ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 798 ละทิ้งเจตนารมณ์ (1)
ตอนที่ 798 ละทิ้งเจตนารมณ์ (1)
การกระทำของเฉิงเหวินสามารถสะท้อนความจริงได้มากมายและดูเหมือนว่าเฉิงเหวินนั้นไม่ได้ตั้งใจจะทรยศเพียงแต่เป็นการกดดันจากคนอื่นๆเท่านั้น ส่วนหม่าซานเหอก็เป็นบุคคลระดับบุกเบิกและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเคยพบเขามาหลายครั้งแล้วแต่เย่เชียนก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าหม่าซานเหอกำลังคิดอะไรอยู่ สำหรับสมาชิกคนอื่นๆพวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของหยูซิงเพราะทุกๆคนมองไปทางหยูซิง
เย่เชียนก็เหลือบมองทุกคนและเดินตรงไปยังตำแหน่งบนสุดแล้วนั่งลง การแสดงออกของคนเหล่านั้นดูไม่เต็มใจอย่างยิ่งและดวงตาที่มองมาที่เย่เชียนก็เต็มไปด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตามหากปราศจากคำพูดของหยูซิงพวกพวกเขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เชียนเขามองไปที่หยูซิงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกวักมือเรียกแล้วพูดว่า “มาสิผู้จัดการหยูมานั่งข้างๆผม”
ในการประชุมแบบนี้การจัดลำดับมีความสำคัญมากเพราะสามารถดูตัวตนของคนเหล่านี้ได้จากตำแหน่งที่พวกเขานั่ง โต๊ะเป็นโต๊ะยาวชนิดหนึ่งที่มีความโค้งเล็กน้อยทั้งสองด้านและเย่เชียนก็นั่งอยู่ที่ตำแหน่งบนสุดและตำแหน่งตรงข้ามหมายความว่าเกือบเท่ากับเย่เชียน ดังนั้นการที่เย่เชียนบอกให้หยูซิงนั่งถัดจากเขานั่นก็เพียงเพื่อบอกให้หยูซิงรู้ว่าใครเป็นเจ้านายและใครเป็นทาสกันแน่
หยูซิงนั้นเคยทำงานในคลับมาก่อนและพบปะผู้คนมากมายดังนั้นเขาจึงเห็นได้ว่าเย่เชียนสามารถโน้มน้าวใจทุกคนได้อย่างไรและภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ เย่เชียนได้รักษาตำแหน่งของเขาให้มั่นคงและประสบความสำเร็จในการควบคุมอุตสาหกรรมของเฉินฟู่เฉิงได้และแน่นอนว่าถ้าพูดตามตรงแล้วหยูซิงยังคงมีความกลัวต่อเย่เชียนอยู่ลึกๆในใจและเขาก็รู้ว่าความแตกต่างระหว่างเขากับเย่เชียนนั้นมีช่องโหว่ขนาดใหญ่อย่างมาก แต่เขาก็เข้าใจความหมายการกระทำของเย่เชียนได้และหลังจากแสร้งทำมึนงงเล็กน้อยเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปนั่งลงข้างเย่เชียน
เย่เชียนก็ชำเลืองมองดูฝูงชนและยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นที่เมืองหนานจิงเพราะงั้นผมจึงมาพบพวกคุณ..ผมไม่ได้รบกวนพวกคุณใช่มั้ย?..เราไม่ได้ประชุมกันมาหลายปีแล้วและเรื่องการจัดการผมก็ไม่ค่อยเข้าไปแทรกแซง..เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ผมคงจะไม่ใช่หัวหน้าที่ดีแต่อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมนี้ประธานเฉินทิ้งเอาไว้ให้ผมและเนื่องจากผมสัญญากับเขาเอาไว้ผมก็จะยึดมั่นในอุตสาหกรรมนี้..ซึ่งผมก็สามารถเอาชนะวิกฤตต่างๆได้มาโดยตลอด”
จากนั้นเย่เชียนก็มองไปที่เฉิงเหวินแล้วพูดว่า “เลขาเฉิง..คุณเป็นผู้บุกเบิกที่ติดตามประธานเฉินมาตั้งแต่แรกและยังมีหลัวจ้านอีกแต่เขาถอนตัวไปแล้วดังนั้นภาระบนบ่าของคุณมันคงจะหนักมาก..ผมคิดว่าคุณคงไม่อยากทอดทิ้งเจตนารมณ์ของประธานเฉินไปหรอกใช่มั้ย?”
