ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 53 บอดี้การ์ด
ในขณะที่หวังยู่กำลังอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความรู้สึกที่หลากหลายอยู่นั้น หยางเหว่ยก็เข้ามาขัดจังหวะและดึงเธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง สิ่งนี้ทำให้เธอไม่สบอารมณ์อย่างมาก เธอจ้องมองหยางเหว่ยอย่างโกรธเคือง
“หยางเหว่ย! ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบปฏิบัติการในครั้งนี้นะ หน้าที่ของคุณคือรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่เพื่อเป็นผู้ช่วยฉันเท่านั้น คุณมีสิทธิ์อะไรถึงได้มาบอกให้ฉันทำนู่นทำนี่ ?”
หยางเหว่ยจ้องหวังยู่ด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ถึงได้โกรธจัดขนาดนี้ และแอบคิดในใจ ‘เธอเกลียดเย่เชียนไม่ใช่หรือยังไง ? แล้วทำไมเธอถึงเปลี่ยนใจมาช่วยเขาในตอนนี้กันล่ะ ?’
อย่างไรก็ตาม เขารู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาไม่ควรพูดอะไรที่เป็นการยั่วยุหวังยู่อีก จึงได้แต่สาปแช่งเธอในใจ ‘ยัยผู้หญิงอวดดีเอ๊ย! ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเธอมีอำนาจล่ะก็ ฉันคงจะไม่ยอมก้มหัวให้เธอแบบนี้หรอก รู้ไว้ซะด้วย’
อาจเป็นไปได้ว่าคนที่สะกดรอยตามพวกเขามานั้นหนีไปแล้ว เพราะเมื่อเย่เชียนเดินไปถึงมุมมืด มันก็ว่างเปล่าไร้สิ่งใด แต่เขาก็สังเกตเห็นร่องรอยหลักฐานที่ทำให้รู้ว่าเคยมีคนอยู่ตรงนั้น
บริเวณนี้อยู่ติดกับตรอกเล็ก ๆ ตรอกหนึ่ง ซึ่งมีถนนทอดไปไกลและมืดมาก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยย่างกรายเข้าไป แต่ทว่าเย่เชียนสามารถตรวจจับกลิ่นของน้ำหอมได้ ถึงกลิ่นจะเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ไม่แรงมากนักก็ตาม จึงอาจมีความเป็นไปได้ว่าคนที่มีจิตสังหารซึ่งเคยแอบอยู่ตรงนี้เป็นผู้หญิง
นี่ทำให้เย่เชียนมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าบุคคลนั้นไม่ได้มาจากองค์กรเซเว่นคิล เพราะสมาชิกทั้งหมดขององค์กรเซเว่นคิลล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย
เย่เชียนไม่ได้อยู่ในตำแหน่งไล่ล่าโดยตรงของหน่วยเขี้ยวหมาป่า อีกทั้งศัตรูก็ได้หลบหนีไปแล้วและเขาเองก็ไม่สามารถที่จะตามรอยของเธอในตอนนี้ได้ เขาจึงยักไหล่และเดินออกจากตรอกมา เย่เชียนยังไม่รู้ว่าเป้าหมายของเธอคือใครกันแน่ แต่เขาเดาว่าน่าจะเป็นฉินหยู
หากเย่เชียนต้องการหาสาเหตุจริง ๆ ก่อนอื่นเลยเขาต้องหาตัวตนที่แท้จริงของฉินหยูให้ได้ก่อน แต่ดูเหมือนว่าฉินหยูเอง เธอก็ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เย่เชียนจึงไม่อยากซักไซ้ถามให้มากความเช่นกัน ถ้าเย่เชียนอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของครอบครัวของฉินยู สิ่งที่เขาทำได้คือต้องส่งคนไปสืบเท่านั้น ด้วยความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อเธอแล้ว เขาไม่ควรไปขุดคุ้ยหรือดื้อดึงเพื่อหาข้อมูลจากเธอโดยตรง และสิ่งที่ดีที่สุดคือต้องรอฉินหยูบอกเขาด้วยความสมัครใจของเธอเองในสักวันหนึ่ง
เมื่อเขาเดินกลับมาหาหวังยู่แล้ว เธอก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้น ?”
เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า “ไม่มีอะไร เขาหายไปแล้ว”
หวังยู่พยักหน้า “อืม งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว… นายก็โปรดมากับฉันด้วย”
“เดี๋ยวฉันจะนั่งรถฉินหยูไป… ฉันจะไปรถของเธอ… หวังยู่ เธอไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะไม่ทำให้เธอเดือดร้อนหรอก” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูจริงใจ
ในระหว่างทางไปยังสถานีตำรวจ อยู่ ๆ ฉินหยูก็ถามขึ้นมาว่า “เย่เชียน… แม่สาวตำรวจคนนั้นดูเหมือนจะชอบนายนะ ความสัมพันธ์ของพวกนายสองคนมันเป็นยังไงกันเหรอ ?”
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ และตอบว่า “หึ ๆ ๆ… คุณหึงเหรอ ?”
