ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 749 ผู้หญิงวัยกลางคน
ตอนที่ 749 ผู้หญิงวัยกลางคน
เย่เชียนนั้นให้ความสนใจอย่างมากกับร่างด้านหลังที่เดินผ่านไปจากหางตาของเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ที่เขาอาศัยอยู่โดยมีกำแพงใดๆกั้นเอาไว้ เย่เชียนเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นแขกที่มาร่วมงานหรือว่าคนในตระกูลเย่กันแน่ ก็ตามเย่เชียนก็ไม่สามารถคิดเรื่องนี้ได้ในตอนนี้เพราะท้ายที่สุดเขาก็ต้องคลายความสงสัยในใจและดูว่าอีกฝ่ายเป็นใครที่สามารถทำให้เขารู้สึกอย่างนั้นได้
คฤหาสน์ของตระกูลเย่ล้วนเป็นอาคารคล้ายศาลาและด้านนอกเป็นกำแพงสูงและด้านในก็ถูกแบ่งออกเป็นสี่ลานในทิศใต้ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศเหนือ แต่ละทิศมีบ้านเล็กๆหลายหลังและสนามหลังบ้านที่เย่เชียนอาศัยอยู่ขึ้นอยู่ก็อยู่ที่ทิศใต้ เดิมทีที่แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของเย่เจิ้งหรานลูกชายคนที่สองของตระกูลเย่และบางทีมันอาจจะถูกลิขิตไว้หรือเป็นเพราะเหตุบังเอิญที่เย่เจิ้งหรานอยากให้พวกเขาอยู่ห่างไกลจากแขกคนอื่นๆ
เมื่อเย่เชียนเห็นโอกาสที่เหมาะสมเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงสายตาของลูกศิษย์ตระกูลเย่แล้วกระโดดข้ามรั้วไปอย่างง่ายดาย ซึ่งทันทีที่ออกมาเย่เชียนก็รู้สึกสบายใจด้วยความรู้สึกคุ้นเคยที่อธิบายไม่ได้เพราะรอบๆนั้นมีดอกไม้ที่สดใสเป็นพิเศษซึ่งเบ่งบานราวกับดอกไม้หลายร้อยดอกในฤดูใบไม้ผลิและข้างหน้าก็มีบ่อน้ำและน้ำที่ไหลเชี่ยว ซึ่งน้ำในบ่อน้ำมันใสจนสามารถเห็นปลาคาร์ปแดงว่ายอยู่อย่างชัดเจนและเห็นก้อนกรวดอยู่ที่ก้นบ่อน้ำ
บ่อน้ำนั้นไม่ใหญ่มากนักเพราะมันมีความกว้างและยาวเพียงแปดเมตรเท่านั้นและมีศาลาอยู่ตรงกลางโดยมีสะพานหินโค้งเชื่อมกับด้านนอกเป็นทางเข้า ศาลานี้เป็นอาคารโบราณทั่วไปที่มีอิฐสีแดงและกระเบื้องสีเขียวและมีรูปทรงแปดเหลี่ยม มีโต๊ะหินและม้านั่งหินสองสามตัวในศาลาและมีกู่เจิงอยู่บนโต๊ะหิน แต่ ณ เวลานี้มันอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆไม่มีใครกำลังเล่นหรือร้องเพลงจนดูเงียบเหงาและรกร้างอย่างมาก
“คุณหญิงรองคะ..วันนี้ฉันได้ยินคนพูดว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งอ้างว่าตนเป็นลูกชายของคุณชายรองและดูเหมือนว่าเขาจะมาร่วมแสดงความยินดีในงานครบรอบวันเกิดของผู้อาวุโสด้วยค่ะ” เมื่อเย่เชียนกำลังจะก้าวเข้าไปในศาลาจู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยและอดไม่ได้ที่จะหยุดและหลับซ่อนอยู่ในเงามืด ซึ่งเขามีความสงสัยอย่างมากและเขาคิดกับตัวเองว่า ‘คุณหญิงรอง?..อาจเป็นภรรยาของเย่เจิ้งเซียงหรือเปล่า?”
เย่เชียนที่ซ่อนตัวอยู่เขาก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบเดินเข้ามาอย่างช้าๆและมีหญิงสาวเดินตามหลังเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะอายุสี่สิบต้นๆแต่เธอก็ยังดูอ่อนเยาว์และสง่างาม ดูเผินๆดูเหมือนเธอจะเป็นคนมีการศึกษาดีมีวิชาการและเรียบร้อยอย่างมาก ซึ่งเย่เชียนก็แปลกใจเล็กน้อยเพราะร่างนี้น่าจะเป็นคนที่เขาเห็นในตอนกลางวันแต่เย่เชียนก็ไม่รู้จักเธอ? เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่ว่าเย่เชียนจะนึกคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเขาเคยเห็นเธอที่ไหน มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้เลยเพราะเย่เชียนรู้สึกแปลกๆและเป็นความรู้สึกที่เขาอดไม่ได้ที่จะเข้าไปใกล้ๆเธอ
เย่เชียนำก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะถ้าหากไม่ใช่ความรู้สึกส่วนลึกของเขาจริงๆล่ะก็แสดงว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่แข็งแกร่งอย่างมากจนผู้คนอดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้เธอ
“จริงเหรอ?..เขาไปไหนแล้วล่ะ?” เมื่อได้ยินคำพูดของสาวใช้หญิงวัยกลางคนก็ตกตะลึงเล็กน้อยแล้วหันมาถาม
“ฉันได้ยินมาว่าพ่อบ้านจัดให้เขาพักในบ้านใกล้ๆโรงครัวซึ่งอยู่ติดกับเราแล้วเขาก็ส่งคนมาเฝ้าเอาไว้ด้วย” สาวใช้พูด “ฉันเดาว่าพ่อบ้านคงจะกลัวพวกเขามาสร้างปัญหาในงานอย่างแน่นอน..เพราะเขาคงไม่อนุญาตให้ใครเดินไปเดินมาเพราะมันคงจะไม่ดีถ้างานวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของผู้อาวุโสมีปัญหา”
“พวกงั้นเหรอ?” หญิงวัยกลางคนประหลาดใจครู่หนึ่งแล้วถามว่า “มีใครมากับเขาอีกงั้นเหรอ?”
“มีผู้หญิงอีกสองคนค่ะ..คนหนึ่งเป็นแม่ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นน้องสาว” สาวใช้พูดต่อ “ตอนที่ฉันไปช่วยจัดสถานที่ที่ห้องรับแขกในตอนกลางวันฉันก็ได้ยินเหล่าลูกศิษย์คุยกัน..ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะชื่ออันซือ”
สีหน้าของหญิงวัยกลางคนแน่นิ่งไปและเธอก็พึมพำว่า “อันซือ?” จากนั้นสีหน้าที่ดูตกตะลึงของหญิงวัยกลางคนก็หายไปอย่างเห็นได้ชัดและการแสดงออกที่ดูตื่นเต้นก็หายไปในทันที จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าเธอตายไปตั้งหลายปีแล้วต่อให้ไม่อยากเชื่อยังไงมันก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้..อันซือเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารและเธอก็เป็นคนรักของเจิ้งหรานด้วย..แต่ทว่าถ้าหากทั้งสองคนนั้นเป็นลูกของเธอกับเจิ้งหรานจริงๆล่ะก็อย่างน้อยๆพวกเขาทั้งสองก็น่าจะสืบทอดตราสัญลักษณ์ของเจิ้งหรานเอาไว้”
“คุณหญิงรองคะฉันคิดว่าคุณใจดีเกินไป..ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้นแล้วคุณชายรองคงจะไม่…” สาวใช้พูดแล้วหยุดไปอย่างกะทันหัน
“หยุดพูดเถอะ!” ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนมืดลงและเธอก็ตำหนิว่า “อย่าพูดถึงมันอีกเลย..เรื่องราวความรักอันลึกซึ้งและความเกลียดชังนั้นเธอจะเข้าใจก็ต่อเมื่อเธอมีคนที่เธอรัก”
เย่เชียนนั้นได้ยินประโยคสนทนานี้อย่างชัดเจนและเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าอันซือนั้นเกี่ยวข้องกับเย่เจิ้งหรานและตระกูลเย่จริง แต่เมื่อฟังจากสิ่งที่หญิงวัยกลางคนพูดตอนนี้มันไม่มีอะไรชี้ชัดว่าอันซือเป็นภรรยาของเย่เจิ้งหรานเลย
บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการบังคับแต่งงานโดยตระกูลและนั่นคือเหตุผลที่เย่เจิ้งหรานกับอันซือต้องแยกจากกัน? เย่เชียนคิดอย่างลับๆแล้วก็คิดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าถ้าหากเขาเป็นลูกชายของอันซือกับเย่เจิ้งหรานจริงๆล่ะก็มันจะไม่ถือว่าเขาเป็นลูกนอกกฎหมายหรอกหรือ? หากเป็นกรณีนี้ก็ไม่น่าแปลกใจที่อันซือจะเกลียดชังตระกูลเย่มาก
ถึงแม้ว่าจะเป็นน้ำเสียงดูโกรธเกรี้ยวแต่ก็ยังดูใจดีเมื่อคำเหล่านั้นถูกพูดออกมาจากปากของหญิงวัยกลางคนคนี้ อาจเป็นเพราะอารมณ์ของเธอที่ดูสงบเสงี่ยมอย่างมาก หลังจากหญิงวัยกลางคนพูดจบเธอก็เดินไปที่ศาลาต่อไปและขณะที่เธอเดินเธอก็ถามว่า “เสี่ยวฉุย..ขวัญวันเกิดที่ฉันเตรียมเอาไว้พร้อมหรือเปล่า?..พรุ่งนี้เป็นวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของท่านผู้อาวุโสเพราะงั้นถ้าหากเราไม่มีของขวัญแสดงความยินดีมันก็จะดูเสียมารยาทอย่างมาก”
“คุณหญิงรองไม่ต้องกังวลไปค่ะ..ฉันเตรียมของขวัญวันเกิดเอาไว้ให้แล้ว” สาวใช้พูด
“ดี” หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อยและเมื่อเธอเดินไปถึงโต๊ะหินหญิงวัยกลางคนนั่งลงอย่างช้าๆและขยับนิ้วเพื่อวางมือบนกู่เจิงเบาๆ ในทันใดนั้นเสียงเพลงอันไพเราะก็ลอยออกมาอย่างช้าๆชั่วขณะหนึ่งและมันก็เหมือนกับการต่อสู้ระหว่างสองกองทัพ ชั่วขณะหนึ่งก็เสียงเพลงก็อืดอาดและสง่างามแต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนกระแสน้ำไหลรินไม่ขาดสายและชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนฟ้าร้องเสียงดังไปทั่วท้องฟ้า
ถ้าจะให้บรรยายก็มีเพียงประโยคเดียวคือเธอเกิดมาเพื่อเพลงนี้เท่านั้น ซึ่งมันหายากมากที่จะได้ยินในสมัยนี้จนเย่เชียนรู้สึกตกตะลึงไปกับมันและแม้แต่เขาที่ไร้ความสามารถด้านดนตรีโดยสิ้นเชิงก็ยังสามารถรู้สึกได้ถึงความงดงามในเสียงดนตรีที่ดื่มด่ำ หัวใจทั้งหมดไปตามเสียง มีทั้งความโศกเศร้าและความสุขและเสียงหัวเราะไปพร้อมๆกัน
เย่เชียนก็ยังคงจมปลักอยู่กับเสียงดนตรีและไม่สามารถหลุดออกจากภวังค์ได้เป็นเวลานาน
“คุณหญิงรองคะการเล่นกู่เจิงของคุณดีขึ้นเรื่อยๆเลยนะคะ” สาวใช้ชื่นชมเธออย่างจริงใจ
หญิงวัยกลางคนก็ไม่ได้มีความสุขมากนักแต่สีหน้าที่ดูเศร้าหมองของเธอกลับยิ่งดูเศร้ามากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็ถอนหายใจอย่างช้าๆแล้วพูดว่า “ดนตรีก็เหมือนชีวิต..จริงๆแล้วสิ่งสำคัญก็คือเราต้องรวมความรู้สึกและอารมณ์ของเราเข้ากับดนตรีเพื่อให้เราสามารถเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้” หลังจากนั้นไม่นานหญิงวัยกลางคนก็หันไปมองสาวใช้แล้วพูดว่า “เสี่ยวฉุยพรุ่งนี้เธอไปจัดเตรียมของขวัญสำหรับอันซือให้ฉันที..เธอเป็นคนยากจนเพราะงั้นเราไม่สามารถละเลยเธอได้รู้มั้ย?..นอกจากนี้เธอยังคอยเลี้ยงดูเลือดเนื้อของเจิ้งหรานมาตั้งหลายปี..ถึงยังไงเธอก็ยังคงเป็นสมาชิกของตระกูลเย่ของเราเสมอ”
“คุณหญิงรองคะคุณใจดีเกินไปแล้ว..ถ้าคุณทำแบบนั้นฉันไม่รู้ว่าคนอื่นๆจะพึงพอใจหรือเปล่า” เสี่ยวฉุยทำหน้าบึ้งและพูดอย่างไม่สบอารมณ์
หญิงวัยกลางคนก็ยิ้มจางๆแล้วพูดว่า “นี่เป็นสิ่งที่เราควรทำเพราะงั้นฉันไม่สนหรอกว่าคนอื่นจะพอใจหรือไม่แต่เราไม่สามารถเพิกเฉยได้..เอาล่ะอย่าคิดอะไรที่มันจุกจิกเลยทำตามที่ฉันพูดเถอะ” หลังจากหยุดไปชั่วขณะหญิงวัยกลางคนก็พูดต่อ “นี่มันก็เข้าสู่หน้าหนาวแล้วฉันไม่ได้เห็นหิมะมานานแล้ว..เสี่ยวฉุยมีคนส่งเสื้อขนสัตว์มาให้ฉันเมื่อสองสามวันก่อนแต่ฉันใส่มันไม่ได้เพราะงั้นเธอนำมันไปใส่เถอะ”
“ขอบคุณค่ะคุณหญิงรอง” เซียวฉุยตอบ
“อ๊ะ!” เย่เชียนรู้สึกเจ็บที่ขาจนเขาร้องเสียงหลงออกมาและเมื่อมองลงไปเขาก็พบว่าข้อเท้าของเขาถูกแมงป่องต่อยจนมันแดงและบวมและเลือดที่ไหลออกมาก็เป็นสีดำเล็กน้อย ซึ่งเย่เชียนนั้นมีปัญหากับสิ่งเหล่านี้มากที่สุดเพราะเมื่อเขาเห็นหมาป่าเขี้ยวพิษหลิวเทียนเฉินเล่นกับสัตว์และแมลงพิษเหล่านี้เขาก็กลัวจนขนหัวลุกแล้ว
“นั่นใคร?” เสียงของเย่เชียนนั้นทำให้หญิงวัยกลางคนตื่นตระหนกในทันทีและถามออกมาดังๆ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนอีกต่อไปดังนั้นเย่เชียนจึงต้องก้าวออกมาอย่างช้าๆแล้วยิ้มให้หญิงวัยกลางคนด้วยความขมขื่นแล้วพูดว่า “ผมบังเอิญเดินผ่านมาแล้วได้ยินเสียงกู่เจิงของคุณแล้วรู้สึกว่ามันไพเราะมากผมก็เลยเดินตามเสียงมา..ผมไม่ได้จะมารบกวนจริงๆ”
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของเย่เชียนแล้วการแสดงออกของหญิงวัยกลางคนก็แน่นิ่งไปและเธอก็ตกตะลึงในทันที ซึ่งเสี่ยวฉุยที่ด้านข้างก็มีสีหน้าแบบเดียวกันและทั้งคู่ก็ดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเสี่ยวฉุยจึงหันไปเหลือบมองที่หญิงวัยกลางคนแล้วพูดเบาๆว่า “คุณหญิงรองคะ..เขาดูเหมือน..”
ก่อนที่เธอจะพูดจบหญิงวัยกลางคนก็โบกมือหยุดเธอจากนั้นเธอก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณมาที่นี่เพื่อมาร่วมงานวันครบรอบวันเกิดของผู้อาวุโสใช่มั้ย?..คุณคือทายาทของเจิ้งหรานที่เขาพูดคุยกันหรือเปล่า?”
เย่เชียนไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบว่าอะไรดังนั้นเขาจึงพูดด้วยความประหม่าว่า “ผมชื่อเย่เชียนครับคุณหญิงรอง”
หญิงวัยกลางคนก็ถึงกับตกใจและถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณ..คุณชื่อเย่เชียนงั้นเหรอ?” เมื่อเธอเห็นการแสดงออกที่ดูประหม่าของเย่เชียนแล้วหญิงวัยกลางคนก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อคุณเย่มาแล้วทำไมเราไม่มาดื่นด้วยกันสักหน่อยล่ะ?”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตระกูลเย่เป็นตระกูลใหญ่ที่ต้อนรับแขกได้ดีอย่างมากแต่พวกคุณเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มมากมายแต่ก็ไม่มีไวน์เลย..ถ้าผมได้ดื่มมันคงจะดีมาก”
.
.