เฉิงเหวินก็รู้สึกผิดและบางคนก็ไม่กล้ามองดูการจ้องมองของเย่เชียนและก้มหน้าลงกันทีละคนเพราะพวกเขารู้สึกสำนึกผิด แน่นอนว่าสถานะของเฉิงเหวินนั้นเป็นรองแค่เฉินฟู่เฉิงและทุกคนก็ชัดเจนดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะเขาอายุมากขึ้นหรืออาจเป็นเพราะชีวิตที่เหนือกว่าของเขาได้กลืนกินจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาไปเพราะตอนนี้แม้แต่หยูซิงก็ยังสามารถจูงจมูกของเขาได้อย่างง่ายดาย
“คุณซาน!” เย่เชียนมองไปที่หม่าซานเหออีกครั้งแล้วพูดว่า “คุณเองก็เป็นผู้บุกเบิกเช่นกันที่ผมสามารถสืบทอดเจตนารมณ์ของประธานเฉินได้สำเร็จนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการสนับสนุนของคุณซานและถ้าไม่ใช่เพราะคุณซานแล้วผมคงทำมันคนเดียวไม่ได้..อีกอย่างความสามารถในการพัฒนาอุตสาหกรรมของคุณก็ดีเยี่ยมมาโดยตลอด..ในกรณีนี้คุณไม่ควรที่จะยอมทำตามใครเพราะคุณทำได้ดีมาเสมอ..คุณต้องการทำลายชื่อเสียงและเกียรติของตัวเองงั้นหรอ?..ไม่เช่นนั้นถึงแม้ว่าคุณจะมีชีวิตอยู่อีกร้อยปีข้างหน้าคุณก็ไม่สามารถที่จะทำตามเจตนารมณ์ของประธานเฉินได้หรอก”
หม่าซานเหอไม่พูดและสีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆดูเหมือนเขาจะไม่สนใจทุกอย่างที่เย่เชียนพูดแต่เขากลับแอบคิดในใจว่าอันที่จริงด้วยอายุของเขานั้นยุคของการแย่งชิงอำนาจมันหมดไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในความดูแลส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมนี้แต่เขาก็ไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกต่อไปเพราะทุกๆวันนี้เขาเพียงดื่มชาและพาสุนัขเดินเล่นเท่านั้น
จากนั้นเย่เชียนก็จ้องมองไปที่ชายหนุ่มข้างๆเฉิงเหวินแล้วพูดว่า “เซี่ยเสี่ยวเจ้อชายหนุ่มที่อายุน้อยและไฟแรงซึ่งไต่เต้าขึ้นมาจากคนธรรมดาแต่กลับมีความกล้าหาญและความรู้ความสามารถในการบริหารธุรกิจที่ดี..ประวัติของคุณพ่อและแม่ทั้งสองเป็นแรงงานต่างด้าวธรรมดาและพวกเขาก็ถูกฉ้อโกงค่าว่าจ้าง..ในตอนนั้นคุณอายุแค่สิบหกปีแต่คุณกลับกล้าถือมีดไปที่ไซต์ก่อสร้างแล้วเอามันไปแทงคอของนายจ้างผู้รับเหมาเพื่อทวงค่าว่าจ้างที่ค้างชำระทั้งหมดกลับคืนมา..แต่ด้วยเหตุนี้คุณต้องติดคุกสามปีจริงมั้ย?”ไอรีนโนเวล
