ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 50 ตีกรอบให้จนตรอก
“หวังยู่… เธออีกแล้ว นี่เกลียดกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ ? ทำไมต้องทำให้ฉันเดือดร้อนอยู่เรื่อย ฉันอยู่ของฉันดี ๆ แล้วไปตกเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าคนได้ยังไง ?”
เย่เชียนถามหวังยู่อย่างเย็นชา เมื่อโชคชะตาบางอย่างมันเล่นตลกให้เขาและเธอต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง
“ฉันแค่ทำตามหน้าที่ก็เท่านั้น มีคนแจ้งมาว่านายเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม… ฉันว่านายควรให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าจะดีกว่า” หวังยู่เองก็พูดอย่างเย็นชาไม่ต่างจากเย่เชียน
“ฉันไปฆ่าคนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? อย่ามาใส่ร้ายกันดื้อ ๆ แบบนี้เลยดีกว่า”
“ตีหนึ่งของเมื่อคืนนี้… ‘จ้าวเซี่ย’ ชายชาวจีนคนนึงถูกฆ่าตายและมีพยานบางคนบอกว่าฆาตกรคือนาย!” หวังยู่ตะคอก เธอไม่สนใจจะรักษามารยาทเท่าไหร่หากเป็นการพูดกับเย่เชียน ชายผู้ซึ่งชอบกวนประสาทคนนี้
เมื่อได้ยินสิ่งที่หวังยู่พูด เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ถ้าสิ่งหวังยู่พูดเป็นความจริงล่ะก็ มันต้องมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ ตอนนี้เขาแค่ยังคิดไม่ออกเท่านั้นว่าคนคนนั้นเป็นใคร อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายประเมินเขาต่ำเกินไป แม้แผนการนี้อาจจะดูแยบยลและเอามาเล่นงานเขาได้ แต่เขาก็คิดว่ามันโง่เง่า
เอาเถอะ ท้ายที่สุดแล้วคดีฆาตกรรม ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องพบความจริง
“จ้าวเซี่ยงั้นเหรอ ?” เย่เชียนพึมพำกับตัวเอง เขาจำได้ว่าชายคนนี้เป็นแฟนของซูย่าหยิง เพื่อนร่วมรุ่นของหลินโรโร่ว และถ้าจำไม่ผิดจ้าวเซี่ยโดนลูกหลงตอนอยู่ที่บาร์เมื่อวันนั้นด้วย
“แล้วทำไมฉันถึงต้องฆ่าเขาด้วยล่ะ ?” เย่เชียนถามอย่างช่วยไม่ได้
“ในใจนายรู้ดีว่านายทำอะไรอยู่… เมื่อคืนนี้นายอยู่ที่ไหนตอนตีหนึ่ง ?”
“ก็นอนอยู่ที่บ้านตัวเองไง” เย่เชียนตอบ
“แล้วมีใครพิสูจน์ได้ไหมล่ะว่านายนอนอยู่บ้านตัวเอง ?” หวังยู่ถามกดดัน
เย่เชียนใช้ความคิดและนึกได้ว่าในเวลานั้นเขาอยู่กับจ้าวเทียนห่าว เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนกำลังล้อมกรอบต้อนให้เขาจนมุม เพื่อทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังเผยตัวออกมา เย่เชียนจึงเงียบไปชั่วขณะและพูดว่า “ผมยังโสดอยู่นะ” ในขณะที่พูด เขาก็มองไปที่หวังยู่ราวกับว่าเขากำลังจะพูดว่า ‘ผมโสดอยู่… คุณสนใจจะลองพิสูจน์ด้วยตัวเองไหมล่ะ ?’
