ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 696 การพบกันครั้งแรก
ตอนที่ 696 การพบกันครั้งแรก
ฟูมะฮายาคุจินั้นอายุมากและแก่ชราอย่างมากแต่เขาก็ยังคงเต็มไปด้วยพลังงานและมีสุขภาพที่ดีซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการฝึกวิชานินจาของเขาด้วยเพราะมันเป็นศิลปะการต่อสู้โบราณที่สืบทอดมาจากประเทศจีน ซึ่งผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ชาวจีนฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณไม่ใช่เพื่อเอาชนะศัตรูแต่เพื่อทะลวงขีดจำกัดของตนเองและดึงศักยภาพสูงสุดออกมา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่ศิลปะการต่อสู้โบราณจะเป็นการรักษาสุขภาพเพราะถึงแม้ว่าชาวญี่ปุ่นจะดัดแปลงศิลปะการต่อสู้จีนโบราณบางส่วนเพื่อให้พวกเขาสามารถปลิดชีพศัตรูได้ไวขึ้นแต่มันก็ยังสามารถรักษาสุขภาพได้เช่นเดียวกัน
เมื่อได้ยินเสียงของคาเอดะแล้วฟูมะฮายาคุจิก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่เย่เชียนจากนั้นเขาก็พยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรใดๆ ซึ่งท่าทางของเขาดูสง่าผ่าเผยมากแม้กระทั่งเมื่อมองไปที่เย่เชียนก็ยังเป็นการเหล่ตามอง เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มอย่างแผ่วเบาแต่ไม่ได้รังเกียจทัศนคติการวางตัวของฟูมะฮายาคุจิและเพียงก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วพูดว่า “ผมเย่เชียนสวัสดีครับท่านผู้อาวุโสฟูมะ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นการกล่าวทักทายอย่างสุภาพแต่เย่เชียนก็ไม่ได้ถ่อมตัวและไม่ได้ทำท่าทางเคารพเพราะฟูมะฮายาคุจิเป็นฝ่ายที่เชิญเย่เชียนให้มาดังนั้นต้องเป็นฟูมะฮายาคุจิที่ต้องแสดงทัศนคติเช่นนั้นออกและแน่นอนว่าเย่เชียนไม่จำเป็นต้องมีมารยาทใดๆกับฟูมะฮายาคุจิเลย
สีหน้าของฟูมะฮายาคุจิก็ดูแปลกไปเล็กน้อยและคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันจากนั้นเขาก็พูดว่า “นั่งลงสิๆ” จากนั้นเขาก็หันไปมองซ่งหลันซึ่งท่าทีของเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดแล้วพูดว่า “คุณซ่งคุณก็มาด้วยหรือ..เราไม่ได้พบกันนานเลย..ผมก็ถามคาเอดะอยู่ว่าเมื่อไหร่คุณจะมาเป็นแขกบ้าง”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะฟูมะฮายาคุจิก็มองไปที่คาเอดะแล้วพูดว่า “เอ็งทำให้คุณซ่งอารมณ์เสียอีกแล้วใช่ไหม? ..ผู้ชายต้องมีความอดทน..ดูแลเอาใจใส่คุณซ่งดีๆ หน่อย”
เห็นได้ชัดว่าดูเหมือนฟูมะฮายาคุจิจะมีความตั้งใจที่จะขับคู่ระหว่างคาเอดะกับซ่งหลัน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากคาเอดะกับซ่งหลันได้แต่งงานกันล่ะก็มันจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและผลประโยชน์ของตระกูลฟูมะก็จะมีมหาศาลมาก ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ต้องรวมเครือน่านฟ้ากรุ๊ปกับฟูมะกรุ๊ปให้เป็นหนึ่งก็ตามแต่ซ่งหลันเพียงคนเดียวก็มีค่าเท่ากับกองทหารและนักธุรกิจหลายพันคน ซึ่งจะนำประโยชน์มหาศาลในอนาคต ดังนั้นแน่นอนว่าฟูมะฮายาคุจิก็รู้ดีว่าซ่งหลันนั้นเป็นคนของเขี้ยวหมาป่าแต่เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างซ่งหลันกับเย่เชียนมากนัก นอกจากนี้ซ่งหลันยังดูแลจัดการเครือน่านฟ้ากรุ๊ปอยู่เสมอและแทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขี้ยวหมาป่าเลย
