ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 745 เปลวไฟแห่งการล้างแค้น
ตอนที่ 745 เปลวไฟแห่งการล้างแค้น
ไม่ว่าหลินเฟิงจะรู้สึกหมดหนทางเพียงใดเขาก็ทำได้เพียงแค่อดทนในตอนนี้ อย่างที่เย่เชียนพูดถึงแม้ว่าประเทศจีนจะกว้างใหญ่แต่ด้วยความสามารถในการรวบรวมข่าวกรองขององค์กรเซเว่นคิลและองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าการค้นหาตัวของหลินฟานนั้นก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ใช่ไหม? เมื่อคิดเช่นนั้นสิ่งที่หลินเฟิงทำได้ก็คือสงบสติอารมณ์และค่อยๆถามเกี่ยวกับข้อมูลของหลินฟาน
แต่ในเมื่อมาที่นี่แล้วเย่เชียนก็จะไปที่หลุมฝังศพของอาจารย์ของเขาเพื่อกราบไหว้เพราะท้ายที่สุดหลินจินไท่นั้นก็เป็นผู้มีพระคุณกับเขาและเป็นคนที่มอบชีวิตใหม่ให้เขาและเปลี่ยนชีวิตของเขา
ภายใต้การนำทางของหูจื้อเย่เชียนกับหลินเฟิงก็ได้มาถึงยอดเขาซึ่งมีสุสานอยู่เพียงลำพังและดูอ้างว้างและเคว้งคว้างอย่างมาก หลุมศพนี้ทำมาจากไม้สลักวันเดือนปีเกิดและวันตายของหลินจินไท่และมีคราบเลือดติดอยู่เล็กน้อยและน่าจะเป็นเลือดของหลินฟานที่มาจากการขนโลงศพขึ้นมาอย่างยากลำบาก
หลังจากแสดงความเคารพต่ออาจารย์ของเขาแล้วเย่เชียนกับหลินเฟิงก็ออกจากหมู่บ้านเล็กๆในเช้าวันรุ่งขึ้นและเมื่อพวกเขามาถึงตัวเมืองเย่เชียนกับหลินเฟิงก็แยกกัน ซึ่งหลินเฟิงนั้นกระตือรือร้นที่จะค้นหาข่าวเกี่ยวกับหลินฟานเพราะเขาไม่อยากที่จะพลาดข่าวของหลินฟานเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นหลินเฟิงที่ดูกระตือรือร้นและกังวลเรื่องหลินฟานเช่นนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงอันซือและเย่เหวินเพราะสองคนนี้บอกว่าพวกเธอเป็นแม่และน้องสาวของเขา
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับความถูกต้องในตัวตนของพวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดที่ไป๋ฮวยพูดในตอนนั้นและนั่นยิ่งทำให้ความสงสัยของเย่เชียนมีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมและในตอนนี้เย่เชียนยังตระหนักถึงพวกเธอโดยไม่มีเหตุผล แต่ทว่าจนตอนนี้มันก็ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าพวกเธอไม่ใช่แม่และน้องสาวของเย่เชียนเลย ดังนั้นเย่เชียนจึงยังคงหวังว่าเขาจะสามารถรับรู้ความรู้สึกที่อบอุ่นแบบครอบครัวเหมือนกับครอบครัวอื่นๆบ้าง
หลังจากนั้นเย่เชียนก็เดินทางไปที่มณฑลเหอหนานในไม่กี่วันต่อมาและเย่เชียนก็ไม่หยุดพักแต่อย่างใดและรีบตรงไปที่บ้านทันทีที่เขาลงจากเครื่องบิน ซึ่งบ้านหลังนี้เย่เชียนซื้อเอาไว้ให้อันซือกับเย่เหวินเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกเธอ ระหว่างทาง หัวใจของเย่เชียนก็กระวนกระวายอย่างมากเพราะเขาต้องการพบพวกเธอจริงๆแต่ก็กลัวที่จะพบหน้าพวกเธอ
ถ้าไม่ใช่ครอบครัวของเย่เชียนจริงๆมันก็ไม่เป็นอะไรแต่ถ้าหากอยู่ด้วยกันไปนานๆมันก็ย่อมทำใจลำบากเสมอเพราะเมื่อถึงเวลาที่พบและรู้ความจริงว่าพวกเธอไม่ใช่ครอบครัวของตนจริงๆล่ะก็เย่เชียนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับพวกเธอ ซึ่งบางสิ่งบางอย่างนั้นเราต้องเผชิญหน้ากับความจริงให้ได้
