ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 52 ศึกระหว่างผู้หญิงทั้งสอง ตอนที่ 2
ฉินหยูได้เรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการฉกฉวยโอกาสของเย่เชียนมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเย่เชียนจับไหล่ของเธอ เธอจึงมีปฏิกิริยาการตอบสนองที่ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เธอจะไม่ยอมให้เย่เชียนเอาเปรียบเธอง่าย ๆ อยู่ฝ่ายเดียว เธอจึงมองไปที่เย่เชียนแล้วจากนั้นก็บีบเอวของเขาอย่างแรง
“ซี๊ดดดดดดด!”
เย่เชียนสูดปากด้วยความเจ็บปวดอย่างเงียบ ๆ ผู้หญิงคนนี้มีพิษสงร้ายแรงกว่าจ้าวหยามาก เพราะเธอสามารถหาส่วนที่อ่อนแอที่สุดบนร่างกายของเขาได้
ในสายตาของคนนอกแล้ว พวกเขาทั้งสองดูสนิทสนมกันมาก หวังยู่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขากำลังเสแสร้งแกล้งทำอยู่เพราะภาพที่เธอเห็นดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก “ไอ้คนบ้า! นายนี่ไม่มีรสนิยมเอาซะเลย ทำไมถึงต้องไปชอบผู้หญิงหน้าอกเล็กคนนั้นด้วย” หวังยู่พึมพำกับตัวเองและพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและขุ่นเคือง
เย่เชียนมองหวังยู่ด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้มีปฏิกิริยาที่ฉุนเฉียวและเปิดเผยขนาดนั้น เขากำลังคิดว่ามันเป็นไปได้ไหมที่เธอจะชอบเขา ?
“เธอน่ะมันก็แค่ผู้หญิงขี้อิจฉา!” ฉินหยูสวนคำพูดของหวังยู่กลับไปและสบประมาทอย่างไม่เกรงใจ “ฉันล่ะรู้สึกสงสารและเสียใจกับเธอจริง ๆ ที่เกิดมาเป็นคนแบบนี้…”
ผู้หญิงคนนี้ช่างปากร้ายมากพิษสงจริง ๆ เมื่อมองไปที่แววตาระยิบระยับของหวังยู่แล้ว เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะอ่อนไหวเล็กน้อยและแอบคิดว่าคำนี้มันแรงเกินไปจริง ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อตระหนักดูแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องของเย่เชียนที่จะเข้าไปยุ่ง หากต้องการตำหนิใครสักคนก็คงต้องเป็นฉินหยูเองที่พูดมันออกมา
หลังจากที่เขาเงียบไปสักพักหนึ่ง เย่เชียนก็รู้สึกว่ามันจะเป็นการที่ดีกว่าถ้าเขาออกมาจัดการด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าผู้หญิงทั้งสองคนนี้จะเปิดศึกกันไปอีกนานแค่ไหนและจะหยุดเมื่อไหร่ เขาจึงพูดอย่างหมดหนทาง “เอาล่ะ ๆ ทั้งสองคนพอก่อนเถอะ” และเขาก็หันไปพูดกับหวังยู่ “ก็ได้ ๆ… หวังยู่ ฉันจะกลับไปกับเธอ”
หวังยู่กัดริมฝีปากของเธอแน่น ความรู้สึกที่หลากหลายผสมปนเปอยู่ในใจของเธอ เธอคิดว่าเย่เชียนคงมีความห่วงใยและเป็นกังวลเกี่ยวกับเธอ และเมื่อฉินหยูเห็นว่าเย่เชียนพูดแบบนั้น เธอก็โน้มตัวไปและกระซิบข้าง ๆ หูของเย่เชียนว่า
“ห๊ะ… นายว่าไงนะ ?”