สีหน้าของเซี่ยเสี่ยวเจ้อก็ค่อนข้างดูตกตะลึงเพราะเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนจะรู้เรื่องของตัวเองอย่างชัดเจนถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าหยูซึงก็ตกตะลึงเช่นกันเพราะคำพูดของเย่เชียนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาได้ให้ความสนใจกับการพัฒนาของเมืองหนานจิงและบุคลากรในองค์กร สิ่งนี้ทำให้เขาต้องกังวลเพราะถ้าหากเย่เชียนมาในช่วงเวลานี้ที่กำลังจะกำจัดผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อเขาและเห็นด้วยกับเขามันจะเป็นอย่างไร? หากเป็นในกรณีนี้แสดงว่าเย่เชียนนั้นก็เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว
เย่เชียนก็หันไปมองชายวัยหนุ่มข้างๆหม่าซานเหอแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหว่ยหนานเจี๋ย..อายุสามสิบสองปี..เป็นนักศึกษาปริญญาโทสาขาการเงินจบจากประเทศสหรัฐอเมริกา..วิทยานิพนธ์จบการศึกษาของคุณคือเส้นทางสู่การต่อต้านทางการเงินของโซรอส..หลังจากเรียนจบคุณลาออกจากงานที่มีอนาคตไกลที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและกลับมาที่เมืองหนานจิงและมาเข้าร่วมองค์กรเมื่อสองปีก่อนและรับผิดชอบธุรกิจการเงิน..ภายใต้การดูแลจัดการของคุณบริษัทมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมการเงินและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ”
เย่เชียนสามารถเรียกชื่อคนเหล่านี้ได้ภายในการมองเพียงแค่ครั้งเดียวและเขาก็รู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับประวัติของพวกเขาซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกสับสนเล็กน้อยและงุนงงอย่างมาก แต่สำหรับหยูซิงแล้วเขากลับรับรู้สึกถึงความน่ากลัวของเย่เชียนมากขึ้นเรื่อยๆและความหนาวสั่นไม่สามารถช่วยให้หัวใจของเขาสั่นได้ เขามักจะคิดว่าเขาฉลาดที่สุดและสามารถควบคุมทุกอย่างได้ดี แต่ตอนนี้ในเย่เชียนกลับยังสามารถมั่นคงได้และเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเองแล้วเขานั้นช่างดูไร้เดียงสาอย่างมาก
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “มีคนอยู่ที่นี่หลายคนและผมไม่มีเวลามากพอที่จะพูดประวัติของทุกคนได้แต่ผมสามารถบอกได้อย่างมั่นใจว่าผมรู้ประวัติความเป็นมาของพวกคุณและแน่นอนว่าผมไม่ได้กำลังจะสืบสวนคุณแต่ถ้าคุณจะคิดอย่างนั้นมันก็แล้วแต่คุณเพราะพวกคุณทุกคนทำงานอย่างหนักเพื่อธุรกิจและบริษัทผมจึงอยากรู้เรื่องของพวกคุณโดยธรรมชาติ..บางทีพวกคุณหลายคนอาจไม่เคยเห็นหน้าผมและผมก็ไม่เคยเข้ามาแทรกแซงการจัดการของพวกคุณแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่..พวกคุณมีส่วนที่ทำให้บริษัทพัฒนาไปเร็วมากแต่พวกคุณเคยคิดบ้างไหมว่ามันเป็นเพราะอะไร..ผมไม่ได้หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจแต่หวังว่าพวกคุณจะรู้ตัว!”