“หึงบ้าหึงบออะไรล่ะ ?!” ฉินหยูพูดอย่างฉุนเฉียวและตอกกลับไปว่า “ฉันจะไปหึงนายทำไม ? ฉันเป็นอาจารย์ของนายและนายก็เป็นนักเรียนของฉันนะ”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยกับท่าทางของฉินหยู แต่เขาก็ไม่ได้เถียงอะไรเธอกลับไป
เมืองเซี่ยงไฮ้นั้นเป็นสถานที่ที่น่าเหลือเชื่อเมืองหนึ่ง เย่เชียนรู้สึกสนใจและหลงใหลในเสน่ห์ของเมืองนี้ยิ่งนัก หากเขาคิดที่จะขยายกองกำลังหน่วยรบหทารรับจ้างเขี้ยวมาป่าในประเทศจีนแล้วล่ะก็ เมืองเซี่ยงไฮ้นี่แหละตัวคือเลือกที่ดีที่สุด
เมืองเซี่ยงไฮ้ไม่เพียงแต่เป็นหัวใจทางการเงินของประเทศจีน แต่เมืองนี้ยังใกล้กับเมืองหลวงศูนย์กลางของประเทศนี้อีก เมื่อถึงเวลาที่ NSB ‘สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ’ จะสามารถค้นพบหน่วยเขี้ยวหมาป่าได้ กองกำลังของพวกเขาก็คงจะเติบโตยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ทางการจะรับมือไหว เมื่อถึงเวลานั้น แม้ว่ารัฐบาลต่าง ๆ ต้องการที่จะยุบหรือกำจัดหน่วยเขี้ยวหมาป่าแล้วล่ะก็ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะเคยทำงานร่วมกันกับกองทัพของจีนและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติมาหลายครั้งแล้ว แต่มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง โดยเฉพาะข้อตกลงทางธุรกิจ รวมทั้งการปฏิบัติภารกิจนอกดินแดนของประเทศจีน ผู้นำของประเทศจีนไม่ได้เป็นคนโง่เขลา พวกเขามีไฟล์และแฟ้มลับของบุคลอันตรายระดับชาติอยู่ในคลังของพวกเขา และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีของเย่เชียนด้วยเช่นกัน บุคคลอันตรายระดับแนวหน้าของชาติต่างก็ต้องหวั่นเกรงหากได้รู้ว่าตอนนี้เย่เชียนกลับมาอยู่ที่ประเทศจีน
ฉินหยูรู้สึกประหลาดใจกับความเงียบงันของเย่เชียน เมื่อเธอคิดว่ามันแปลกที่เขาไม่โต้เถียงกับเธอเหมือนทุกครั้ง เธอจึงรู้สึกอยากชวนเขาคุยขึ้นมา
“เป็นอะไรไป นายรู้มั้ยว่าใครเป็นคนสะกดรอยตามพวกเรามา ?”
เย่เชียนส่ายหัวและตอบว่า
“ไม่รู้สิ แต่คนนั้นหนีไปแล้ว อาจเป็นเพราะพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพอดีมั้ง มันจึงไม่ใช่เวลาที่จะทำการเคลื่อนไหวใด ๆ อย่างโจ่งแจ้ง และผมก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายของคนคนนั้นคือคุณหรือผม แต่ผมที่เพิ่งกลับมาจีน ความเป็นไปได้ที่จะเป็นผมจึงมีน้อยมาก เพราะงั้นต่อไปนี้คุณควรระมัดระวังตัวให้มากขึ้นนะ”
“ก็นายนี่ไงที่ปกป้องฉันได้” ฉินหยูพูดพร้อมยิ้มอ่อน ๆ
“การปกป้องคุณน่ะมันไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ผมไม่สามารถอยู่ข้าง ๆ คุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นคุณควรระมัดระวังให้มากขึ้นน่ะถูกแล้ว” เย่เชียนพูดตรงไปตรงมาอย่างจริงจัง
ฉินหยูยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่เธอกลับพูดว่า “นายคงสงสัยสินะว่าฉันคงไม่ใช่อาจารย์มหาลัยธรรมดา ๆ นายไม่อยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันงั้นเหรอ ?”
