ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 48 กลับคืนสู่ธรรมชาติ
หลังจากที่ หลี่เหว่ยยี่ เตือนสติเย่เชียน เย่เชียนก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าในโทรศัพท์มือถือของสมาชิกในทีมแต่ละคนจะมีระบบระบุตำแหน่งดาวเทียม GPS ทั่วโลกและติดตั้งซอฟต์แวร์พิเศษเอาไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น การโทรออกได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
เมื่อพูดถึงหน่วยเขี้ยวหมาป่า สำหรับโลกภายนอกมักคิดว่าพวกเขาเป็นแค่กลุ่มทหารรับจ้างธรรมดา ๆ ที่มีฝีมือทางการทหารเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทีมของพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีความสามารถ อีกทั้งวิทยาการและเทคโนโลยีล้ำยุคต่าง ๆ พวกเขาก็เพียบพร้อมอย่างยิ่ง เช่น สโนว์วูล์ฟแจ็ค ที่ติดตั้งระบบและซอฟต์แวร์ให้โทรศัพท์มือถือของพวกเขา ซึ่งเป็นศูนย์รวมอัจฉริยภาพทางคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง ถึงขนาดเซิร์ฟเวอร์ของ FBI และ CIA ก็ยังเคยถูกพวกเขาแฮ็กข้อมูลมาแล้ว และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจากทางการก็สืบหาไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำ
เย่เชียนยิ้มแหย ๆ และพูดว่า “ฉันป่วยน่ะ… ฉันไม่สบาย”
หลี่เหว่ยยี่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือควรจะร้องไห้กับเรื่องนี้ดี เพราะในหน่วยเขี้ยวหมาป่านั้น ปัญหาของเย่เชียนเป็นที่รู้จักกันดีในวงกว้างว่าเย่เชียนเป็นคนที่มีความจำเป็นเลิศเกี่ยวกับสิ่งสำคัญต่าง ๆ ทว่าบางครั้งเขาก็สามารถหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไปด้วยความใจอ่อนเสียได้ จนบางครั้งพวกเขาทั้งหลายในหน่วยก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เย่เชียนจงใจแกล้งลืมหรือเผลอตัวลืมไปจริง ๆ
“บอส… วีรบุรุษผู้อ่อนโยนและกล้าหาญ… บอสต้องจริงจังกว่านี้นะ” หลี่เหว่ยยี่เตือนสติอย่างจริงจัง
“โธ่ ๆ ๆ…! นายพูดเช่นนี้กับฉันได้ยังไงกัน ? ถ้าพูดมาขนาดนี้ พวกนายก็ไปพาแฟนมาเข้าทีมด้วยซะเลยสิ” เย่เชียนตะคอก
แต่เขาก็คิดว่าการที่หลี่เหว่ยยี่มาถึงเร็วขนาดนี้ มันก็เป็นการดีกว่า เพราะเขาจะได้ไม่ต้องอยู่เคียงข้างจ้าวหยาในทุก ๆ วินาที ถึงแม้ว่าศัตรูของจ้าวเทียนห่าวจะไม่ส่งคนมายังสถาบันแห่งนี้เพื่อจัดการกับจ้าวหยาก็ตาม แต่ก็ควรที่จะป้องกันเอาไว้ก่อนดีกว่าที่จะไปตามแก้ปัญหาในภายหลัง
“แหม… ผมแค่พูดความจริงนะบอส” หลี่เหว่ยยี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
เย่เชียนมองไปยังเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาดุดันแล้วพูดต่อว่า
“ไหน ๆ นายก็มาแล้ว… งั้นนายช่วยปกป้องเด็กสาวคนนึงที่ชื่อจ้าวหยาให้ฉันทีสิ แต่… จำเอาไว้ว่าเราทำได้อย่างลับ ๆ เท่านั้นนะ ห้ามให้ใครรู้เป็นอันขาด อย่าปะทะถ้าไม่จำเป็น อ้อ… ที่สำคัญนายห้ามทำอะไรไม่ดีกับเธอเป็นอันขาด ไม่งั้นฉันจะจับนายแก้ผ้า”
