ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 705 ยึดอำนาจ ตอนที่ 3
ตอนที่ 705 ยึดอำนาจ ตอนที่ 3
ฮัตโตริชิฮิโระก็ดึงฝักดาบออกแล้วค่อยๆใช้มือทั้งสองข้างยกดาบขึ้นเหนือศีรษะอย่างสง่าผ่าเผย ซึ่งผู้กล้าและผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่องมักจะไม่เกรงกลัวผู้ใดและถ้าหากใครสูญเสียสมาธิและความตั้งใจในการต่อสู้ล่ะก็คนๆนั้นจะต้องพ่ายแพ้ไปอย่างสมบูรณ์แบบ
“ผมได้ยินมานานแล้วว่าตระกูลฮัตโตรินั้นมีทักษะการใช้ดาบเป็นอันดับหนึ่งและมีศักยภาพในการกวาดล้างทหารหลายพันนายในอดีต..ช่างเป็นเกียรติสำหรับฟูมะฮายาคุจิคนนี้จริงๆ” ฟูมะฮายาคุจิพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
“หือ..เท่าที่ผมรู้ว่าผู้อาวุโสฟูมะมีกลยุทธ์ในการต่อสู้มากมายเพราะงั้นผมหวังว่าคุณจะแสดงอะไรที่น่าตื่นเต้นให้ผมดูสักครั้ง” ฮัตโตริชิฮิโระพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“เอาเถอะ..ผมจะไม่ฆ่าคุณเพราะผมอยากให้คุณมีชีวิตอยู่เพื่อรอดูตระกูลฮัตโตริของคุณถูกทำลายและคนที่คุณรักถูกฆ่าตายทั้งหมด..จากนั้นผมจะให้คุณตายหลังจากที่คุณได้ลิ้มรสความเจ็บปวดทั้งหมดในโลกนี้” ฟูมะฮายาคุจิพูดด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันและเขาก็รีบวิ่งเข้าไปทันทีพร้อมกับวิชาดาบทที่บ้าคลั่งเหมือนพายุ
ฮัตโตริชิฮิโระไม่ยอมถอยแต่เลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยศิลปะป้องกันตัวที่เน้นการรุกสวนทางแทนที่จะเป็นการป้องกัน ดังนั้น หากใครพลาดแม้แต่เล็กน้อยมันก็อาจจะส่งผลเสียอย่างมากต่อการต่อสู้รวมไปถึงชีวิต ดังนั้นฮัตโตริชิฮิโระจึงไม่เต็มใจที่จะถูกฟูมะฮายาคุจิกำจัด
เย่เชียนเห็นสถานการณ์นี้และอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งด้วยความไม่พอใจ “แม่งเอ๊ย!..มัวเล่นอะไรกันอยู่..ฉันต้องการเห็นการต่อสู้ที่เข้มข้นของเหล่านินจาแท้ๆ” เย่เชียนจ้องมองไปที่คาเอดะแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์
คาเอดะก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “หืม..ราชาหมาป่าผู้เกรียงไกรช่างพูดจาหยาบคายจริงๆ..นี่คือตัวตนที่แท้จริงของแกงั้นเหรอ..ซ่งหลันคุณไม่คู่ควรกับเข้าเลย..มีคนที่เหมาะสมกับคุณมากกว่าเขาเยอะที่เป็นทั้งอันดับหนึ่งในด้านศิลปะการต่อสู้และยังมีความเป็นสุภาพบุรุษ”
“หือ?..ใครคือสุภาพบุรุษคนนั้น?” ซ่งหลันพูดอย่างเฉยเมย
“โถ่..เขาก็ต้องพูดถึงตัวเองอยู่แล้ว” เย่เชียนพูด “ผมเคยเห็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอายมามากแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นคนที่หลงตัวเองอย่างเขา..ผมเป็นแค่อันธพาลที่ทำตัวหยาบๆเสมอแต่พี่หลันก็แค่ชอบผม..เพราะงั้นคุณกล้ามั่นใจในตัวเองขนาดนั้นได้ยังไง?”