“ถ้าคุณเต็มใจและอยากที่จะเล่า คุณก็เล่ามา แต่ถ้าคุณไม่อยาก… ผมก็จะไม่คาดคั้นคุณหรอก” เย่เชียนพูดอย่างแผ่วเบา
“นายนี่เป็นคนแปลกจริง ๆ เลย นายไม่อยากรู้อยากเห็นสิ่งที่เกี่ยวกับฉันบ้างเลยหรือยังไง ?” ฉินหยูตอบอย่างสงสัยและขุ่นเคืองเล็กน้อย
เย่เชียนยิ้มอย่างเฉยเมย เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมขณะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหยางเจียนกัวพ่อของเขาเพื่อบอกว่าตนจะไปค้างที่บ้านเพื่อนในคืนนี้ พ่อจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเขา หยางเจียนกัวไม่ได้ถามคำถามใด ๆ ต่อ เขาเพียงบอกให้เย่เชียนประพฤติตัวดี ๆ จากนั้นก็วางสายไป
“เย่เชียน… นายไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว นายดูมีความสามารถแต่นายมาเรียนมหาลัย มันแปลกมาก ฉันอยากรู้มากเลยว่าจริง ๆ แล้วนายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ?” ฉินหยูถามอย่างคาดหวัง
“ผมก็เป็นนักศึกษาของคุณไง” เย่เชียนตอบอย่างเฉยเมย
“นายอย่ามาโกหกฉันเลยหน่า… นายน่ะไม่เหมือนพวกนักศึกษาธรรมดาทั่วไป แถมนายเคยบอกว่านายจะอยู่ในมหาวิทยาลัยได้ไม่นานนัก ถึงนายจะบอกฉันว่านายแค่อยากใช้เวลาที่ขาดหายไปในชีวิต แต่ฉันก็ไม่เชื่อนายหรอก ฉันรู้สึกถึงเรื่องอันตรายที่เกี่ยวกับความเป็นความตายรอบ ๆ ตัวนายได้ชัดมาก แล้วอย่างนี้จะให้ฉันเชื่อนายได้ยังไงกันล่ะ ? มีเพียงแค่คนที่เดินบนเส้นทางสายมรณะเท่านั้นแหละที่จะมีบรรยากาศแบบนี้ได้” ฉินหยูพูดอย่างจริงจัง
เย่เชียนตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าฉินหยูจะมีสัญชาตญาณที่ดีแบบนี้ ถ้าจะบอกว่ามันเป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงเขาก็คงไม่เชื่อ เย่เชียนคิดว่าหากฉินหยูสามารถรับรู้และสัมผัสเกี่ยวกับตัวตนของเขาได้นั้น ก็เป็นไปได้อยู่อย่างเดียวคือเธอมักจะติดต่อกับคนแบบเขาอยู่บ่อยครั้ง มิเช่นนั้นจะสามารถรู้สึกได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของฉินหยูมากขึ้น
หลังจากที่ทั้งสองต่างก็เงียบกันไปสักพักใหญ่ เย่เชียนก็ตัดสินใจพูดขึ้นมาว่า
“ที่จริงแล้วผมเป็นบอดี้การ์ดน่ะ ผมได้รับการว่าจ้างจากพ่อของจ้าวหยาให้ไปมหาวิทยาลัยเพื่อปกป้องเธอ…” เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดต่ออีกว่า “แต่ว่าสาวน้อยคนนั้น เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก เพราะผมแค่บอกกับเธอไปว่าผมเป็นคู่หมั้นของเธอ…”
ฉินหยูตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็ฉีกยิ้มและพูดว่า
“จ้าวหยางั้นเหรอ ? เด็กคนนั้นไม่เลวเลยนะ… ถึงแม้ว่าเธอจะมีทัศนคติแบบลูกคุณหนูไปสักหน่อย แต่เธอก็เป็นสาวน้อยที่จิตใจดีคนหนึ่งเลยแหละ ถ้านายจะจีบเธอก็ไม่เลวเลย นายกับเธอน่าจะเข้ากันได้ดี…”
“คุณนี่เป็นคนใจกว้างมากเลยนะ ที่ยอมปล่อยแฟนของตัวเองไปอยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนอื่นได้น่ะ” เย่เชียนหยอกล้อเธออย่างเฉียบขาด นอกจากเขาจะสงสัยว่าหวังยู่กำลังชอบเขาแล้ว เขายังสงสัยด้วยว่าฉินหยูเองก็ดูจะชอบเขาเหมือนกัน
ฉินหยูไม่ได้หยอกล้อกลับ แต่เธอพูดว่า “บ้า! ฉันไปเป็นแฟนนายเมื่อไหร่ ? อย่ามาซี๊ซั๊ว อีกอย่าง ว่าแต่นายเหอะ นายน่ะเป็นบอดี้การ์ดที่ขาดความรับผิดชอบมาก นายบอกว่าถูกพ่อจ้าวหยาจ้างมาดูแลเธอแต่ตอนนี้นายดันทิ้งให้เธออยู่ที่ไหนทำอะไรกับใครนายก็ไม้ได้ไปตามดูแล นายไม่กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอรึยังไง ?”
“อ้าว…! ก็ผมต้องมาเดทกับคุณนี่ไง ในใจของผม เดทของเราสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในโลก” เย่เชียนปากหวาน เขายักคิ้วหลิ่วตาประหนึ่งว่ามีความสุขมากที่ได้แกล้งเธอ
“บ้า! ฉันพานายมาเลี้ยงข้าวนี่ก็เพื่อขอบคุณที่นายช่วยเรื่องเหว่ยเฉิงหลง ไม่ใช่เดทอะไรทั้งนั้นแหละ”
แม้ฉินหยูจะรีบปฏิเสธเย่เชียนไปแบบนั้น แต่ตอนนี้สองแก้มของเธอก็มีสีเลือดฝาดขึ้นมานิด ๆ แล้ว