เมื่อหวังยู่มองไปที่นัยน์ตาของเย่เชียน เธอจำได้ไม่เคยลืมว่าผู้ชายคนนี้เคยทำอะไรกับเธอไว้บ้างในตอนที่เขาอยู่ที่สถานีตำรวจ อันที่จริงแล้วหวังยู่ไม่ต้องการที่จะเจอหน้าเขาอีก เพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เธอรู้สึกเหมือนมีเงาของเย่เชียนวนเวียนอยู่ในความคิดจิตใจของเธออยู่ตลอดเวลา เธอไม่สามารถขจัดเขาออกไปจากหัวของเธอได้
วันนี้ที่กรมตำรวจ เลขาธิการสั่งให้เธอไปจับตัวเย่เชียนมาโดยเร็วที่สุด นอกจากนั้นเขาก็สั่งเป็นพิเศษว่าไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ในการเข้าจับกุมตัวเย่เชียนในครั้งนี้ และหากเย่เชียนขัดขืนก็สามารถจับตายได้ในทันที
เมื่อหวังยู่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจเป็นอันมาก เธออดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา เนื่องจากเธออยู่ที่สถานีตำรวจมาระยะหนึ่งแล้วจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้กำกับมาบ้างเล็กน้อย แต่คราวนี้มันร้ายแรงมากผิดปกติ เธอแน่ใจว่าคำสั่งจับตายนั้นต้องมาจากเบื้องบนอย่างแน่นอน
ระหว่างที่หวังยู่เดินทางมาจับกุมตัวเย่เชียน เธอก็ได้พิจารณาคิดหาวิธีที่จะช่วยเย่เชียนอยู่เช่นกัน แต่เมื่อเธอเห็นหน้าเขา เธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง เธอรู้สึกผิดเล็กน้อยและพูดไปว่า
“นายไม่ต้องกังวลไปนะ… ฉันจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปโดยไร้ความยุติธรรมแน่”
ในหัวใจลึก ๆ หวังยู่มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอไม่เต็มใจที่จะเข้าจับกุมตัวเย่เชียนในครั้งนี้ แต่ทางด้านของหยางเหว่ยนั้น เขาตั้งใจทำตามหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะถึงแม้ว่าเย่เชียนจะมีน้องชายเป็นถึงอธิการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ แต่คราวนี้เขาได้รับคำสั่งโดยตรงเป็นการส่วนตัวจากหัวหน้าคณะกรรมการเทศบาล ถึงแม้ว่าอธิการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะจะสั่งห้ามได้ แต่มันก็เท่านั้น
หยางเหว่ยไม่ต้องการปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป และผู้กำกับการกรมตำรวจยังสั่งอนุมัติจับตายได้ หากเย่เชียนขัดขืน หยางเหว่ยก็สามารถวิสามัญได้ในทันที…
ถึงแม้ว่าเลขาธิการของคณะกรรมการเทศบาลจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจนก็ตาม แต่หยางเหว่ยก็เข้าใจว่านี่คือการปล่อยให้พวกเขาหาข้ออ้างเพื่อที่จะฆ่าเย่เชียนได้ และเมื่อถึงตอนนั้น น้องชายที่เป็นอธิการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของเย่เชียนก็ไม่อาจช่วยอะไรเขาได้
คนอื่นอาจไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วใครกันแน่ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด แต่สำหรับหยางเหว่ยนั้น มันชัดเจนมากว่าฝั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีผู้ทรงอิทธิพลหนุนหลังที่ใหญ่ยิ่งกว่าฝั่งของเย่เชียนมาก ตราบใดที่เขาทำดีและทำตามคำสั่งเบื้องบนในครั้งนี้ เขาก็จะได้รับการสนับสนุนที่ดีและเติบโตในหน้าที่การงานอย่างง่ายดายได้ในอนาคต…
เมื่อตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ หยางเหว่ยก็ไม่ลังเลใจเลย เขาเดินตรงไปหาเย่เชียนและพูดว่า “หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว… มากับพวกเราเดี๋ยวนี้!” หยางเหว่ยพูดขณะที่เอื้อมมือไปคว้าตัวเย่เชียน
เย่เชียนไม่ได้ขยับตัวใด ๆ เลยแม้แต่นิด เขาเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าแสนเย็นชา หยางเหว่ยจึงถือโอกาสนี้คว้าคอเสื้อของเย่เชียน เมื่อหยางเหว่ยจ้องหน้าของเย่เชียน เขาก็เห็นสิ่งที่ดูคล้ายกับดาบน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกอยู่ในดวงตาของเย่เชียนและอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ปล่อย…” เย่เชียนพูดเสียงเย็น
ถึงแม้ว่าหยางเหว่ยจะขาดความมั่นใจและกำลังหวั่นเกรง แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าที่ข้างเอวเขานั้นมีปืนเหน็บอยู่กระบอกหนึ่ง สิ่งนั้นช่วยกอบกู้เอาความกล้าหาญของเขากลับมาอย่างช้า ๆ เขาไม่กังวลว่าเย่เชียนจะขัดขืน แต่เขากังวลว่าเย่เชียนจะไม่ขัดขืนมากกว่า ถ้าหากเย่เชียนไม่ขัดขืน เขาก็จะไม่มีข้ออ้างเพื่อใช้ฆ่าเย่เชียน
ถึงกระนั้นหยางเหว่ยก็ยังไม่ยอมแพ้ แสร้งพูดต่อว่า “ผู้ต้องสงสัยทำไมไม่ให้ความร่วมมือต่อเจ้าหน้าที่ ? นายต้องการที่จะขัดขืนการจับกุมงั้นเหรอ ?!” หยางเหว่ยพูดอย่างเกรี้ยวกราด
“เดี๋ยวนะ ผมชักไม่เข้าใจแล้วว่าตอนนี้พวกคุณต้องการให้ผมไปกับพวกคุณเพื่อที่จะทำการสืบสวนสอบสวน หรือพวกคุณต้องการจะให้ผมขัดขืนการจับกุมกันแน่ ? แต่ขอโทษที… ตอนนี้ผมกำลังรับประทานอาหารกับสุภาพสตรีท่านนี้อยู่ ถ้าพวกคุณต้องการจะจับผม ก็เอาหมายจับมาจับก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นก็กลับไปซะ!”