“หืม..เมื่อไหร่ที่ฉันเอาชนะแกได้ฉันล่ะอยากจะเห็นจริงๆว่าแกจะหยิ่งผยองได้สักแค่ไหน” คาเอดะพูดอย่างเย้ยหยัน
“น่ากลัวมาก..ช่างน่ากลัวจริงๆ!” เย่เชียนก็ขมวดคิ้วและหลังจากนั้นออร่าที่ชั่วร้ายก็โหมกระหน่ำในร่างกายของเย่เชียนและมันก็วนเวียนไปมาภายในอย่างบ้าคลั่ง
คาเอดะก็ถึงกับผงะและเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนจะยังสามารถทนได้ อย่างไรก็ตามคาเอดะก็ไม่ได้อ่อนแอเพราะเขาเป็นถึงผู้นำคนรุ่นเยาว์นี้ในสำนักนินจาอิงะดังนั้นมันจึงมันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาแห่งความตกใจชั่วขณะเท่านั้น
การโจมตีของเย่เชียนนั้นรุนแรงอย่างมากและเนื่องจากเขามีความได้เปรียบจึงทำให้คาเอดะไม่มีโอกาสแม้แต่จะโต้กลับเลย ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เย่เชียนยังสามารถมองเห็นช่องโหว่ในการเคลื่อนไหวของคาเอดะดังนั้นการต่อสู้ในตอนนี้จึงไหลลื่นราวกับปลาในบ่อน้ำ
การต่อสู้ระหว่างฟูมะฮายาคุจิกับฮัตโตริชิฮิโระก็ถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และเย่เชียนก็ไม่อยากพลาดโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ไปเพราะถ้าหากเขาสามารถชมการต่อสู้ระหว่างหูมะฮายาคุจิกับฮัตโตริชิฮิโระและได้เห็นจุดอ่อนของพวกเขาจากการต่อสู้ครั้งนี้ล่ะก็มันจะเป็นประโยชน์กับเขาอย่างมาก นอกจากนี้ทั้งสองคนยังเป็นถึงผู้นำของสองตระกูลใหญ่ดังนั้นการได้เรียนรู้ทักษะศิลปะการต่อสู้ของพวกเขานั้นก็เทียบเท่ากับการเรียนรู้ทักษะศิลปะการต่อสู้ของสาวกทุกคนในสำนักนินจาอิงะ ซึ่งหากในกรณีที่องค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าเผชิญหน้ากับเหล่านินจาในอนาคตพวกเขาก็จะสามารถรู้จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้และมันจะเป็นประโยชน์อย่างมาก
ความไม่สบอารมณ์ของเย่เชียนก็ถูกส่งผ่านไปยังหมัดของเขาราวกับคลื่นลูกใหญ่จนคาเอดะก็ค่อยๆรู้สึกกดดันและยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่คาเอดะเคลื่อนไหวแต่ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะคาดเดาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของคาเอดะได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเย่เชียนนั้นสามารถหาช่องโหว่ได้อย่างรวดเร็วในทุกย่างก้าวของคาเอดะจนคาเอดะถึงกับประหลาดใจเพราะถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปคาเอดะก็จะไม่สามารถตอบโต้ได้เลย ดังนั้นคาเอดะจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าและไม่สบายใจอย่างมาก
เย่เชียนก็แสยะยิ้มและพูดอย่างเย้ยหยันว่า “เกิดอะไรขึ้น?..นายน้อยคาเอดะผู้สง่าผ่าเผยดูเหมือนคุณจะกลัวนะ..เราหยุดก่อนก่อนชั่วคราวเพื่อให้คุณได้พักหายใจก่อนดีมั้ย?..เดี๋ยวจะหาว่าผมขี้โกงอีก”
“ไม่จำเป็น!” คาเอดะพูด “กลัวงั้นเหรอ..ฉันเป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลฟูมะซึ่งจะเป็นผู้นำคนต่อไปของสำนักนินจาอิงะในอนาคต..ฉันจะไปกลัวนักเลงกระจอกๆอย่างแกงั้นเหรอ!”
