ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 54 หวนคืนสู่สถานีตำรวจอีกครั้ง
ฉินหยูเคยชินกับคำพูดที่เยินยอปากหวานของเย่เชียนแล้ว เธอได้แต่ยิ้มอยู่ในใจและเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อนายเป็นบอดี้การ์ดของจ้าวหยาได้… งั้นนายก็มาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันด้วยอีกคนเลยสิ เดี๋ยวฉันจะจ้างนายเอง”
“จริงเหรอ ? คุณไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม ?” เย่เชียนถาม
“แน่นอนสิ ฉันดูเหมือนคนที่ชอบล้อเล่นหรือไง ?”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่หลังเลิกเรียนล่ะ ? ผมน่ะไม่สามารถปกป้องทั้งคุณทั้งจ้าวหยาพร้อมกันทั้งคู่ได้หรอกนะ” เย่เชียนพูดอย่างจริงจัง
ฉินหยูยิ้มเจ้าเล่ห์และพูดว่า “จะบอกอะไรให้ ที่จริงแล้วฉันกับจ้าวหยาน่ะ เราสนิทกัน อีกอย่าง เราสองคนก็อยู่บ้านเดียวกันด้วย หึ ๆ! ไงล่ะ ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วนายจะว่ายังไง ? นายจะมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันอีกคนด้วยไหม ?”
สิ่งที่ฉินหยูเพิ่งจะพูดออกมานั้นอยู่เหนือความคาดหมายเย่เชียนไปมาก สนิทกัน ? อยู่บ้านเดียวกัน ? เขาเริ่มงงจึงต้องถามเธอไปด้วยความตกตะลึง “ว่าไงนะ ? คุณพูดจริงเหรอ ?”
“อ้าว…! ก็จริงสิ ทำไมฉันต้องโกหกนายด้วยล่ะ ?” ฉินหยูตอบ
“ถ้างั้น… ผมจะพิจารณาดูละกัน แต่ว่า… อ้อ ตกลง… ผมตกลง!” เย่เชียนฉีกยิ้มขณะที่เขาโพล่งออกมา ทีแรกเขากะจะคิดดูก่อน แต่พอเขานึกถึงอะไรบางอย่างได้ จึงไม่ลังเลที่จะตอบตกลง
ฉินหยูมองเย่เชียนอย่างงุนงงและพูดว่า
“เป็นอะไรไป นายกังวลเรื่องเงินเหรอ ? นายไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เดี๋ยวฉันจะตอบแทนให้อย่างงามเลย”
เย่เชียนแสยะยิ้มและพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “แหมคุณ… เรามันคนกันเองหน่า ผมคิดแค่สองสามหมื่นหยวนต่อเดือนก็พอแล้ว หึ ๆ ๆ”
“นายนี่มันพูดเกินตัวจริง ๆ ค่าว่าจ้างของบอดี้การ์ดมันอยู่ที่ห้าพันหรือไม่เกินหนึ่งหมื่นหยวนต่อเดือนเองนะ”
“คุณพูดจะแบบนั้นได้ไง ? คุณไม่สามารถเอาผมไปเปรียบเทียบกับบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ได้ ผมเป็นคนที่มีฝีมือแล้วก็เชี่ยวชาญมาก” เย่เชียนยืดอกพูดอย่างภูมิใจในตนเอง
ฉินหยูไม่ได้ซีเรียสเรื่องเงิน และนอกจากนี้เธอก็รู้ว่าเย่เชียนกำลังแกล้งหยอกเธอเพียงเท่านั้น เธอรู้ว่าถึงเธอจะไม่ได้จ่ายค่าว่าจ้างให้เขาก็ตาม ผู้ชายคนนี้ก็จะไม่เรียกร้องหรือไม่ตำหนิอะไรเธอเลย
“ว่าแต่… ตอนนี้น่ะ นายตกเป็นผู้ต้องสงสัยที่ต้องถูกสืบสวนคดีฆาตกรรมอยู่นะ แต่ดูท่านายจะไม่ได้กังวลอะไรเลย ไม่กลัวบ้างเลยหรือไง ?” ฉินหยูเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาและถามอย่างเป็นห่วง
“ผมไม่กลัวหรอก… ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด ผมจะกลัวไปทำไม ?” เย่เชียนพูดอย่างเย็นชา