“ฮ่า ๆ ๆ… นายคิดว่านี่มันเป็นหนังตำรวจฮ่องกงหรือยังไง ? หมายจับงั้นเหรอ ? นายเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างพวกเรามีสิทธิ์จับนายไปพิจารณาคดี” หยางเหว่ยหัวเราะและพูดอย่างเย้ยหยัน
เย่เชียนยิ้ม เขาตอบกลับไปอย่างเย็นชา
“มันไม่ใช่หนังตำรวจฮ่องกงไล่จับผู้ร้ายหรอก แต่มันเป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับศาลเตี้ย”
ทันทีที่เย่เชียนพูดจบ เขาก็ย่อตัวลงและเตะเสยคางหยางเหว่ยอย่างรวดเร็วทำให้หยางเหว่ยกระเด็นออกไป คราวนี้พวกตำรวจที่มาพร้อมกับหวังยู่ก็ตื่นตระหนกตกใจกันยกใหญ่ พวกเขาชักปืนออกมาและจ่อปืนไปยังเย่เชียน ถ้าหากเย่เชียนเคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะเหนี่ยวไกยิงทันที
หวังยู่ไม่คาดคิดว่าเย่เชียนจะขัดขืนและปฏิเสธการจับกุมเช่นนี้ เธอเหงื่อตกเพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับเย่เชียน อีกทั้งใจจริงเธอยังไม่ต้องการให้เรื่องนี้ต้องกลับกลายเป็นเรื่องราวอื้อฉาวใหญ่โต หวังยู่จึงหันหน้าไปมองเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ จากนั้นก็พูดว่า
“หยุด! เก็บปืนของพวกคุณไปก่อน”
เย่เชียนแสยะยิ้มและพูดอย่างไม่แยแสสิ่งใด ๆ ว่า
“เหอะ! ของเด็กเล่นพวกนี้… เอาเก็บไปเถอะ”
ปืนลูกโม่ .38 นี้ ในความคิดของเย่เชียนแล้ว มันก็เหมือนกับของเล่นของเด็กจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าเย่เชียนยังคงยียวนกวนประสาทอยู่ สำหรับหวังยู่แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดขึ้นมาในใจว่า ‘ไอ้บ้า… ไอ้คนบ้าเอ๊ย… นายหุบปากไปก่อนไม่เป็นหรือยังไงนะ ทำไมต้องอยากตายด้วย ?’
หยางเหว่ยพยายามอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด เขาดิ้นรนลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเลเหมือนคนบ้าคลั่งและสติแตกไปแล้วในตอนนี้ เขาชักปืนออกมาและพุ่งเข้าไปจ่อปืนใส่เย่เชียน
“หยางเหว่ย หยุด!”
หวังยู่รีบตะโกนขึ้นมาอย่างกระวนกระวายใจ แต่ในเวลานี้หยางเหว่ยไม่ฟังคำพูดของใครอีกต่อไปแล้วเพราะชายที่อยู่ตรงหน้านี้ทำให้เขาต้องอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย
หยางเหว่ยคิดว่าถ้าเขาไม่ล้างแค้นในตอนนี้ มันก็ยากที่จะหาโอกาสที่ดีและเหมาะเจาะเช่นนี้ได้อีก อีกทั้งมันอาจจะทำให้เขาต้องลำบากในอนาคตได้ ฉะนั้น หยางเหว่ยจึงรู้สึกว่าตอนนี้ชีวิตของเย่เชียนอยู่ในกำมือของเขาแล้ว และเขาก็สามารถปลิดชีพของเย่เชียนเมื่อไหร่ก็ได้ที่เขาต้องการ…
“หยางเหว่ย ถ้านายกล้าแตะต้องตัวเขาแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ ร่างไร้วิญญาณของนายจะได้ไปนอนกองอยู่ข้างถนนแน่ และมันจะไร้ชีวิตเพื่ออยู่ดูแสงตะวันในวันต่อ ๆ ไป!!!”
ทันใดนั้นเอง เสียงอันเย็นยะเยือกราวกับพายุน้ำแข็งที่โหมกระหน่ำก็ดังขึ้น
ทุกคนหันหน้าไปมองยังทิศทางที่มาของเสียงเป็นตาเดียว…