“ไม่กลัวเหรอ?” เย่เชียนก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณไม่กลัวแล้วทำไมคุณถึงตัวสั่นล่ะ..อย่าบอกนะว่าคุณเป็นโรคพาร์กินสัน..ผมไม่เชื่อหรอก”
“ฉันก็แค่ตื่นเต้นที่วันนี้ฉันจะได้ฆ่าแก” คาเอดะพูด อันที่จริงนี่เป็นเพียงการหลอกลวงตัวเองเพราะคาเอดะก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขากลัวจริงๆเพราะเขาไม่รู้ว่าทำไมอ่อร่าความชั่วร้ายบางอย่างที่เปล่งออกมาจากร่างกายของเย่เชียนดูเหมือนจะมีพลังแปลกๆจนทำให้เกิดความหนาวเย็นจากก้นบึ้งของหัวใจจนเขารู้สึกประหม่าและไม่เป็นตัวของตัวเอง
เมื่อเห็นสถานการณ์ของคาเอดะแล้วฟูมะฮายาคุจิก็ตะโกนด้วยความโกรธและสาปแช่งว่า “นี่เอ็งมัวทำอะไรอยู่..เอ็งต้องการให้ฉันเตือนสติกี่ครั้ง..แบบนี้เอ็งจะทำอะไรในอนาคตได้?”
“ฟูมะฮายาคุจิระวังตัวดีๆหน่อย..ในขณะที่สู้กับผมแต่คุณยังมัวไปคุยกับคนอื่นอยู่อีกเหรอ” ฮัตโตริชิฮิโระพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก เมื่อคำพูดนั้นจบลงความไม่พอใจของฮัตโตริชิฮิโระก็รุนแรงขึ้นและเขาก็ใช้ดาบฟันเข้าไปที่ฟูมะฮายาคุจิตรงๆจนเกิดบาดแผลลึกบนร่างกายของฟูมะฮายาคุจิแต่โชคดีที่ฟูมะฮายาคุจิหลบได้ทันไม่เช่นนั้นเขาคงจะตายภายใต้การฟันครั้งนี้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าฟูมะฮายาคุจิก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถให้ความสนใจต่อสถานการณ์ของคาเอดะเช่นนี้ต่อไปได้ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกฮัตโตริชิฮิโระฆ่าในไม่ช้าก็เร็ว เพราะในการดวลระหว่างปรมาจารย์นั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการทำให้เสียสมาธิและต้องจดจ่ออยู่กับการต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ข้างหน้าคุณ ยิ่งไปกว่านั้นทักษะของฟูมะฮายาคุจินั้นก็ด้อยกว่าฮัตโตริชิฮิโระในระดับหนึ่งดังนั้นหากฟูมะฮายาคุจิมีความฟุ้งซ่านเมื่อไหร่ฮัตโตริชิฮิโระก็จะมีความได้เปรียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เนื่องจากฮัตโตริชิฮิโระคว้าโอกาสนี้ไว้เขาจึงไม่ยอมพลาดไปอย่างง่ายดายดังนั้นเพราะตราบใดที่เขากำจัดฟูมะฮายาคุจิได้ล่ะก็เหล่าสมาชิกตระกูลฟูมะที่เหลืออยู่ก็จะไม่เป็นปัญหาใดๆและหลังจากนั้นฮัตโตริชิฮิโระก็จะกวาดล้างตระกูลฟูมะได้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตามต้องบอกว่าฟูมะฮายาคุจินั้นไม่ใช่คนโง่และเขาก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะและเชี่ยวชาญในวิชาดาบในระดับปรมาจารย์เช่นกันและถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชี่ยวชาญเท่าฮัตโตริชิฮิโระก็ตามแต่ทักษะดาบของเขานั้นค่อนข้างคาดเดายากอยู่ดี