เย่เชียนนั้นแทบจะไม่รู้เรื่องราวเชิงลึกของประเทศญี่ปุ่นเลยแต่เย่เชียนได้เรียนรู้เรื่องวรรณกรรมบนเตียงของชาวญี่ปุ่นมาบ้าง ดังนั้นเมื่อเห็นการแสดงออกของฟูมะฮายาคุจิที่มีต่อซ่งหลันแล้วเย่เชียนก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างและรู้สึกเหมือนกับว่าพ่อตากำลังมองหาลูกสะใภ้ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ขดริมฝีปากและพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ฉันคงรับรักคุณคาเอดะไม่ได้หรอกค่ะ..เพราะฉันมีคนรักอยู่แล้ว..ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ” ซ่งหลันพูด
“โอ้..คุณซ่งมีคนรักแล้วหรือ..ผมไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใครแต่คนๆนั้นช่างโชคดีมาก..ถ้ามีโอกาสคุณซ่งช่วยพาเขามาให้ผมรู้จักหน่อยก็แล้วกัน” ฟูมะฮายาคุจิพูด
“ท่านปู่..คนรักของคุณซ่งก็คือคุณเย่นี่แหละครับ” คาเอดะพูด
“จริงหรือ? ..คนๆนั้นเป็นราชาหมาป่าเย่เชียนที่โด่งดังคนนี้นี่เอง..คุณเย่กับคุณซ่งเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ ..ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ” ฟูมะฮายาคุจิหันไปเหลือบมองเย่เชียนแล้วพูดอย่างช้าๆ
เย่เชียนไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงแต่เมื่อเขาเห็นฟูมะฮายาคุจิมองมาที่เขาแบบนั้นเย่เชียนก็ยิ้มตอบอย่างมีความสุข อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็เป็นหมูตายที่ไม่กลัวน้ำเดือดและใบหน้าของเขาหนากว่ากำแพงเมืองจีนเสียอีก ดังนั้นเขาจะรู้วิธีที่ละอายใจได้อย่างไร
“ผู้อาวุโสฟูมะก็ชมเชยฉันเกินไปค่ะ” ซ่งหลันพูดต่อ “อันที่จริงฉันก็ต้องการมาเยี่ยมผู้อาวุโสฟูมะอยู่แล้ว..แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีหลายสิ่งหลายอย่างในบริษัทที่ต้องทำฉันจึงไม่ค่อยว่าง..แต่วันนี้คุณคาเอดะเชิญให้ฉันมาเข้าชมพิธีเปิดการแข่งขันการต่อสู้ฉันก็เลยไม่ได้เตรียมของมาเยี่ยมผู้อาวุโสเลย”
“คุณซ่งไม่ใช่คนนอกดังนั้นก็ไม่ต้องสุภาพหรอก..ถ้าคุณนำของมาเยี่ยมผมล่ะก็ผมคงจะละอายใจจริงๆ” ฟูมะฮายาคุจิพูด “เอาล่ะเชิญนั่งก่อนสิคุณซ่ง” ฟูมะฮายาคุจิยกมือขึ้นเพื่อตรวจดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือแล้วพูดว่า “ใกล้จะถึงเวลาแล้ว..เรามากินข้าวกันเถอะ”
“ฉันเคยกินซาซิมิที่ผู้อาวุโสเตรียมเอาไว้ให้รสชาติมันยอดเยี่ยมจริงๆ ..ไม่ทราบว่าวันนี้ฉันจะได้ลิ้มรสมันอีกหรือเปล่า” ซ่งหลันพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ ไม่ต้องกังวลไปเพราะตั้งแต่ที่คาเอดะโทรมาบอกว่าพวกคุณจะมาเยี่ยมเขาก็ได้จัดเตรียมซาซิมิจานโปรดของคุณเอาไว้แล้ว” ฟูมะฮายาคุจิพูด