เย่เชียนยิ้มและกระซิบตอบเบา ๆ ว่า “มากับผม”
“หึ… ฉันไม่ไปหรอก นายจะไปกับยัยผู้หญิงที่นายชอบ แล้วทำไมฉันถึงต้องไปด้วยล่ะ ?” ฉินหยูพูดอย่างประชดประชันและขุ่นเคือง
“เดี๋ยวก่อนนะ คุณไม่ใช่แฟนจริง ๆ ของผมสักหน่อย… คุณจะกังวลว่าผมกับผู้หญิงคนนั้นจะไปทำอะไรที่ไหนทำไมล่ะ ?” เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยขณะพูด
ฉินหยูมองเย่เชียนแล้วพูดว่า
“ถ้านายอยากจะเข้าคุกมากนักล่ะก็นะ นายก็ไปเถอะ… ฉันไม่สนใจหรอก! พวกผู้ชายมันก็เป็นกันซะแบบนี้… หึ!”
ในขณะที่ฉินหยูพูด เธอหันไปมองหวังยู่และพยายามจะสื่อให้หวังยู่รู้ว่า ถึงแม้หวังยู่จะอยู่บนเตียงกับเย่เชียน แต่เธอก็จะเป็นได้แค่ของเล่นคั่นเวลาของเขา เพราะพวกผู้ชายส่วนใหญ่ก็เจ้าชู้กันทั้งนั้น
หวังยู่จ้องมองฉินหยูด้วยความโกรธ “เฮอะ! คุณก็แค่เสแสร้งแกล้งทำเป็นใจแข็งเท่านั้นแหละ… ลับหลังอย่าไปแอบร้องไห้และซ่อนน้ำตาของตัวเองละกัน”
ฉินหยูมองกลับไปที่หวังยู่อย่างไม่แยแสและพูดกับเย่เชียนว่า “เย่เชียน! นายจำเอาไว้นะว่าอย่าลืมสวมถุงยางอนามัยด้วย มิฉะนั้นอย่าได้หวังว่าจะมาแตะต้องตัวฉันอีก”
หญิงสาวคนนี้ปากร้ายมากพิษสงเกินไปจริง ๆ เย่เชียนแอบคิดว่าเมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิงคนนี้โกรธขึ้นมา เธอดูน่ากลัวกว่าผู้ชายเสียอีก เย่เชียนมองหวังยู่ด้วยความเห็นใจและเข้าไปพูดกับเธอใกล้ ๆ ว่า “ลืมไปเถอะ… เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินหยูหรอก อย่าไปเถียงกับเธอต่อเลย”
หวังยู่รับรู้ได้ถึงความหมายที่เป็นห่วงเธอจากดวงตาของเย่เชียน เธอจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
จากนั้นเย่เชียนก็กลับไปกระซิบข้าง ๆ หูของฉินหยูว่า “คุณมากับผมก่อนเถอะ… มันไม่ปลอดภัย เดี๋ยวพอถึงสถานีตำรวจแล้ว คุณค่อยโทรหาพ่อของคุณให้ส่งคนมารับคุณด้วย”
ฉินหยูตะลึงเล็กน้อยแล้วพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่มีสมองและไม่มีเหตุผล ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าอิทธิพลของครอบครัวเธอจะค่อนข้างยิ่งใหญ่ก็ตาม แต่ก็ยังคงมีศัตรูอยู่หลายด้านเช่นกัน มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ต้องการใช้เธอเพื่อกำจัดพ่อของเธอ ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าทำไม แต่เธอเลือกที่จะเชื่อใจในตัวของเย่เชียนอย่างไม่มีคำถาม
เย่เชียนไม่ได้คาดหวังว่าฉินหยูจะว่าง่ายขนาดนี้เพราะเขาแทบไม่ได้อธิบายอะไรเลย เดิมทีเขาคิดว่าอาจจะต้องเกลี้ยกล่อมเธอสักพักหนึ่งเพื่อจะให้เธอเห็นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจ เขาคิดว่าถ้าเขาผูกสัมพันธ์ที่ดีกับผู้หญิงคนนี้เอาไว้ ในอนาคตเธอจะช่วยเขาได้มากมายหลายอย่างเลยทีเดียว
“ถ้างั้นเธอรอฉันแป๊บนึงนะ” เย่เชียนพูดเสร็จก็เดินไปยังด้านหน้าของหวังยู่และพูดว่า “ฉันขอเวลาเธอสักสองสามนาทีได้ไหม ?”