“ถ้านายไม่ได้เป็นคนทำ มันก็มีอยู่แค่สองอย่าง อย่างแรก พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจชี้ตัวผิด แต่โอกาสที่จะเป็นแบบนั้นค่อนข้างน้อย ส่วนความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือ มีใครบางคนต้องการกำจัดนายและล้อมกรอบนายให้จนมุม ดูเหมือนว่านายจะไม่ใช่คนธรรมดาเลยนะ” ฉินหยูพูดอย่างถี่ถ้วน
เย่เชียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ผมเพิ่งจะกลับมาที่ประเทศจีน ผมจะไปทำอะไรให้ใครขุ่นเคืองหรือไปยั่วยุใครได้ยังไงล่ะ ? ผมคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงจะบกพร่องในหน้าที่เท่านั้นแหละ”
ฉินหยูยิ้มอย่างเฉยเมย “แหม ถึงขนาดนี้แล้วนายไม่จำเป็นต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าฉันแล้วมั้ง บอกมาตามตรงเถอะ”
เย่เชียนหัวเราะ เขาโน้มตัวไปข้าง ๆ หูของฉินหยูและกระซิบว่า
“หยูหยู่… ผมรู้สึกว่าคุณจะรักผมมากขึ้นทุกที ๆ ทำดีกับผมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำไมเราไม่ไปสำนักงานเขตแล้วจดทะเบียนสมรสกันในวันพรุ่งนี้ซะเลยล่ะ ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉินหยูก็จ้องมองเย่เชียนอย่างตกตะลึงและทำอะไรไม่ถูก แต่จากนั้นเย่เชียนก็พูดต่อโดยไม่มีรอให้เธอตำหนิติเตียนเขา
“อันที่จริง… สำหรับผมแล้วมันไม่ยากเลยที่จะหาว่าใครกำลังตีกรอบผมอยู่ แต่ผมว่าพวกเขาคงวางแผนกันมาดิบดีแล้วและคงจะมีวิธีอื่น ๆ เผื่อเอาไว้ เพราะฉะนั้นผมจะรอจนกว่าสุนัขจิ้งจอกจะเผยหางออกมาเอง
“อ้อ เหรอ ? งั้นถ้านายต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกฉันมาได้เลยนะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่านายกำลังเผชิญหน้าอยู่กับใครหรือพวกเขามีภูมิหลังแบบไหน แต่การพานายออกมาจากสถานีตำรวจ มันก็เป็นเรื่องที่สุดแสนจะง่ายดายสำหรับฉัน” ฉินหยูพูดอย่างใจเย็นราวกับว่าสถานีตำรวจเป็นสวนหลังบ้านของเธอเองที่เธอจะเข้าหรือออกก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ตามที่ใจเธอต้องการ
“แน่นอน… ในเมืองนี้ผมมีเพื่อนเพียงคนเดียวที่ทั้งฉลาดและแสนงดงาม ถ้าไม่ให้ผมพึ่งคุณ แล้วจะให้ผมไปพึ่งใครกันล่ะ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเย่เชียนพูดจบ พวกเขาก็เดินทางมาถึงทางเข้าสถานีตำรวจพอดี
ฉินหยูเดินตามเย่เชียนเข้าไปข้างในและใช้โทรศัพท์อยู่สักพักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มชายร่างกำยำสวมชุดสูทสีดำที่พ่อของฉินหยูส่งมารับเธอถึงสถานีตำรวจ เธอกล่าวคำอำลาเย่เชียนและออกไปพร้อมกับผู้คุ้มกันของเธอ แต่ในขณะที่เธอกำลังเดินออกไป เธอก็ไม่วายที่จะหันไปสบตาส่งสายตาเชือดเฉือนให้กับหวังยู่อยู่ครู่หนึ่ง
เย่เชียนส่ายหัวอย่างหมดหนทางและสงสัยว่าผู้หญิงสองคนนี้เป็นศัตรูคู่แค้นกันในชาติปางก่อนหรือเปล่า ทำไมพวกเธอถึงต้องจ้องที่จะห้ำหั่นกันขนาดนี้ด้วย ?
เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างก็ไม่กล้าที่จะทำให้เย่เชียนต้องอับอายหรือขุ่นเคือง พวกเขาจึงต้องปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชนอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหวังยู่ไม่ได้ปฏิบัติกับเย่เชียนไม่ดีเหมือนครั้งที่แล้ว เจ้าหน้าที่คนอื่นจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเขา
เมื่อถึงเวลา เย่เชียนก็เข้าไปในห้องสอบสวนและหวังยู่ก็ตามเขาเข้าไปข้างใน หลังจากถามคำถามพื้นฐานบางอย่าง หวังยู่พูดขึ้นว่า
“เย่เชียน… แม้ว่าฉันจะเกลียดนาย แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฉันก็ไม่อยากจะกล่าวหาคนผิดว่าเป็นฆาตกร อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทั้งหมดที่เราได้มานั้นมีแนวโน้มว่านายจะเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด นอกจากนี้แล้วยังมีพยานที่อ้างว่าเห็นนายด้วยตาของเขาเองเมื่อคืนที่จ้าวเซี่ยถูกฆ่า ซึ่งข้อมูลพวกนี้มันเป็นผลเสียและอันตรายมากสำหรับนาย”
เย่เชียนต้องการหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่ต้องการกำจัดเขาให้เผยตัวตนออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดได้ว่าเมื่อคืนเขาอยู่กับจ้าวเทียนห่าวและสิ่งนี้จะทำให้หวังยู่คิดว่าเขาไม่มีคนหนุนหลัง จากนั้นเย่เชียนก็ถามว่า “ใครกันล่ะที่เป็นพยาน ?”
“แฟนสาวของจ้าวเซี่ยที่เป็นผู้ตาย เธอชื่อซูย่าหยิง เป็นคนให้ปากคำว่าเธอเห็นนายฆ่าจ้าวเซี่ย” หวังยู่พูด
สีหน้าของเย่เชียนว่างเปล่า เขาไม่ได้คาดหวังว่าพยานจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของหลินโรโร่ว เห็นได้ชัดว่าซูย่าหยิงกล่าวหาเขาอย่างผิด ๆ เธอจะต้องได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากใครบางคนที่ต้องการกำจัดเขาเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว บุคคลที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ซูย่าหยิง และเขาต้องตามหาเธอให้พบเพื่อที่จะได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
“แล้วเธอล่ะ ? เชื่อว่าฉันเป็นคนทำมั้ย ?” เย่เชียนถามด้วยแววตาที่ดูจริงจัง
หวังยู่ตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นไม่นานเธอก็พูดว่า
“จริง ๆ แล้วก่อนที่ฉันจะออกไปจับนาย ฉันถูกกำชับจากหัวหน้ากรมว่าถ้าหากนายขัดขืนการจับกุมก็ให้วิสามัญจับตายนายได้ทันที… ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันก็รู้ว่าคำสั่งพวกนี้มันต้องมาจากเบื้องบนจากตำแหน่งที่สูงกว่าหัวหน้ากรมอย่างแน่นอน มิฉะนั้นหัวหน้ากรมตำรวจจะสามารถออกคำสั่งฆ่าคนทันทีแบบนี้ได้เหรอ และมันก็มีโอกาสมากที่จะมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังที่จ้องจะกำจัดนาย คนพวกนั้นมีอำนาจและอิทธิพลมหาศาล และอาจมีตำแหน่งที่สูงกว่านี้อีกเพื่อที่แผนจะได้สำเร็จลุล่วง…”
ถึงแม้ว่าหวังยู่จะไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่คำพูดของเธอก็เพียงพอที่จะบอกเย่เชียนแล้วว่าเธอเชื่อในตัวเขา เย่เชียนจึงยิ้มขณะที่พูดไปว่า
“ตอนนี้ผมชักจะอยากรู้ซะแล้วว่าใครกันที่กำลังคิดจะกำจัดผม คนที่คิดแผนอันแยบยลและน่ารังเกียจแบบนี้ได้ เขาต้องเป็นคนที่น่าสนใจมากแน่ ๆ”
“นายไม่กังวลเลยเหรอ ?” หวังยู่ถาม เธอจ้องมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ
“เมื่อเรือไปถึงจุดสิ้นสุดของท่าเรือ มันก็จะหยุดลงเองโดยธรรมชาติ…” เย่เชียนตอบพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน
*สำนวน: เมื่อเรือไปถึงจุดสิ้นสุดของท่าเรือ มันก็จะหยุดลงเองโดยธรรมชาติ หมายถึง ทุกสรรพสิ่งมันก็มีจุดสิ้นสุดของตัวมันเอง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หวังยู่ก็กัดริมฝีปากของเธอและพูดว่า
“นายไม่ต้องกังวลไปนะ… ฉันจะช่วยนายเอง ฉันจะไม่ปล่อยให้อะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับนายแน่ รับรองเลย”
เย่เชียนมองหวังยู่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เธอดูจริงจังและดูห่วงใยเขาจนเขาไม่สามารถหุบยิ้มลงได้ ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อตัวขึ้นบนใบหน้าของเขาและคิดว่าผู้หญิงคนนี้ใจดีจริง ๆ เขาคิดในใจว่าต่อไปนี้เขาจะไม่ทะเลาะกับเธอและจะไม่ทำให้เธอต้องโกรธเพราะเขาอีก