เย่เชียนไม่ค่อยเข้าใจถึงบุคลิกของหลี่เหว่ยยี่สักเท่าไหร่ เพราะเด็กหนุ่มคนนี้มีใบหน้าที่ทั้งขาว เรียวงาม หล่อเหลา และนอกเหนือไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก และมีความสุนทรีย์จนแทบจะไม่มีผู้หญิงคนใดต้านทานเสน่ห์เขาได้ บางครั้งเย่เชียนก็แอบสงสัยว่าเด็กคนนี้ป่วยเป็นโรคอะไรหรือเปล่า เพราะหน่วยของพวกเขามักจะถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศอย่างเช่นประเทศแถบตะวันออกกลาง และพวกเขาจะต้องฝึกซ้อมกันกลางแจ้งแทบทุกวัน แต่ถึงกระนั้น ผิวของเด็กคนนี้ก็ยังดูขาวอย่างธรรมชาติได้ขนาดนี้
หลี่เหว่ยยี่ยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า
“แหม… บอส ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ เธอน่ะเป็นถึงว่าที่พี่สะใภ้ของผมในอนาคตเชียวนะ บอสอย่ากังวลไปเลย ถ้าผมปล่อยให้เส้นผมของว่าที่พี่สะใภ้ร่วงแม้แต่เส้นเดียว… บอสมาฆ่าผมได้เลย”
ถึงแม้ว่าหลี่เหว่ยยี่จะเป็นคนที่จู้จี้จุกจิกและชอบพูดตลกหยอกล้ออยู่เสมอ แต่ทุกคนที่รู้จักเขารู้ดีว่าเขาเป็นคนที่รักษาคำพูดยิ่งกว่าใคร ตราบใดที่เขาสัญญาแล้ว แม้ว่าชีวิตของเขาจะดับสูญ เขาก็จะทำมันให้สำเร็จ เย่เชียนเชื่อมั่นในตัวเขามาก
“เยี่ยมมาก! นายไปได้แล้ว ฉันมีนัด ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
หลี่เหว่ยยี่ยิ้มร้ายและพูดว่า “บอสต้องการให้ผมจองห้องที่โรงแรมให้มั้ย ?”
“นี่นายคิดว่าฉันจะเป็นเหมือนนายหรือไง ? ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา เข้าใจไหม ?” เย่เชียนพูดอย่างแน่วแน่
หลี่เหว่ยยี่ส่ายหัวและพูดว่า “ผมไม่เข้าใจหรอกบอส ผมก็พูดไปตามที่เห็นนั่นแหละ หึ ๆ ๆ”
“เออ ๆ ๆ ฉันขี้เกียจจะเถียงกับนายแล้ว ฉันว่าฉันไปดีกว่า” เย่เชียนขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดอีกว่า
“อ้อ… แล้วนายก็เอาปืนของนายไปเก็บไว้ซะนะ อาวุธนี้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดในประเทศจีน เดี๋ยวมันจะมีปัญหา”
หลี่เหว่ยยี่ยิ้มเจื่อน ๆ และพูดว่า “กระบอกนี้นี่มันเป็นเสมือนลูกของผมคนนึงเชียวนา… ผมสัญญาว่าผมจะไม่ใช้มันพร่ำเพรื่อหรอก เพราะงั้นผมไม่เอามันไปเก็บได้มั้ย ?”
เย่เชียนรู้ดีว่าเขาไม่มีทางโน้มน้าวเด็กคนนี้ได้ เพราะความรู้สึกของหลี่เหว่ยยี่เกี่ยวกับปืนนั้น เปรียบเสมือนกับอวัยวะส่วนหนึ่งบนร่างกายของเขา เหมือนกับเลือดเนื้อของเขา เหมือนดาบของอัศวินในยุคโบราณที่ต้องอยู่ข้างกายเสมอ
“งั้นก็ได้… ฉันเชื่อนายว่าจะควบคุมตัวเองได้ ไว้พวกมันมาเมื่อไหร่ค่อยทำตามแผนต่อไปแล้วกัน”
หลี่เหว่ยยี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจและพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม จากนั้นเขาก็เดินจากไป
……
หลังจากที่หลี่เหว่ยยี่เดินจากไปได้เพียงไม่นาน เย่เชียนก็ได้ยินเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์รถและเขาเห็นว่ามันเป็นรถแลมโบกินี่สีดำทมิฬ เขาหรี่ตามองเข้าไปในรถคันนั้นแล้วตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ตรงเบาะคนขับคืออาจารย์ฉินหยู เย่เชียนได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ มองดูว่าเธอจะว่าอย่างไร
“มีอะไรผิดปกติหรือไง ? ขึ้นรถมาสิ” ฉินหยูพูดขึ้น
หลังจากที่เย่เชียนเข้าไปนั่งในรถแล้ว เขาก็ยังคงจ้องมองเธอและคิดในใจว่า ‘มีตำแหน่งเป็นแค่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยธรรมดา ๆ จะสามารถมีเงินซื้อแลมโบกินี่ได้เชียวหรือ ?’ เย่เชียนปฏิเสธที่จะเชื่อและดูเหมือนว่าการคาดเดาของเขาจะถูกต้องที่ว่าภูมิหลังของหญิงสาวคนนี้นั้นคงไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
