ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 787 รายการสถานการณ์
ตอนที่ 787 รายการสถานการณ์
ตระกูลเย่มาถึงจุดที่สุ่มเสี่ยงมากแล้วและไม่ว่าจะเป็นโชคร้ายหรือคำสาปมันก็ไม่มีใครคาดเดาได้ แน่นอนว่าเย่เจียอู๋นั้นย่อมรู้ความหมายของสิ่งที่เย่เชียนพูด หากไม่ใช่เพราะการตายของเย่เจิ้งหรานล่ะก็เย่เจียอู๋จะไม่มีวันมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ให้กับเย่เจิ้งเซียงอย่างแน่นอน
หลังจากเงียบไปสักพักเย่เจียอู๋ก็พูดว่า “บางครั้งคนแก่ก็มีเรื่องให้คิดมากมาย..มันเป็นความจริงที่ความกระตือรือร้นของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่เหล่านี้หายไปแต่อนาคตของตระกูลเย่ก็ขึ้นอยู่กับเหล่าลูกหลานเสมอ..อันที่จริงฉันก็ตระหนักดีถึงข้อบกพร่องของความแตกต่างระหว่างตระกูลหลักกับตระกูลสาขาที่เอ็งพูด..แต่ฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพราะในบรรดาลูกหลานของตระกูลเย่เอ็งเป็นคนที่พิเศษที่สุดทั้งอาชีพการงานที่มาด้วยความลำบากและการทำงานหนักของตัวเอง..ฉันมั่นใจมากและฉันก็อยากจะส่งต่อตระกูลเย่ให้เอ็งดูแลในอนาคต”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและพูดว่า “คุณปู่ครับผมบอกไปแล้วว่าผมไม่สนใจตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่และผมก็ไม่เคยคิดที่จะเป็นผู้นำของตระกูลเย่เลย”
“เอ็งไม่ได้บอกว่าเอ็งต้องการเปลี่ยนสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลเย่หรอกเหรอเหรอ..เอ็งบอกว่าอยากปฏิรูปตระกูลเย่ไม่ใช่หรือไง..เพราะงั้นถ้าเอ็งไม่ใช่ผู้นำตระกูลแล้วใครจะฟังคำพูดของเอ็ง..ใครสามารถจะไปทำตามในสิ่งที่เอ็งพูด..ถ้าเอ็งไม่ใช่ผู้นำฉันเกรงว่าเอ็งจะไม่สามารถอยู่ในตระกูลได้ในอนาคตแล้วนับประสาอะไรกับการปฏิรูปกัน?” เย่เจียอู๋พูด “นี่ไม่ใช่แค่สำหรับฉัน แต่สำหรับตระกูลเย่ทั้งหมดและมันสำหรับพ่อของเอ็งด้วย..ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตายเร็วเกินไปล่ะก็ตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่จะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน..สิ่งที่เขาทำมาเอ็งจะปล่อยให้มันพังไปแบบนี้อย่างงั้นเหรอ..ฉันจะบอกความจริงให้ว่าตอนแรกพ่อของเอ็งได้สร้างหน่วยลับขึ้นมาเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของตระกูลเย่..ซึ่งตั้งแต่พ่อของเอ็งตายฉันก็คอยควบคุมมาโดยตลอดแม้แต่ลุงของเอ็งก็ไม่รู้เรื่องนี้..นี่คือความแข็งแกร่งที่พ่อของเอ็งทิ้งเอาไว้ให้และมันจะต้องถูกมอบให้เอ็งเท่านั้น..เพราะฉะนั้นเอ็งควรคิดให้รอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เองและอย่าเพิ่งรีบร้อนที่จะให้คำตอบกับฉัน”
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเย่เจียอู๋แล้วเย่เชียนก็รู้สึกลำบากใจแต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก นอกจากนี้เย่เชียนยังสนใจเมื่อเขาได้ยินเย่เจียอู๋พูดเกี่ยวกับไพ่ใบสุดท้าย อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้วางแผนที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ ดังนั้นเขาจึงแค่พยักหน้าเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรใดๆ
“อยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วก็คุยกับแม่ดีๆเพราะหลายปีมานี้เธอไม่ได้มีชีวิตที่ดีเลย..ความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามีและลูกของเธอนั้นหนักหน้าแสนสาหัสมาก..ช่วยอยู่กับเธอให้มากๆด้วยล่ะ “เย่เจียอู๋พูด” หลังจากนั้นเอ็งก็ไปทำธุระของเองเถอะ..ฉันเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเอ็งเลยจริงไหม?..ถึงยังไงสองพี่น้องหานรุ่ยกับหานห่าวก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเอ็งและจริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้เลวร้ายอะไรเพราะงั้นถ้ามีอะไรเอ็งก็ช่วยดูแลพวกเขาด้วยยังไงซะพวกเอ็งก็เป็นพี่น้องกัน”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตราบใดที่พวกเขาไม่มารบกวนผมล่ะก็ผมจะไม่ไปยุ่งกับพวกเขา”