“ได้สิ” หวังยู่พยักหน้า
เย่เชียนยิ้ม “ฝากดูแลฉินหยูสักพักนะ ฉันจะไปตรงนั้นสักครู่” ในขณะที่กำลังพูดอยู่ ตาของเขาก็เหลือบไปมองมุมมืด ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น
เมื่อหวังยู่ได้ยินว่าเย่เชียนบอกให้เธอช่วยเขาดูแลฉินหยู หวังยู่ก็อยากจะปฏิเสธเขา แต่ดูจากท่าทางที่ดูจริงจังของเย่เชียนแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะกลืนความขุ่นเคืองนี้ลงไปก่อน และพูดขึ้นมาว่า “นายจะไปทำอะไรที่นั่นกันล่ะ ?”
“ฉันรู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามฉันและฉินหยูมาน่ะ ฉันไม่รู้ว่าเป้าหมายของมันคือใครกันแน่ ก็เลยอยากเข้าไปตรวจดูหน่อย” เย่เชียนพูดเบา ๆ
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะพูดอย่างธรรมดา ๆ แต่หวังยู่ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่อันตรายและตึงเครียด จากนั้นเธอก็พูดว่า “เดี๋ยวฉันจะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบให้… นายรออยู่ที่นี่แหละ”
เย่เชียนยิ้มแหย ๆ และพูดว่า “พวกเธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก…”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หวังยู่คงจะคิดว่าเย่เชียนกำลังดูถูกพวกเขาและเธอเองก็คงจะไม่พอใจอย่างมาก แต่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงไม่รู้สึกแบบนั้น วันนี้เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเย่เชียน เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘นี่เธออาจจะชอบเขาเข้าแล้วจริง ๆ’ หวังยู่แอบคิดและมองไปยังเย่เชียน
เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ผู้ชายขี้โกงและชอบฉวยโอกาสคนนี้ กลับดูมีออร่าที่ดูเป็นผู้ชายสง่าอย่างแท้จริง และมันง่ายมากสำหรับบรรดาผู้หญิงที่จะหลงใหลในตัวของเขา ยิ่งการแสดงออกที่ดูจริงจังของเขานั้น มันช่างมีเสน่ห์เหลือล้น
“ระวังตัวด้วยละกัน…” หวังยู่พูดด้วยความกังวล จากนั้นก็กำชับอีกทีว่า “จำเอาไว้ว่าอย่าทำอะไรให้มันเป็นเรื่องใหญ่จนเกินไปนะ… เพราะตอนนี้นายกำลังตกที่นั่งลำบาก”
เย่เชียนยิ้มตอบและพยักหน้า จากนั้นก็เดินตรงไปที่มุมมืด ๆ นั้น แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เขาก็หันกลับมาและกระซิบที่ข้างหูของหวังยู่ว่า
“คุณมีเสน่ห์มากเลยนะ ตอนที่คุณไม่ได้โกรธน่ะ”
ลมหายใจเบา ๆ พัดผ่านหูของหวังยู่หลังที่จากเย่เชียนพูดจบ…
หวังยู่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันมากมายที่ผสมปนเปอยู่ในหัวใจของเธอ และเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายจนหูและใบหน้าแดงก่ำ หัวใจของเธอเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเหมือนกับกวางน้อยที่กำลังตกใจ
การเคลื่อนไหวของเย่เชียนดูเหมือนจะช้ามาก แต่พริบตาเดียว เขาก็หายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน เจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่น ๆ เห็นว่าหวังยู่ปล่อยเย่เชียนไป พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมา
“หวังยู่ นั่นคุณปล่อยเขาไปได้ยังไง ?” หยางเหว่ยกระซิบถามเบา ๆ เพราะสำหรับเขาแล้ว เขาเพิ่งจะเผชิญหน้ากับฉินหยูที่เอาแต่ใจถึงขีดสุดจึงไม่กล้าที่จะยั่วโมโหหวังยู่อีกคน ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ของเขามีแต่จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่