ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 67 การหารือครั้งใหญ่
หวังปิงกำลังรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันอู่หยางเฉิงกลับรู้สึกหดหู่ใจเป็นที่สุด เขาสาปแช่งบรรพบุรุษของเย่เชียนไปสิบแปดชั่วโคตรและปรารถนาที่จะคร่าชีวิตของเย่เชียนให้จงได้
อู่หยางเฉิงคิดว่าเด็กคนนี้กลับกลอกมาก ทั้งที่พวกเขาทั้งคู่ได้ตกลงกันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วแท้ ๆ แต่เย่เชียนกลับส่งมอบไฟล์และเอกสารเหล่านั้นไปให้กับคณะกรรมการตรวจสอบวินัยเสียได้
เดิมทีอู่หยางเฉิงวางแผนที่จะรอรับไฟล์เหล่านั้นกลับคืนมาเสียก่อน แล้วค่อยส่งคนของเขาไปจัดการกับเย่เชียนในภายหลัง แต่ตอนนี้เขาไร้ซึ่งหนทางไปต่อ และเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับคณะกรรมการตรวจสอบวินัยอย่างไรดี
อู่หยางเฉิงเป็นคนที่ชั่วร้ายและละโมบโลภมาก แต่เมื่อเขาต้องตกอยู่ในกำมือของจุดสูงสุดของอำนาจเช่นนี้ เขาก็เป็นเหมือนสุนัขตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขายังโชคร้ายมากเพราะเขาได้ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานนี้ไปหมดแล้ว ทุกคนปฏิบัติกับเขาเหมือนคนแปลกหน้า
เขาได้แต่มองไปยังเหล่าคณะกรรมการตรวจสอบวินัยพวกนั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้าและคิดกับตัวเองว่า ‘พวกแกทั้งหลายรอก่อนเถอะ ถ้าฉันรอดออกไปได้เมื่อไหร่… ฉันไม่ปล่อยพวกแกไปง่าย ๆ แน่!’
เย่เชียนแท้ ๆ ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น ถ้าอู่หยางเฉิงไม่ฆ่าเย่เชียนและโปรยขี้เถ้าทิ้ง มันก็คงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะขจัดความเกลียดชังและความร้าวฉานที่เขารู้สึกอยู่ในตอนนี้ได้
ก่อนที่อู่หยางเฉิงจะยอมไปกับคณะกรรมการตรวจสอบวินัย เขาได้ขอใช้สิทธิ์เรียกร้องและพูดสั้น ๆ เพื่ออธิบายสถานการณ์ของเขาทั้งหมด เขาคิดว่าถ้าจะรุ่งมันก็ต้องรุ่งไปด้วยกัน แต่ถ้าจะร่วงมันก็ต้องร่วงไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ
อู่หยางเฉิงมีรากฐานที่เขาสร้างมาในช่วงหลายปีของชีวิตข้าราชการระดับสูงที่ผ่านมาอยู่พอสมควร และในที่สุด มันก็มาถึงจุดที่เขาจะต้องงัดทุกสิ่งทุกอย่างออกมาใช้เพื่อให้เขารอดไปจากจุดนี้
แน่นอนว่าเย่เชียนไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอยู่แล้วว่าเขาจะสามารถเอาชนะอู่หยางเฉิงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพราะอู่หยางเฉิงคลุกคลีกับการเมืองมานานแล้ว เขาจะมีเพื่อนและพันธมิตรเพียงน้อยนิดเท่าหยิบมือได้อย่างไร ?