นี่คือสิ่งที่เย่เชียนไม่ต้องการพูดถึงอย่างไรก็ตามเย่เจียอู๋ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ ซึ่งถ้าหากเย่เชียนต้องการต่อสู้กับเย่หานรุ่ยและเย่หานห่าวจริงๆล่ะก็พวกเขาจะสู้เย่เชียนได้อย่างไร? คาดว่าถึงเย่เชียนจะฆ่าพวกเขาแต่พวกเขาก็ยังสามารถแม้แต่จะรู้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าการห่างหายไปนานทำให้ความรู้สึกของเย่เชียนที่มีต่อครอบครัวลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทว่าเย่เจียอู๋ก็ไม่อยากจะเห็นลูกๆหลานๆต้องบาดหมางและเกลียดชังจนเข่นฆ่ากัน
วันถัดไปสถานการณ์ปกติมาก ซึ่งเย่เจิ้งเฟิงได้กลับไปที่เขตทหารเซิ่นหยางส่วนเย่หานซวนเขาต้องอยู่ต่อและเข้าร่วมการทดสอบดังกล่าว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการแข่งขันเพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ก็ตามแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกเสียจากต้องทำตามคำสั่งของเย่เจียอู๋
นอกจากเย่เชียนจะอยู่กับถังซูหยานทุกวันแล้วเขาก็ยังอยู่กับเย่หานซวนและเย่หานหลินด้วย ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็พัฒนาขึ้นอย่างกะทันหันและนั่นเป็นเพราะเย่หานซวนกับเย่เชียนนั้นเป็นชายชาติทหารทั้งคู่ ถึงแม้ว่าคนหนึ่งจะสังกัดกองทัพแห่งชาติปกติและอีกคนหนึ่งเป็นทหารรับจ้างก็ตามแต่ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นชายชาติทหาร แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นให้คำแนะนำแก่เย่หานหลินทุกวันและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้รู้จักศิลปะการต่อส้ตำรับโบราณมากนักแต่ประสบการณ์การต่อสู้จริงนั้นมีมากกว่าเย่หานหลินหลายเท่า ความสามารถในการเรียนรู้ของเย่หานหลินนั้นดีมากและเข้าใจได้หลายสิ่งหลายอย่างในการแนะนำเพียงเล็กน้อย สิ่งนี้ทำให้เย่เชียนรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นนักสู้ ดังนั้นหากตระกูลเย่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนเขามาตั้งแต่แรกความสำเร็จของเย่หานหลินคงจะยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเย่หานซวนกับเย่หานหลินอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมแล้วสองพี่น้องอย่างเย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวก็ไม่สบอารมณ์อย่างมาก ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเพราะในสายตาของเย่เชียนแล้วทั้งสองไม่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้เลย
ประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมาเย่เชียนและคนอื่นๆก็ขึ้นเครื่องบินตรงไปยังเมืองหนานจิงและเนื่องเย่เจียอู๋ได้จัดการทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ให้แล้วพวกเขาจึงไม่ต้องมีพิธีการอะไรมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงขับรถตรงไปยังเขตทหารหนานจิงทันทีและเมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูค่ายทหารก็มีคนรออยู่ที่นั่นมากมายที่กำลังทำท่าเคารพแบบทหารอยู่ ซึ่งทหารเหล่านี้ไม่ได้ทำตัวสบายๆนักเพราะพวกเขาทำหน้าเคร่งเครียดและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ผู้พันครับทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว..เชิญคุณมากับผม!”
เย่เชียนกับเย่หานซวนนั้นคุ้นเคยกับวิธีที่ทหารพูดมานานแล้วดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกกดดันหรืออะไรแต่สำหรับสองพี่น้องอย่างเย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวนั้นแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเห็นเหล่าทหารแล้วพวกเขาก็แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งแต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เย่เจียอู๋พูดแล้วพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยับยั้งชั่งใจเอาไว้ชั่วคราวหากเกิดปัญหาในวันแรกคาดว่าเย่เจียอู๋คงจะไม่สบอารมณ์อย่างมาก
เมื่อพวกเขาเดินมาประมาณสี่หรือห้าไมล์ในที่สุดก็มาถึงหน้าอาคารและทหารคนที่มาต้อนรับก็ได้เคาะประตู “เข้ามา!” เสียงชายหนุ่มดังก้องอยู่ภายในและเป็นเสียงที่ดังและทรงพลังอย่างมาก เมื่อเขาได้ยินเสียงนี้เย่เชียนก็ตะลึงเล็กน้อยเพราะเป็นเสียงที่คุ้นเคยแต่เย่เชียนนั้นจำไม่ได้ว่าเขาได้ยินเสียงนี้มาจากไหน
หลังจากผลักประตูเข้าไปเหล่าทหารก็แสดงความเคารพอย่างเป็นทางการและพูดว่า “รายงานท่านผู้พัน!..ผู้สมัครเข้าเกณฑ์ทหารมาถึงแล้ว!”
จากนั้นเย่เชียนก็เงยหน้าขึ้นและเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่หลังโต๊ะและเขาก็ถึงผงะไปครู่หนึ่งแล้วรอยยิ้มขี้เล่นก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ซึ่งชายหนุ่มที่สวมชุดเครื่องแบบทหารยศพันตรีด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมนั้นเผยให้เห็นถึงความเคร่งครัดและดุดันอย่างมาก เมื่อเห็นเช่นนั้นชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆแต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับโบกมือแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว!..คุณออกไปทำธุระของคุณต่อเถอะ”
“รับทราบครับท่าน!” ทหารคนที่มาต้อนรับตอบและหันหลังเดินออกไป
ชายหนุ่มก็พลิกดูแฟ้มเอกสารข้อมูลในมือโดยไม่เงยหน้าแล้วพูดว่า “พวกคุณเพิ่งจะมารายงานตัวใช่มั้ย?..ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่ในตระกูลจะเริ่มกังวลแล้วสินะถึงได้ส่งพวกคุณมา..พวกคุณคิดว่ากองทัพเป็นสถานที่สำหรับฝึกขยะไร้ประโยชน์อย่างงั้นเหรอ?..ผมขอบอกพวกคุณเอาไว้ก่อนเลยนะว่านี่อาจเป็นการตัดสินใจที่แย่ที่สุดของพวกคุณแล้ว..ผมจะทำให้พวกคุณได้รู้ว่าการอยากตายมันเป็นยังไง!”
“คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง..ผมก็ไม่ได้อยากจะมานักหรอกถ้าไม่ใช่เพราะการตัดสินใจของคุณปู่..คุณคิดว่าคุณเก่งนักเหรอ?..ผมน่ะสามารถฆ่าคุณตอนไหนก็ได้ตามที่ผมต้องการ” เย่หานห่าวพูดอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหน้าของผู้พันหนุ่มก็มืดมนลงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองทุกคน อย่างไรก็ตามเย่เชียนกลับหันหน้าหนีอย่างตั้งใจดังนั้นผู้พันหนุ่มจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน ซึ่งเมื่อมองไปที่เย่หานห่าวเขาก็ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “ผมไม่สนใจหรอกว่าตระกูลของคุณจะมีอำนาจหรืออิทธิพลมากขนาดไหนแต่เมื่อคุณมาถึงที่นี่ผมคือคนที่ใหญ่ที่สุด..ทำไม?..หรือคุณไม่มั่นใจงั้นเหรอ?..ก็แน่นอนอยู่แล้วคุณที่เกิดมาภายใต้บารมีตระกูลก็คงจะไม่รู้เรื่องชีวิตและความตาย..ที่นี่น่ะมีขยะอย่างพวกคุณเป็นร้อยเป็นพันคนและผมก็มีวิธีจัดการกับขยะอย่างคุณ”
เย่หานห่าวก็ตัวสั่นเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมากเพราะไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้ตอนที่เขาอยู่ในตระกูลเย่เลย แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนขี้ขลาดจริงๆเพราะหลังจากออกจากตระกูลเย่มาเขาก็ไม่มั่นใจเหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งตอนที่เขากำลังจะพูดต่อเย่หานรุ่ยก็ขยิบตาให้เขาเพราะต้องระงับความโกรธของเขาในขณะนี้
ผู้พันหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ดูนี่สิมันอะไรกัน?..ใส่สูทผูกไทนี่คุณคิดว่ามันเป็นวันหยุดงั้นเหรอ?..ออกไปวิ่งรอบสนามยี่สิบรอบซะ!..ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผมก็ห้ามหยุด..ปฏิบัติ!”
“อะไรกันพวกเรานั่งเครื่องบินมาเหนื่อยๆหนึ่งวันเต็มๆแต่คุณกลับสั่งให้พวกเราวิ่งทันทีที่มาถึง..มันจะมากเกินไปหรือเปล่า?” เย่หานห่าวพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“อะไรนะ!..ผมต้องหาผู้หญิงมานวดเพื่อทำให้คุณนอนหลับสบายอย่างงั้นเหรอ?” ผู้พันหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “เข้ามา!”
ทันทีที่เสียงของผู้พันหนุ่มดังขึ้นนายทหารสองคนก็เดินเข้ามา
“พาเขาออกไปวิ่งที่สนาม!..ถ้าใครไม่วิ่งก็เตะขาเขาซะ!..คนที่ช้าสุดจะไม่ได้กินข้าวเย็น!..ขยะอย่างพวกคุณมันก็ดีแต่พูด!” ผู้พันหนุ่มพูดอย่างเคร่งครัด
“รับทราบครับ!” นายทหารทั้งสองตอบและหันไปมองเย่เชียนกับคนอื่นๆแล้วตะโกนว่า “ปฏิบัติ!”
เย่หานรุ่ยและเย่หานห่าวไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อนแต่เมื่อเห็นทหารสองคนถือปืนอยู่พวกเขาก็รู้สึกอ่อนแอในใจและนอกจากนี้เย่เจียอู๋ยังพูดอย่างชัดเจนว่าทุกคนจะไม่สามารถใช้อำนาจและอิทธิพลของตระกูลได้อีก ดังนั้นแน่นอนว่าไม่ว่าพวกเขาจะต่อต้านและดิ้นรนอย่างไรมันก็คงไม่มีประโยชน์