“ขอบคุณมากค่ะคุณคาเอดะ” ซ่งหลันพูด
“คุณซ่งไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอกครับ..อย่าคิดว่าผมเป็นคนนอกเลย..ถ้าคุณชอบผมจะเตรียมเอาไว้ให้คุณบ่อยๆ นะครับ” คาเอดะพูด
เย่เชียนที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเขาจึงไม่เข้าใจอะไรเลยและไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรกันดังนั้นเย่เชียนจึงได้แต่ทำหน้าตาอย่างไม่แยแสแต่หูของเขาก็ตั้งตรงและอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดแต่เย่เชียนไม่สามารถเข้าใจได้เลย
จากนั้นฟูมะฮายาคุจิก็หันไปมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “คุณน่าจะยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันมาสินะครับ..ถ้าคุณไม่รังเกียจก็มาทานอาหารด้วยกันยิ..แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะถูกปากคุณเย่หรือเปล่า”
เย่เชียนก็มองฟูมะฮายาคุจิอย่างว่างเปล่า จากนั้นหันไปมองซ่งหลันซึ่งซ่งหลันก็ยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสฟูมะเชิญนายมารับประทานอาหารกลางวันด้วย”
“โอ้..” เย่เชียนก็ลากเสียงยาวแล้วพูดว่า “ผมก็หิวอยู่พอดีเลยครับ..ก่อนหน้านี้ผมก็คิดว่าจะแอบไปหาซื้ออะไรกินสักหน่อยแต่ผมไม่รู้ทางน่ะ..ผมปฏิเสธคนไม่ค่อยเก่งเพราะงั้นขอรบกวนด้วยนะครับ”
ฟูมะฮายาคุจิก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ฮ่าๆ ..คุณเย่ช่างเป็นคนอารมณ์ขันจริงๆ ..แต่ผมมีบางอย่างที่อยากจะพูดกับคุณเย่ตรงๆ” ประโยคนี้ฟูมะฮายาคุจิพูดเป็นภาษาจีนและเย่เชียนก็สามารถเข้าใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ถ้าผู้อาวุโสฟูมะมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาตรงๆ ได้เลย..ผมยินดีรับฟังครับ” เย่เชียนพูด
ฟูมะฮายาคุจิก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “อย่างที่บอกว่าคุณเย่เป็นคนต่างถิ่นที่ข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาเพื่อมาทำธุรกิจเพราะงั้นตอนนี้คุณก็มาถึงประเทศญี่ปุ่นของผมแล้วเพราะงั้นคุณเย่ก็ควรจะพูดภาษาญี่ปุ่นเพราะการสื่อสารมันจะส่งผลต่อการพัฒนาธุรกิจอย่างมาก”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมต้องขอโทษจริงๆ ..ผมไม่มีความสามารถด้านภาษาญี่ปุ่นเลยและแม้แต่ภาษาจีนของผมเองก็ไม่ดีนัก..ที่ผมเลือกเข้ามาทำธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นก็เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ดีของประเทศญี่ปุ่นและผมก็คิดว่าชาวญี่ปุ่นนั้นมีอัธยาศัยดีและมีน้ำใจ..นอกจากนี้ผมก็อยากที่จะเรียนหลายๆ ภาษาทั่วโลกแต่ผมไม่สามารถเรียนรู้ได้เลย..เพราะภาษาพวกนั้นมันยากที่จะเข้าใจจริงๆ ..เอ่อ..ผมไม่ได้หมายถึงภาษาญี่ปุ่นนะครับ..มันเป็นแค่การเปรียบเทียบ”