“มองอะไร ? มีอะไรติดอยู่บนหน้าของฉันงั้นเหรอ ?” หลังจากที่เย่เชียนเข้ามานั่งในรถและคาดเข็มขัดนิรภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็เหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็วปานพายุ
“โอ้โห! นี่ผมมีบุญได้นั่งแลมโบกินี่ อาชีพอาจารย์มันเลิศหรูขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ?” เย่เชียนจงใจถาม เขาแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้
“โอ๊ย! ฝันไปเถอะ เงินเดือนของฉันห้าสิบปีรวมกันยังซื้อรถคันนี้ไม่ได้เลย” ฉินหยูพูดอย่างเกรี้ยวกราด
“โห! คุณ คุณรู้มั้ยว่าปกติน่ะคุณดูเหมือนเป็นคนเย็นชา แต่พอผมเห็นคุณขับรถคันนี้ คุณกลับดูมีเสน่ห์เหลือร้าย” เย่เชียนพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ทำไม ฉันขับอะไรแบบนี้ไม่ได้เหรอ ?” ฉินหยูพูดอย่างดุดัน
“ไม่ ๆ ๆ ผมแค่จะบอกว่าผมกลัวคุณจะถูกใครมาปล้นเอา สมัยนี้พวกคนชั่วคนเลวมันมีถมเถไป พวกเขาเหล่านั้นสามารถทำทุกอย่างได้ก็เพื่อเงิน”
ฉินหยูพูดอย่างเกรี้ยวกราดและเย้ยหยัน “เหอะ! ใครจะกล้ามาปล้นฉัน ? นอกเสียจากว่าพวกเขาจะเบื่อหน่ายกับชีวิตและอยากฆ่าตัวตายน่ะนะ”
เย่เชียนขมวดคิ้วและคิดว่าแม้แต่กวนอูยังมีคู่แค้น โจโฉยังมีสหาย มีหรือที่พ่อของเธอจะยิ่งใหญ่แล้วจะไร้ซึ่งศัตรู ? เย่เชียนยิ้มอ่อนและถามว่า
“นี่… ผมขอถามตรง ๆ เถอะ จริง ๆ แล้วที่บ้านของคุณทำอะไรเหรอ ?”
“ทำธุรกิจ” ฉินหยูตอบเรียบ ๆ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยากพูดถึงมันมากนัก
เมื่อฉินหยูไม่ได้พูดต่อ เย่เชียนจึงไม่ถามอะไรเกี่ยวกับที่บ้านเธออีก “ว่าแต่… คืนนี้คุณจะพาผมไปดินเนอร์ที่ไหน ?” เย่เชียนถาม
“ร้านอาหารตะวันตกน่ะ… ฉันจองโต๊ะเอาไว้แล้ว” ฉินหยูตอบ
“ห๊ะ ?! อาหารตะวันตกอีกแล้วเหรอ ?” เย่เชียนร้องลั่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาคิดว่าอาหารตะวันตกพวกนั้นรสชาติไม่จัดจ้านเอาเสียเลย แล้วทำไมสาว ๆ ถึงนิยมทานกันนัก เขาล่ะเบื่อหน่ายจริง ๆ
“ทำไมเหรอ นายไม่ชอบทานอาหารตะวันตกเหรอไง ?” หลังจากที่ถามเสร็จ เธอก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “ถ้างั้นเราไปกินอาหารญี่ปุ่นแทนมั้ยล่ะ ?”
อันที่จริงไม่ใช่ว่าเย่เชียนจะไม่ชอบทานอาหารตะวันตก เพราะสำหรับเขาแล้ว มันไม่สำคัญเลยว่าจะทานอาหารประเภทนี้หนึ่งหรือสองมื้อต่อวัน แต่ที่สำคัญคือเขาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมานาน และเขาจำเป็นต้องทานอาหารประเภทนี้เป็นประจำ เขาจึงรู้สึกเบื่อเล็กน้อย
“อาหารญี่ปุ่นแพง… แถมยังไม่ทำให้อิ่มอีก!” เย่เชียนพูดอย่างฉุนเฉียว
ฉินหยูเห็นท่าทางน่าหมั่นไส้ของเย่เขา เธอก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปจึงพูดอย่างฉุนเฉียว “อ้าว! ถ้างั้นนายก็บอกมาสิว่านายอยากกินอะไร ?”
เย่เชียนยิ้มเจ้าเล่ห์และเอนศีรษะเข้าไปข้าง ๆ หูของฉินหยู จากนั้นเขาก็พูดอะไรบางอย่างสองสามคำ
ทันใดนั้น ฉินหยูก็หันหน้ามามองเขา ดวงตาเธอเบิกโพลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง