ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 57 การลักพาตัว
เย่เชียนจ้องมองหยางเหว่ยและเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรที่ซึ่งนอนนิ่งหมดสติอยู่บนพื้น เขาแสยะยิ้มชั่วร้ายจนเหล่าบรรดานักโทษที่อยู่ในห้องขังต่างมองดูเย่เชียนด้วยดวงตาเบิกกว้างร่างสั่นสะท้าน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะชูนิ้วชมเชยอย่างกระตือรือร้น
“ลูกพี่นี่ยอดเยี่ยมจริง ๆ กล้าสู้แม้แต่กับตำรวจ”
เย่เชียนยักไหล่อย่างเฉยเมย “พวกนายอยากออกไปหรือเปล่า ? ถ้าไม่… ฉันไปล่ะ”
นักโทษเหล่านั้นเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นว่า “ลูกพี่ไปเถอะ… โทษของพวกเราไม่ได้หนักหนาอะไร หากเราอยู่ต่อไปอีกสองสามปี เราก็จะถูกปล่อยตัวแล้ว แต่ถ้าเราหนีออกจากคุกตอนนี้ มันจะไม่คุ้มค่าเลยพี่”
เย่เชียนยิ้มอย่างเฉยเมย เขาเข้าใจความรู้สึกของนักโทษเหล่านี้ดี เพราะถึงพวกเขาจะเคยใช้ชีวิตเยี่ยงมาเฟียมาก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาก็อยู่ในสถานกักกันเพื่อรอการพิจารณาคดีในศาล สิ่งที่พวกเขาทำได้อย่างดีที่สุดก็คือต้องรออย่างเดียวเท่านั้น
นักโทษพวกนี้ไม่ใช่เด็ก ๆ ที่เพิ่งจะเดินเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรม พวกเขาเข้าใจความหมายของคำว่าคนรุ่นใหม่ที่มาแทนคนรุ่นเก่าได้ดีว่ามันหมายถึงอะไร การหนีออกจากคุกไม่ได้ทำให้พวกเขาดูยิ่งใหญ่ และในกรณีแบบนี้ พวกลูกน้องหรือผู้หนุนหลังก็จะไม่ยื่นมือมาช่วยอย่างแน่นอน
ณ เวลานี้ เหล่านักโทษไม่ได้เป็นจ้าวแห่งโลกอาชญากรรมอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นการดีที่สุดที่จะรอการพิจารณาคดีตามกฎหมาย และรอการปล่อยตัวอย่างชอบธรรม จากนั้นก็ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างเงียบ ๆ ต่อไป
เมื่อเย่เชียนหนีออกมาจากศูนย์กักกันได้แล้ว เขาก็โทรศัพท์ไปหาหลี่เหว่ยยี่ เด็กหนุ่มคนนี้กำลังงีบหลับอยู่หลังต้นไม้นอกบ้านของจ้าวหยา ทันทีที่เขาได้รับสายของเย่เชียน เขาก็ไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก เพราะการเป็นผู้คุ้มกันนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำกันได้ และส่วนตัวหลี่เหว่ยยี่เอง ถ้าเลือกได้เขาก็อยากจะเข้าไปเฝ้าระวังในป่าเพื่อรอให้ศัตรูเผยตัวและซุ่มโจมตีศัตรูจากระยะไกลมากกว่า
“นายคอยตามสอดส่องฉันมาสักพักหนึ่งแล้วใช่มั้ย ? ถ้างั้นนายก็ต้องรู้จักผู้หญิงที่ชื่อซูย่าหยิงสินะ ฉันอยากเจอเธอ” เย่เชียนพูดอย่างดุดัน
เมื่อได้ยินเย่เชียนพูดเช่นนั้น หลี่เหว่ยยี่ก็ฉีกยิ้มและหัวเราะอย่างซุกซนตามสไตล์ของเขา จากนั้นก็พูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ ไม่มีปัญหาครับบอส… เดี๋ยวผมโทรกลับไปนะ”
……
หลังจากนั้นไม่นาน หยางเหว่ยและเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรก็ฟื้น พวกเขาเห็นว่าเย่เชียนหายตัวไปอย่างที่คาดการณ์เอาไว้และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย หยางเหว่ยหันไปหานักโทษที่เหลือและพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“มันจะเป็นการดีสำหรับพวกแกที่สุด ถ้าพวกแกแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้เห็นอะไรเลยในคืนนี้ และอย่าพูดถึงมันอีก เพราะเมื่อการพิจารณาคดีของพวกแกมาถึง สิ่งนี้จะถูกนำมาพิจารณาเพื่อลดหย่อนโทษของพวกแกด้วย แต่ถ้าพวกแกไม่ใส่ใจคำพูดของฉันล่ะก็… พวกแกก็คงจะเดาได้ไม่ยากใช่ไหมว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง ?”
นักโทษเหล่านี้เคยมีชื่อเสียงอันโด่งดังในโลกอาชญากรรมอย่างมาก พวกเขาไม่เคยถูกเย้ยหยันและกดดันเช่นนี้มาก่อน เฉกเช่นเสือเมื่อต่างถิ่นก็อาจถูกสุนัขข่มขวัญได้เหมือนกัน ตอนนี้พวกเขาถูกขังอยู่ในคุกและต้องเผชิญหน้ากับพวกตำรวจคอร์รัปชัน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความขุ่นเคืองและโกรธเกรี้ยวอยู่ในใจ พวกเขาก็ทำได้เพียงกลืนมันลงไป
หลังจากล็อกประตูห้องขังแล้ว หยางเหว่ยและเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรก็เดินออกมาจากศูนย์กักกัน…
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมตอนนี้ได้หลบหนีออกจากคุกไปแล้ว แม้ว่าเดิมทีเขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ตอนนี้มันก็ยากที่เขาจะล้างมลทินทั้งหมดนี้ออกไปได้” เจ้าหน้าที่เฝ้าเวรพูดอย่างพึงพอใจ
หยางเหว่ยยิ้มอย่างชั่วร้ายและพูดว่า “ฉันไม่ต้องการให้มันได้รับโทษ แต่ฉันต้องการชีวิตของมัน! เช้าวันพรุ่งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนในเมืองจะออกล่าหัวมัน เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบมัน ก็จะทำการวิสามัญในทันที ต่อให้มันมีปีกก็ไม่มีปัญญาจะหนีไปไหนพ้น”
หลังจากที่พ้นเขตของศูนย์กักกันแล้ว หยางเหว่ยก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นรายงานเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นโดยละเอียด แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ เย่เชียนนั้นยังไม่ได้ออกจากสถานีตำรวจ แต่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งและแอบบันทึกเสียงการสนทนาของคนพวกนี้ไว้ในโทรศัพท์ของเขาอยู่ด้วย หลังจากที่ได้ยินแผนการทั้งหมดของพวกเขาแล้ว เย่เชียนก็ฉีกยิ้มออกมา เขาไม่ใช่คนประเภทที่ปล่อยให้ตัวเองต้องถูกเหยียบย่ำ และตอนนี้เขาก็ต้องการที่จะรู้ว่าสถานการณ์มันจะบานปลายและจะเดินหน้าต่อไปในรูปแบบใด
จากนั้นเย่เชียนก็หลบหนีออกจากสถานีตำรวจและโทรหาหลี่เหว่ยยี่อีกครั้ง หลังจากที่หลี่เหว่ยยี่บอกตำแหน่งปัจจุบันให้เขาอย่างชัดเจนแล้ว เย่เชียนก็วางสายโทรศัพท์
เย่เชียนมั่นใจในความสามารถของหลี่เหว่ยยี่มาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ค่อนข้างประหลาดใจที่หลี่เหว่ยยี่พบที่อยู่ของซู่ย่าหยิงได้เร็วขนาดนี้
……
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ไม่มีใครอยู่บนท้องถนนและรถราก็มีน้อยแสนน้อย เย่เชียนมุ่งหน้าตรงไปยังที่อยู่ที่หลี่เหว่ยยี่ให้เขามา มันเป็นช่วงเวลามืดที่สุดก่อนจะรุ่งสาง หากเวลานี้ผ่านไป ดวงอาทิตย์ก็จะสาดแสงและส่องสว่างไปทั่วโลก
เย่เชียนมาถึงโรงงานร้างเก่าในเขตผู่ตง แผนการบูรณะเมืองของรัฐบาลยังไม่ได้เริ่มต้น ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงถูกทิ้งร้าง เขาขึ้นไปที่ชั้นสองของโรงงานร้าง และพบซูย่าหยิงอยู่ที่มุมหนึ่ง มือของเธอถูกมัดเอาไว้ ใกล้ ๆ กันนั้นมีหลี่เหว่ยยี่นั่งอยู่บนพื้น เขากำลังแทะแตงโมอย่างสบายอารมณ์ โดยมีเปลือกแตงโมกระจัดกระจายอยู่ข้าง ๆ เขา