ที่ด้านข้างนั้นนากาซาวะเคโกะก็เห็นการต่อสู้ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ระหว่างฟูมะฮายาคุจิกับฮัตโตริชิฮิโระ จากนั้นเธอก็มองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือและพบว่ามันใกล้จะถึงเวลาที่ดันโซบายาชิจะมาถึงแล้วเธอจึงมีการแสดงออกที่ดูตื่นเต้นเกินคำบรรยาย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อฟูมะฮายาคุจิกับฮัตโตริชิฮิโระนั้นอ่อนแรงลงทั้งคู่พวกเขาก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้กำจัดทั้งสองไปคราวเดียวกันได้อย่างง่ายดาย ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
วิญญาณชั่วร้ายในร่างกายของเย่เชียนก็พุ่งออกมาอย่างไม่รู้จบและการบุกโจมตีของเขานั้นก็รุนแรงยิ่งขึ้น แน่นอนว่าความกดดันของคาเอดะก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เมื่อเผชิญกับสิ่งนี้คาเอดะก็รู้สึกสับสนอย่างมากและการเคลื่อนไหวของเขาเริ่มยุ่งเหยิงเพราะประสบการณ์การต่อสู้ของคาเอดะนั้นอยู่ห่างจากเย่เชียนคนละโลก ดังนั้นในแง่ของคุณภาพจิตใจและความตั้งใจในการต่อสู้ของเขาจึงไม่สามารถเทียบกับเย่เชียนได้เลย
เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วเย่เชียนจึงก้าวเข้าไปใกล้ๆคาเอดะและต่อยคาเอดะด้วยหมัดปาจี๋กระทบไปที่หน้าอกของคาเอดะโดยตรง ทันใดนั้นเมื่อคาเอดะถูกกระแทกเขาก็กระเด็นออกไปเหมือนว่าวที่หักกลางอากาศ ซึ่งเมื่อหมัดของเย่เชียนกระทบเข้ากับหน้าอกของคาเอดะนั้นพลังที่ชั่วหลายก็ถาโถมไปที่หัวใจของคาเอดะอย่างรุนแรงจนคาเอดะก็รู้สึกหายใจไม่ออกและกระอักเลือดออกมาเต็มปากและหมดสติไปในทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้นนากาซาวะก็วิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วและกอดร่างของคาเอดะเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงและตะโกนว่า “คุณคาเอดะ..คุณเป็นอะไรมากมั้ย?” ซึ่งมันมีแววตาที่พึงพอใจผสมอยู่เพราะเธอไม่ได้สนใจชีวิตหรือความตายของคาเอดะและมันจะดีกว่ามากถ้าคาเอดะตาย เพียงแค่เธอจะต้องแสดงละครให้สมจริงและเธอก็ไม่ได้กลัวเย่เชียนเพราะไม่ว่าทักษะการต่อสู้ของเย่เชียนจะดีแค่ไหนก็ตามแต่เมื่อดันโซบายาชิมาถึงเย่เชียนก็ต้องตายอยู่ดี
เย่เชียนก็เพิกเฉยต่อคาเอดะหันกลับไปอย่างสบายๆเพื่อมองการต่อสู้ของฟูมะฮายาคุจิกับฮัตโตริชิฮิโระ ซึ่งการต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสองในเวลานี้เริ่มร้อนระอุและการโจมตีก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนไม่มีที่ว่างให้ฝ่ายใดหลบหลีกเลยและเย่เชียนก็เชื่อว่าในเวลานี้หากใครชะลอการโจมตีหรือพลาดเพียงเล็กน้อยคนๆนั้นก็อาจจะตายได้ทุกเมื่อ
ฟูมะฮายาคุจิก็สังเกตเห็นว่าหลานชายของเขาถูกเย่เชียนกำจัดไปจนนอนกองอยู่กับพื้นและหมดสติไปเช่นนั้นเขาจึงรู้สึกกังวลเป็นธรรมดา “คาเอดะ!..เอ็งมัวทำอะไรอยู่..ฆ่าเย่เชียนซะสิ” ฟูมะฮายาคุจิรู้สึกประหม่าอย่างมากควบคู่ไปกับการถูกฮัตโตริชิฮิโระโจมตีอย่างรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาเห็นว่าคาเอดะหมดสติไปดังนั้นเขาจึงประหม่าและกระวนกระวายอย่างมาก
.
.
.
.
.
.
.