การแสดงออกของฟูมะฮายาคุจิก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดและความโกรธที่ซ่อนอยู่ระหว่างคิ้วของเขานั้นก็ชัดเจนเป็นพิเศษ แต่มันก็ถูกปกปิดไปอย่างรวดเร็วและเขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ผมได้ยินสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับราชาหมาป่าเย่เชียนมานานแล้ว..ในความคิดของผมราชาหมาป่าคนนั้นเป็นชายหนุ่มที่สง่าผ่าเผยแต่ผมไม่ได้คาดหวังเลยว่าคุณเย่จะเป็นคนพูดจาฉะฉานแบบนี้..มันก็ดีถ้าคนหนุ่มสาวจะหยิ่งผยองบ้างแต่ถ้ามันมากเกินไปก็ไม่ดีเท่าไหร่”
“ผู้อาวุโสฟูมะพูดถูกแล้ว..ผมถือทัศนคติแบบนั้นมาเสมอ..ผมไม่ใช่คนที่สูงส่งอะไรแต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้ใครมาดูถูกผมได้..ยิ่งไปกว่านั้นเราเป็นคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยชีวิตและความตาย..พวกผมได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปในนรกแล้ว..เพราะงั้นทุกวินาทีของชีวิตล้วนมีแต่ความเสี่ยงและความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับพวกเราเลย” เย่เชียนพูดอย่างสงบและสุขุมอย่างมาก
ฟูมะฮายาคุจิก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะแน่นอนว่าเขาสามารถได้ยินความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเย่เชียนได้ ซึ่งเย่เชียนนั้นเพียงต้องการบอกตัวเองว่าเย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่น่ากลัวแต่ถ้าตนต้องการสร้างปัญหาให้กับเขาล่ะก็มันจะเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นชีวิตของเย่เชียนนั้นก็เหมือนรากหญ้าแต่ชีวิตของตนนั้นมีค่ากว่ามากดังนั้นก็อย่าทำร้ายตัวเอง อย่างไรก็ตามการที่ฟูมะฮายาคุจิสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำของตระกูลและสำนักนินจาอิงะได้นั้นแน่นอนว่าฟูมะฮายาคุจิไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายและไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญหรือสติปัญญานั้นก็ถือได้ว่าเขาเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ธรรมดา ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลแล้วเย่เชียนก็มาเพื่อเตือนว่าเขาไม่ใช่คนที่ควรจะทำให้ขุ่นเคืองและไม่ใช่คนที่เขาจะเพิกเฉยได้นั่นเอง เมื่อได้ยินเช่นนั้นฟูมะฮายาคุจิจึงรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งแต่ในใจของเขาก็คิดอย่างโกรธเคืองว่า “หืม..ไอ้เด็กเวร!..ไม่ช้าก็เร็วฉันจะให้แกคุกเข่าต่อหน้าฉัน..แล้วฉันจะดูว่าแกจะกล้าหยิ่งผยองเหมือนวันนี้ได้ไหม!”
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศกำลังตึงเครียดซ่งหลันก็กลัวว่าการกระทำที่มากเกินไปของเย่เชียนจะทำให้ฟูมะฮายาคุจิหมดความอดทน ดังนั้นซ่งหลันจึงรีบขัดจังหวะว่า “อย่าไปสนใจเลยค่ะผู้อาวุโสฟูมะ..เย่เชียนเขาก็เป็นคนแบบนี้..จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเลย”
“คุณเย่อายุยังน้อยเพราะงั้นความหยิ่งผยองในศักดิ์ศรีจึงเป็นเรื่องปกติ..คุณซ่งไม่จำเป็นต้องกังวลไปเพราะคุณกับผมก็แค่แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน..คุณซ่งไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ฟูมะฮายาคุจิพูดเบาๆ
.
.
.
.
.
.
.