หลี่เหว่ยยี่ต้อนรับเย่เชียนด้วยรอยยิ้ม “บอส ผมไม่คิดเลยว่าที่จีนจะร้อนขนาดนี้ บอสเอาแตงโมสักหน่อยไหม ?” หลี่เหว่ยยี่เป็นชาวจีนที่อพยพไปในต่างแดนและเติบโตที่นั่น เขาไม่ค่อยรู้เรื่องประเทศจีนที่เป็นประเทศบ้านเกิดของเขามากนัก
เย่เชียนมองเขาอย่างหมดหนทางและหยิบแตงโมจากมือหลี่เหว่ยยี่ขึ้นมาแทะ เขาไม่ได้มองไปที่ซูย่าหยิงราวกับว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นั่นเลย
ในด้านของซูย่าหยิงเองก็มองดูทั้งคู่อย่างกระวนกระวายใจ ขณะที่เธอกำลังคิดหาทางหนีทีไล่ เธอถูกหลี่เหว่ยยี่จับตัวมาในขณะที่เธอกำลังอาบน้ำอยู่ในบ้าน การดิ้นรนและเสียงกรีดร้องของเธอนั้นไร้ประโยชน์ สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเธอกำลังล้มลง และพอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองถูกมัดอยู่ที่นี่เสียแล้ว
เดิมทีซูย่าหยิงไม่รู้ว่าทำไมหลี่เหว่ยยี่ถึงลักพาตัวเธอมา แต่หลังจากได้เห็นเย่เชียน ทุกอย่างก็ชัดเจน ความกลัวคืบคลานเข้ามาในใจของเธอตั้งแต่เย่เชียนเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แยแสเธอเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ยืนกินแตงโมอยู่กับคนที่ลักพาตัวเธอมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ในที่สุด เย่เชียนก็เหลือบมองไปที่ซูย่าหยิงและเห็นว่าร่างของเธอถูกคลุมด้วยผ้าขนหนูเล็ก ๆ เพียงผืนเดียว แต่เพราะเธอนั่งยอง ๆ อยู่จึงทำให้ของลับของเธอเผยออกมาราง ๆ เพราะความมืด
“นี่…! ไอ้หนู นายไม่ได้ทำอะไรที่มันผิดศีลธรรมใช่มั้ย ?” เย่เชียนถามอย่างเกรี้ยวกราด
หลี่เหว่ยยี่มองไปที่ซูย่าหยิงและหันกลับมาหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ตอบว่า “ไม่ ๆ เธออาบน้ำอยู่ตอนที่ผมไปถึงน่ะ ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างเกรี้ยวกราด ผมจึงไม่มีทางเลือกมาก ก็เลยทุบท้ายทอยเธอและพามาเนี่ยแหละ”
“นายไม่ได้ฉวยโอกาสและลวนลามเธอใช่มั้ย ?” เย่เชียนยังคงถามต่อ
“ไม่มีทางครับ โห! บอสคิดว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน ? ผู้หญิงคนนี้ไม่มีทั้งหน้าอกไม่มีทั้งสะโพก แถมเธอก็ไม่สวยด้วย ผมจะไปฉวยโอกาสกับเธอทำไม ?”
หลี่เหว่ยยี่อธิบายราวกับว่าเขากำลังพูดอะไรบางอย่างที่สมเหตุสมผลอยู่ แต่เย่เชียนนั้นรู้ถึงตัวตนของเขาดีและไม่เชื่อเขาสักนิด เพราะถ้าหลี่เหว่ยยี่ไม่ได้ฉวยโอกาสจากหญิงสาวที่เปลือยเปล่าต่อหน้าของเขาเลย มันก็คงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก เพราะเย่เชียนยังจำคำพูดของหลี่เหว่ยยี่ได้อย่างชัดเจนที่ว่า
‘ตราบใดที่ใครคนนั้นเป็นผู้หญิง แม้ว่าเธอจะไม่สวยหรือน่าเกลียดเหมือนพวกไดโนเสาร์ก็ตาม แต่ถึงยังไงพวกเธอก็มีสิ่งที่ให้ผู้ชายได้ใช้ประโยชน์จากพวกเธอ’