ใครก็ตามที่ก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ได้อย่างรวดเร็วและได้มีตำแหน่งเป็นถึงเลขานุการคณะกรรมการเทศบาลนั้น ย่อมต้องมีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เย่เชียนก็ไม่ได้กังวลเรื่องอู่หยางเฉิงจะเดินหน้าต่อเพื่อแก้แค้นเขาสักเท่าไหร่ เพราะอย่างน้อยที่สุดอู่หยางเฉิงก็ต้องรอไปอีกพักใหญ่กว่าเขาจะหลุดพ้นจากคณะกรรมการตรวจสอบวินัยได้
……
ตกบ่าย หลี่ฮ่าวก็ได้รับโทรศัพท์จากเลขาธิการผู้ว่าการเทศบาลคนปัจจุบันว่าให้ปล่อยเย่เชียนเป็นอิสระ และเมื่อฟังจากน้ำเสียงของเขาก็ดูเหมือนว่าเขาได้รับคำสั่งบางอย่างและต้องทำตามอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าหลี่ฮ่าวจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็เดาได้ว่าเลขาธิการผู้ว่าการเทศบาลต้องได้รับคำสั่งจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่าหรือบุคคลทรงอิทธิพลอย่างมาก
นอกจากนี้ คนที่เป็นถึงเลขาธิการผู้ว่าการเทศบาลก็ไม่จำเป็นต้องโทรมาหาเขาเป็นการส่วนตัวในเรื่องนี้ด้วย แค่ส่งคำสั่งผ่านทางข้อความหรือผ่านทางผู้ช่วยก็เพียงพอแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฮ่าวก็ได้รับสายโทรศัพท์จากหวังปิงอีกคนหนึ่ง หวังปิงบอกให้เขาไปหาที่บ้านทันทีที่เป็นไปได้ หลี่ฮ่าวไม่สามารถปฏิเสธได้แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ฉุกละหุกมาก หลังจากพูดคุยกับเย่เชียนสองสามคำและจัดการขั้นตอนการปล่อยตัวเสร็จ หลี่ฮ่าวก็รีบไปที่บ้านของหวังปิงทันที
ในด้านของเย่เชียน เขานั้นไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะต้องรีบออกไปตอนนี้ เขาจึงเดินไปรอบ ๆ สำนักงานและเริ่มชวนพวกเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ พูดคุยกันในเรื่องไร้สาระที่ไม่มีมูลความเป็นจริงเพื่อฆ่าเวลา
เย่เชียนจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการเสวนาเรื่องเหลวไหลตัวยงคนหนึ่ง เพราะเมื่อยามใดที่หน่วยเขี้ยวหมาป่าออกปฏิบัติภารกิจ พวกเขาก็มักจะต้องซ่อนตัวอยู่ในภูเขาลึกเป็นเวลานานหลายเดือน ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทั้งคอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์เอาไว้เพื่อความบันเทิง ดังนั้นหากพวกเขาไม่หาเรื่องอะไรมาพูดคุยกันแล้ว พวกเขาจะทำอะไรอย่างอื่นได้อีก…
บางครั้งเย่เชียนก็รู้สึกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านี้ไม่เหมือนกับพวกตำรวจที่น่ารำคาญทั่วไปที่เขาเคยพบเจอมา ตำรวจเหล่านี้ทำตัวน่ารักมาก ตอนนี้พวกเขากำลังรวมตัวกันมาฟังเรื่องราวที่แสนโอ้อวดและเหลวไหลของเย่เชียนด้วยความตื่นเต้น และบางช่วงพวกเขาก็อุทานขึ้นด้วยความตกตะลึง เมื่อเป็นเช่นนี้ เย่เชียนก็ยิ่งอยากเล่าเรื่องราวไร้สาระให้พวกเขาฟังต่อไปเรื่อย ๆ
“พวกคุณรู้จักบินลาเดนใช่มั้ย ? รู้มั้ยว่าเขาน่ะเป็นเหมือนกับพี่ชายคนนึงของผมเลย พวกเราสนิทกันมาก ตอนที่ผมอยู่อัฟกานิสถาน พวกเรามักจะไปหาผู้หญิงสวย ๆ กัน แต่พวกคุณอย่าคิดนะว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะกลัวพวกเราถ้ามองจากรูปลักษณ์ภายนอกน่ะ เพราะความจริงแล้วบินลาเดนเขาเป็นแค่คนขี้อายและใสซื่อคนนึงเท่านั้น เวลาเขามองผู้หญิงทีไร เขาก็เป็นเหมือนแค่เด็กวัยรุ่นใจแตกธรรมดานั่นแหละ ฮ่า ๆ ๆ”
“โห! จริงเหรอ ? คุณเคยเจอบินลาเดนด้วยเหรอ ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นเริ่มมีการตอบสนองที่ตื่นเต้นเร้าใจ
“ทำไมผมต้องโกหกด้วยล่ะ ? ผมมีรูปถ่ายของเขาด้วย ถ้าพวกคุณไม่เชื่อ มา เดี๋ยวผมเอาให้ดู” เย่เชียนพูดขณะที่ควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าหน้าอกและดึงรูปถ่ายออกมาก่อนจะส่งต่อให้พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจดู
เจ้าหน้าที่ตำรวจดูรูปแล้วก็เห็นว่าในรูปนั้นมันไม่มีแม้แต่เย่เชียนอยู่ในรูปถ่าย มันเป็นเพียงภาพของตึกเพนตากอน สำนักงานใหญ่กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาก่อนที่มันจะถล่มทลายลงมา
เย่เชียนเห็นสีหน้าของพวกเขาจึงอธิบายว่า “ย้อนกลับไปตอนนั้น… บินลาเดนบอกผมว่าเขาจะระเบิดมันและชี้ไปทางนั้น แล้วปรากฏว่าเขาทำมันจริง ๆ ผมก็เลยถ่ายไว้น่ะ”
“อ้าว…? แล้วทำไมพวกคุณทั้งสองคนถึงไม่อยู่ในรูปถ่ายด้วยล่ะ ?” พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจถาม หลายคนยืนกรานไม่เชื่อเขา
เย่เชียนมองพวกเขาด้วยสายตาที่เย้ยหยัน
“ปัดโธ่! พวกคุณไม่รู้หรือไงว่าบินลาเดนเป็นคนแบบไหนน่ะ ? คนอย่างเขาจะเปิดเผยใบหน้าตัวเองต่อสาธารณชนได้ยังไงล่ะ ? ผมเป็นคนถ่ายภาพนี้เองตอนที่ผมอยู่กับเขา แต่เขาไม่ยอมถ่ายรูปคู่กับผมเพราะเขากลัวว่า CIA จะคอยมาสอดส่องและติดตามผมถ้าพวกเขาเห็นว่าเราอยู่ด้วยกัน พวกคุณดูสิว่าเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากขนาดไหน!”
พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อยากจะเชื่อคำพูดที่เกินจริงและเหลวไหลของเย่เชียนอีกต่อไป เพราะในความเป็นจริงเย่เชียนไม่ได้สนิทกันเหมือนดั่งพี่น้องกับบินลาเดน แต่อย่างน้อยในขณะที่หน่วยเขี้ยวหมาป่าได้รับคำร้องขอจาก CIA ให้เข้าร่วมปฏิบัติการจับกุมบินลาเดนในครั้งนั้น เย่เชียนก็เคยเจอกับเขาจริง ๆ
แม้ว่าสุดท้ายแล้วบินลาเดนจะหนีพวกเขาไปได้ แต่เย่เชียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก เขาไม่ได้สนใจเรื่องการต่อต้านผู้ก่อการร้ายสักเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่เขาได้รับในตอนท้ายก็คือเงินอยู่ดี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำไม่สำเร็จก็ตาม แต่ถึงยังไง CIA ก็ยังต้องจ่ายในส่วนนั้นเป็นจำนวนมหาศาล
ในขณะที่เย่เชียนกำลังคุยโม้อยู่กับพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจ จู่ ๆ ก็มีหญิงสาวแสนสวยคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าสำนักงาน เธอใส่กระโปรงสั้นและรองเท้าส้นสูงสีดำเข้ม
ดวงตาของเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกกว้างเป็นประกายทันทีที่เห็นเธอ พวกเขากลัวว่าจะพลาดช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตไป ต่างคนก็ต่างอธิษฐานต่อสวรรค์ว่าตราบใดที่ดวงตาของพวกเขายังไม่มืดบอดไปในตอนนี้ พวกเขาสามารถที่จะอดทนต่อความยากลำบากใด ๆ ก็ได้ ขอเพียงแค่ตอนนี้พวกเขายังมีโอกาสได้เห็นสิ่งที่สวยงามเช่นนี้ก่อนก็พอแล้ว
หลังจากที่เย่เชียนงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ เขาก็หัวเราะ “
หึ ๆ นี่พวกคุณน่ะ อย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกลเลย… เพราะนั่นคือภรรยาในอนาคตของผมเอง”
พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างตกตะลึงและถึงกับทึ่งไปตาม ๆ กัน พวกเขายกนิ้วชื่นชมเย่เชียน ถึงแม้ว่าจะหยุดอิจฉาและหยุดชื่นชมไม่ได้ก็ตาม
เมื่อฉินหยูได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูด เธอก็จ้องมองไปที่เขาด้วยสายตารังเกียจแล้วเดินมาพร้อมกับพูดว่า “โอ๊ย… ฉันไม่ได้อยากจะเห็นหน้านายเลย นายต้องอยู่ที่สถานีตำรวจไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ?”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไง ? ก็พวกเขาพาผมมาที่นี่จะให้ผมขัดขืนเหรอ ?” เย่เชียนตอบโดยยังคงความบริสุทธิ์และใสซื่อไว้
ฉินหยูรู้ดีถึงพฤติกรรมของผู้ชายคนนี้และเธอก็ไม่ต้องการที่จะโต้เถียงกับเขาต่อ เธอจึงถามว่า “แล้วนี่มันยังไง ? นายจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยเหรอ ?”