินจะทลายยังไง เขาก็ต้องไปตามนัด…
หลังจากที่ออกมาจากออฟฟิศของฉินหยูแล้ว เย่เชียนก็นั่งแท็กซี่กลับไปที่บ้าน จากนั้นก็ขับรถของหลี่ตงมุ่งไปยังโรงพยาบาล ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เข้าใจว่าทำไมพวกของหลี่ตงถึงยังไม่นำเงินมาแลกกับรถคันนี้ แต่เนื่องจากหลี่ตงไม่ได้รีบร้อน เขาก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน เพราะไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีรถเพื่อใช้ไปไหนมาไหน และเขาก็เชื่อว่าอีกไม่นานหลี่ตงก็คงจะนำเงินมาให้เขาเอง
จ้าวหยายังคงอยู่ในมหาวิทยาลัย ซึ่งเย่เชียนคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถึงแม้ว่าศัตรูของจ้าวเทียนห่าวต้องการที่จะจัดการกับเธอก็ตาม แต่เย่เชียนคาดว่าคนพวกนั้นจะไม่ผลีผลามทำอะไรในที่สาธารณะอย่างมหาวิทยาลัยอย่างโจ่งแจ้งแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากเรื่องมันเลยเถิดเกินไป มันก็จะไม่เป็นผลดีสำหรับพวกนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อเย่เชียนคิดได้เช่นนั้น เขาจึงไปโรงพยาบาลได้ด้วยความมั่นใจและสบายใจ
เย่เชียนจอดรถอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องผู้ป่วยทันที เมื่อเขาเดินไปถึงห้องที่พ่ออยู่ เขาก็เห็นหลินโรโร่วกับฮันเซ่ลที่ดูน่ารักและอ่อนโยนกำลังช่วยกันเก็บสัมภาระของเขา เมื่อหยางเจียนกัวเห็นว่าเย่เชียนเข้ามา เขาก็พูดขึ้นว่า
“เสี่ยวเชียนเอ๋อร์… แกลางานออกมาแบบนี้ มันจะดีเหรอ ?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ… หัวหน้าบริษัทที่ผมทำงานอยู่เขาดีมาก เมื่อเขารู้ว่าผมจะมารับพ่อออกจากโรงพยาบาล เขาก็อนุมัติการลาให้ผมเลย” เย่เชียนพูดไปยิ้มไป
หยางเจียนกัวพยักหน้าและพูดว่า “เสี่ยวเชียนเอ๋อร์ ในเมื่อตอนนี้แกก็มีการมีงานทำแล้ว พ่อก็อยากให้แกได้ดิบได้ดี… พ่อคงไม่ขออะไรไปมากกว่านี้ ตราบใดที่ยังทำงานได้ แกก็ทำให้ดี เข้าใจใช่ไหม ?”
เย่เชียนพยักหน้าอย่างมั่นคง เขารู้สึกอึดอัดลำบากใจเล็กน้อย เพราะพ่อของเขากังวลเกี่ยวกับตัวเขามาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต อย่างไรก็ตาม เย่เชียนไม่ต้องการให้พ่อของตนรู้ว่าตนเคยทำอะไรมาก่อน และจริง ๆ แล้วตนกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ เพราะไม่อย่างนั้นพ่อจะยิ่งกังวลมากกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้เป็นความลับ และเขาต้องพูดให้พ่อของเขาสบายใจ
“พ่อไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ… อย่ากังวลไปเลย”
หยางเจียนกัวพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก เขารู้ว่าเนื้อแท้ของเย่เชียนนั้นเป็นคนที่มีจิตใจดี สิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ มันเป็นเพียงแค่ความโชคร้ายเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว เย่เชียนของเขาก็โตเป็นหนุ่มแล้ว ลูกชายของเขารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดจึงไม่จำเป็นต้องสั่งสอนอะไรอีก
เย่เชียนเดินไปด้านหน้าของหลินโรโร่วแล้วจับไหล่ของเธอเบา ๆ และพูดว่า “โรโร่ว… ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลพ่อให้”
ความสัมพันธ์ระหว่างหลินโรโร่วและเย่เชียนยังไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ ดังนั้นหยางเจียนกัวและฮันเซ่ลจึงยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเมื่อพวกเขาทั้งสองคนเห็นท่าทางที่ดูสนิทสนมกันของเย่เชียนและหลินโรโร่ว หยางเจียนกัวก็เหลือบตามองเล็กน้อยและเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุข เขาคิดว่าเด็กคนนี้ที่เขาเคยเป็นกังวลมานาน สุดท้ายแล้วเขาผู้เป็นพ่อก็สามารถเบาใจลงได้เรื่องหนึ่ง
เมื่อเห็นรอยยิ้มของหยางเจียนกัว มันก็ยิ่งทำให้หลินโรโร่วเขินอายและหน้าแดงจนอยากจะหาที่หลบเสียให้ได้ แต่หัวใจของเธอนั้นกลับพองโตและเต็มไปด้วยความสุขที่ยากจะหาใครเทียบ
“ไปกันเถอะ… ฉันจัดการทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกคุณสองคนพ่อลูกจะอยู่ที่นี่กันถึงช่วงปีใหม่เลยหรือไงคะ ?” หลินโรโร่วพูดหยอกล้อนิดหน่อยและมองหน้าเย่เชียนอย่างอ่อนโยน
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยก่อนตอบตกลง หลังจากนั้นเขาก็หยิบกระเป๋าของพ่อแล้วเดินออกจากโรงพยาบาลไป
หลินโรโร่วผู้ซึ่งยังอยู่ในเวลาทำงานจึงไปส่งพวกเขาไม่ได้ เมื่อเธอมาถึงข้าง ๆ รถของเย่เชียน เธอก็ยื่นถุงพลาสติกให้และพูดว่า “นี่ยาของคุณพ่อ คุณต้องบอกให้ท่านกินยาให้ตรงเวลานะรู้ไหม!”
เย่เชียนรับถุงพลาสติกมาจากหลินโรโร่ว จากนั้นเขาก็เอานิ้วมือสะกิดที่จมูกของเธออย่างนุ่มนวลและพูดว่า “โรโร่ว… คุณรู้ไหมว่าตอนนี้คุณเหมือนอะไร ?”
“เหมือนอะไรล่ะ ?” หลินโรโร่วถามเบา ๆ อย่างแปลกใจ
“ก็เหมือนภรรยาที่น่ารักของผมไง!” เย่เชียนพูดไปยิ้มไป