หากพวกเธอไม่ใช่ครอบครัวของเย่เชียนจริงๆล่ะก็แน่นอนว่ามันต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่ในการเข้าหาเย่เชียน ดังนั้นเย่เชียนต้องค้นหาข้อมูลและความจริงที่ซ่อนอยู่ให้ได้ อีกอย่างในตอนนี้ขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณของเย่เชียนก็ได้ทะลวงมาถึงระดับสูงแล้ว ด้วยเหตุนี้เย่เชียนควรจะสามารถตอบสนองความต้องการของอันซือที่จะล้างแค้นได้แล้วและมันก็ถึงเวลาที่เธอควรบอกทุกอย่างกับเย่เชียนและพาเขาไปที่บ้านของตระกูลเย่ได้แล้วใช่ไหม? เมื่อถึงเวลานั้นทุกๆอย่างก็จะชัดเจนอย่างสมบูรณ์แบบ
ที่หน้าประตูบ้านเย่เชียนก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจเข้าไปได้และยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน เมื่อมองดูแสงไฟที่สว่างในบ้านแล้วหัวใจของก็ประหม่าอย่างมาก ดังนั้นเย่เชียนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างช้าๆและเมื่อเคาะประตูทันใดนั้นเสียงของเย่เหวินก็ดังขึ้นมาจากด้านใน “ใครคะ!”
ด้วย “เสียงดังเอี๊ยด” ประตูก็ถูกเปิดออกและใบหน้าของเย่เหวินก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเย่เชียนและการแสดงออกของเธอก็ดูตกตะลึงเล็กร้อยจากนั้นรอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นแล้วเธอก็พูดว่า “พี่ชาย..พี่กลับมาแล้วหรอ?”
“อืม..ใช่!” เย่เชียนพยักหน้าเบาๆและเดินเข้าไป หลังจากปิดประตูเย่เหวินก็พูดว่า “พี่ชาย..ทำไมพี่ถึงไม่ติดต่อกลับมาเลยตั้งหนึ่งปีกว่า?”
เย่เชียนก็หยุดไปชั่วขณะแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
เย่เหวินก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันไม่รู้..แต่แม่เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องมาสองสามวันและไม่ยอมออกมาเลย..ฉันไม่รู้ว่าแม่เป็นอะไรฉันคิดว่ามันต้องมีบางอย่างผิดปกติไป..มันน่าจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะงั้นพี่ชายควรจะไปดูแม่สักหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็เดินไปที่ห้องนอนของอันซือและเย่เหวินก็เดินตามไปอย่างใกล้ชิด
ที่ประตูห้องนอนของอันซือนั้นเย่เหวินก็เคาะประตูแล้วพูดว่า “แม่คะ!..พี่ชายกลับมาแล้ว”
ข้างในห้องมีเสียงเก้าอี้และโต๊ะขยับจากนั้นประตูก็เปิดออก เมื่อเห็นเย่เชียนการแสดงออกของอันซือก็ดูตื่นเต้นเล็กน้อยแต่แล้วใบหน้าของเธอก็มืดมนลงในทันทีและความโกรธก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก “เพลี๊ยะ!” อันซือตบหน้าของเย่เชียนอย่างรุนแรง
หลังจากนั้นเย่เชียนก็หันกลับมาและความโกรธก็ปะทุขึ้นเพราะแม้แต่ชายชราผู้เป็นพ่อบุญธรรมของเขานั้นก็ไม่เคยตบหน้าเขา ซึ่งนี่อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นสิ่งที่เย่เชียนไม่ยอมรับอย่างยิ่งเพราะสิ่งที่เย่เชียนเกลียดที่สุดก็คือการถูกใครบางคนตบหน้าและในตอนนี้อันซือก็ทำเช่นนั้น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆเย่เชียนก็พยายามระงับความโกรธเอาไว้ในใจเพราะถึงยังไงอันซือก็เป็นแม่ของเขาและถึงแม้ว่าเขาจะไม่ทราบความจริงของเรื่องนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเธอเป็นแม่ของเขาจริงๆมันก็คงจะยากที่เธอจะโกรธจนลงมือทำถึงขนาดนี้
“แกยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ..แกหายไปไหนมาตั้งปีกว่า..แกรู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงแกมากแค่ไหน?..ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแกแล้วพวกเราล่ะจะทำยังไง?” อันซือตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยวและเมื่อได้ยินคำพูดของอันซือหัวใจของเย่เชียนก็เปราะบางโดยไม่มีเหตุผลและถึงแม้ว่าคำพูดของอันซือจะรุนแรงไปสักหน่อยแต่นั่นก็หมายความว่าเธอใส่ใจและเป็นห่วงตัวเองอย่างมาก เขาจะเชื่อความรู้สึกนี้ได้จริงๆไหม? อย่างไรก็ตามประโยคสุดท้ายนั้นทำให้เย่เชียนรู้สึกชาไปทั้งตัวเพราะเป็นไปได้ไหมที่เธอตระหนักเพียงแค่การหาคนมาล้างแค้นให้ตัวเองเท่านั้น?
“แม่..ถึงยังไงพี่เขาก็กลับมาแล้วเพราะงั้นอย่าไปโกรธเขาเลย” เย่เหวินเกลี้ยกล่อม
“ผมขอโทษ” เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ผมได้ยินเสี่ยวเหวินบอกว่าแม่ขังตัวเองอยู่ในห้องมาสองสามวันแล้ว..มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรอมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?..เราเป็นครอบครัวเดียวกันเพราะงั้นเรามาช่วยกันแก้ปัญหาเถอะ..มันมีอะไรเกิดขึ้นในตระกูลเย่หรือเปล่า?”
“อืม!” อันซือพยักหน้าเบาๆแล้วพูดว่า “ตามฉันมาสิ” หลังจากนั้นเธอก็หันหลังเดินเข้าไปในห้องและนั่งลงข้างเตียงของเธอ ส่วนเย่เชียนกับเย่เหวินก็หยิบเก้าอี้มาแล้วนั่งลง
อันซือมองเย่เชียนขึ้นๆลงๆและพูดว่า “เรื่องขอบเขตศิลปะการต่อสู้ลูกฝึกฝนจนอยู่ในขอบเขตไหนแล้วรู้ไหม?..ตอนนี้แม่ไม่มีอะไรเหลือแล้วและความหวังเดียวก็คือลูกที่จะสามารถล้างแค้นให้พ่อของลูกได้และทวงสิ่งที่ควรจะเป็นของเรากลับคืนมา”
“ตามขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณที่แม่บอกผมก่อนหน้านี้ผมคิดว่ามันน่าจะอยู่ในขอบเขตขั้นสูงระดับสามแล้วในตอนนี้” เย่เชียนพูด
“ขอบเขตขั้นสูงระดับสาม?” อันซือก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าการฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณของเย่เชียนนั้นพัฒนาได้รวดเร็วมากก็ตามแต่มันก็ไม่ควรที่จะเร็วถึงขนาดนี้ เพราะในสมัยก่อนที่เย่เจิ้งหรานฝึกฝนนั้นถึงแม้ว่าจะเร็วจะเร็วมาก แต่ก็ไม่ได้ไวเหมือนกับของเย่เชียน ในความเป็นจริงแล้วอันซือนั้นไม่รู้เลยว่าเย่เชียนนั้นมีความสามารถพิเศษเช่นนี้เพราะถ้าไม่ใช่เพราะพระนิรนามที่วัดหลิงหลงจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนที่ผนึกบางอย่างเอาไว้ในตัวของเย่เชียนแล้วเย่เชียนคงจะไม่สามารถฝึกฝนและทะลวงขอบเขตได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ ซึ่งนี่เป็นเพราะพลังอันชั่วร้ายในร่างกายของเขาต่อสู้กับผนึกและทำให้ขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณของเย่เชียนก้าวข้ามอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆแล้วพูดว่าเย่เชียน “ครับ..ผมเพิ่งจะบรรลุมันได้เมื่อสองสามวันก่อนและตอนนี้ผมก็อยู่ในขอบเขตของศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงระดับสามแล้วและบางอย่างในตัวผมก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก..ต่อให้ผมจะอยู่ในขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณขั้นสูงระดับสามแล้วก็ตามแต่ผมก็จะไม่ประมาทเป็นอันขาด”
รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของอันซือแล้วเธอก็พูดว่า “เอาล่ะ..ลูกคู่ควรกับการเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานจริงๆ..ลูกเป็นคนแรกที่สามารถทะลวงขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณให้อยู่ในระดับสูงขั้นสามได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปี” หลังจากหยุดชั่วไปชั่วขณะอันซือก็พูดต่อ “ลูกกลับมาในเวลาที่เหมาะสมมากเพราะถ้าลูกพลาดโอกาสนี้ไปแม่เองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะมีโอกาสแบบนี้อีก..เพราะตอนนี้ลูกอยู่ในขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณขั้นสูงระดับสามดังนั้นมันก็ถึงเวลาแล้ว”
“มันคืออะไร?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจ
“ช่วงนี้มันใกล้จะถึงวันเกิดของผู้นำตระกูลเย่และเป็นวันรวมญาติของตระกูลเย่เพราะงั้นเหล่าลูกหลานของตระกูลเย่ทุกคนจะกลับมาฉลองและพบปะกันในทุกๆปี..เมื่อตระกูลเย่รวมตัวกันมันก็จะมีการแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดตระกูลเย่ในอนาคตอีกด้วย” อันซือพูดต่อ “เราจะใช้ประโยชน์จากเวลานี้เพื่อกลับไป..แม่อยากให้ลูกลงแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งและฆ่าทายาทของตระกูลเย่ทั้งหมด..หืม..เย่ เจียอู๋..ฉันไม่เชื่อหรอกว่าชายชราอย่างแกจะได้ครอบครองตระกูลแต่ตลอดไป”
เย่เชียนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะผมคิดว่าตระกูลเย่คงจะลืมตัวตนและการมีอยู่ของผมไปแล้ว..ผมเกรงว่าเราจะไม่สามารถแม้แต่จะเข้าไปในบ้านของตระกูลเย่ได้เลย..นอกจากนี้ตามที่แม่พูดก่อนหน้านี้ถ้าหากเราเข้าไปเราจะไม่เหมือนเดินเข้าไปในถ้ำเสืออย่างไม่คิดชีวิตหรอ?”
อันซือก็หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “วันเกิดของชายชราคนนี้ย่อมดึงดูดความสนใจจากตระกูลใหญ่ๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และจะมีผู้คนมากมายมาร่วมงานเพราะงั้นมันไม่มีทางที่คนของตระกูลเย่จะฆ่าพวกเราอย่างโจ่งแจ้งได้..นอกจากนี้ถึงแม้ว่าเราจะห่างหายไปจากตระกูลเย่ก็ตามแต่แม่ก็เชื่อว่าพวกนั้นจะจำเราได้..และเมื่อเจอไอสารเลวที่แย่งทุกอย่างไปจากพ่อของลูกล่ะก็ลูกจะต้องไม่ปรานี..หลังจากที่ลูกทวงสิ่งที่ควรเป็นของเรากลับคืนมาได้แล้วถึงแม้ว่าพวกมันต้องการจะกำจัดพวกเราแต่มันจะไม่ง่ายอีกต่อไป”
“ถ้าหากเราทำแบบนั้นในการแข่งขันเพื่อค้นหาผู้สืบทอดตระกูลเย่และในกรณีที่เราชนะเราจะออกจากที่นั่นแบบปลอดภัยได้หรอ?” เย่เชียนพูด
อันซือก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ลูกกลัวตายงั้นเหรอ?..ลูกไม่สมกับเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานเลยแม้แต่น้อย..ฉันรอคอยโอกาสนี้มาหลายปีแล้วเพื่อวันนี้..ถ้าแกกลัวตายก็อย่ามาเรียกฉันว่าแม่อีก!”
.