ไม่มีใครที่โง่เขลาในที่นี้ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดของเย่เชียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ คำพูดของเย่เชียนบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเหตุผลที่การพัฒนาในเมืองหนานจิงเป็นไปอย่างราบรื่นเพราะพวกเขาแต่มันก็สามารถพังทลายได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
เย่เชียนก็หันไปมองหยูซิงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คราวนี้ผมมาที่เมืองหนานจิงโดยบังเอิญเท่านั้น..อันที่จริงผมรู้ทุกอย่างที่พวกคุณทุกคนทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่ผมคิดว่าพวกเราทุกคนต่างก็เป็นหลุมเป็นบ่อแต่พวกคุณไม่ต้องห่วงเพราะที่ผมมาคราวนี้ผมไม่ได้เตรียมอะไรเอาไว้..ผมแค่อยากรู้ว่าตอนนี้ทุกคนคิดยังไง..ทุกคนเป็นพี่น้องเพราะงั้นมันไม่มีอะไรที่คุณไม่สามารถบอกพูดกับผมได้..ทั้งความไม่พอใจของหรือข้อเสนอแนะอะไรพวกคุณก็สามารถพูดได้ทั้งหมด..ผมไม่ใช่คนประเภทที่ชื่นชมตัวเองและไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นแบบนั้น..ตราบใดที่คำพูดของพวกคุณสมเหตุสมผลล่ะก็ผมจะรับไว้พิจารณา..ถึงเราจะไม่ใช่พี่น้องไม่ใช่มิตรสหายแต่มันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกันใช่มั้ย?”
ขณะที่เขาพูดใบหน้าของเย่เชียนก็มืดมนลงในทันทีและเสียงของเขาก็เย็นชาอย่างมาก “แน่นอนว่าในการเป็นมนุษย์ทุกๆคนต่างก็มีข้อดีและข้อเสียผมเองก็มี..เพราะงั้นคุณสามารถไม่พอใจผมได้แต่ห้ามทรยศผมและทำสิ่งที่น่าละอายใจ..คุณก็รู้นี่ว่าผมจะจัดการคนแบบนั้นยังไง?..นอกจากนี้คุณรู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นศัตรูกับผมหรือเปล่า?”
ดวงตาของเย่เชียนก็กวาดไปทั่วทีละคนและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างดุเดือดและความกดดันอันแข็งแกร่งภายใต้การจ้องมองของเย่เชียนทำให้หลายๆคนไม่กล้าเผชิญหน้าและก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “เอาล่ะผมพูดจบแล้ว..ต่อไปเชิญพวกคุณพูดในสิ่งที่คุณคิดและแสดงความคิดเห็นกันเถอะ..ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมันออกมาเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของทุกคน”
เย่เชียนก็เหลือบมองทุกคนแต่ไม่มีใครพูดอะไรใดๆและสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยูซิงเห็นได้ชัดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะหยูซิง ส่วนเฉิงเหวินก็ยังคงก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดและการแสดงออกของหม่าซานเหอก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแต่การจ้องมองของเขาจับจ้องไปที่ถ้วยชาที่อยู่ข้างหน้าเขาจึงทำให้ยากที่จะเข้าใจความคิดของเขา เห็นได้ชัดว่าคนอื่นๆนั้นดูกดดันมากกว่าหม่าซานเหออย่างมาก
“ทำไมไม่พูดกันล่ะ?..ผู้จัดการหยูถ้าคุณไม่พูดพวกเขาก็จะกดดันอยู่แบบนี้” เย่เชียนแสยะยิ้มและมองไปที่หยูซิงแล้วพูด ซึ่งแค่รอยยิ้มของเย่เชียนก็สามารถทำให้พวกเขาตื่นตระหนกอย่างมากแล้ว
หยูซิงนั้นเคยเห็นเย่เชียนฆ่าใครบางคนด้วยรอยยิ้มเช่นนี้มาก่อนซึ่งสร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งในใจของเขาและบางคนต่างก็พูดว่าเย่เชียนที่โกรธจัดนั้นไม่ได้น่ากลัวที่สุดแต่เป็นเย่เชียนที่กำลังแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายและน่ากลัวเช่นนี้ มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกใบนี้ไม่ใช่แค่ความตายเท่านั้นแต่ยังมีรอยยิ้มของเย่เชียนด้วยเพราะไม่มีใครรู้ว่ารอยยิ้มของเย่เชียนนั้นหมายถึงอะไรหรือแม้แต่การกระทำแบบไหนที่เขาจะทำต่อจากนั้น
หัวใจของหยูซิงก็อดรู้สึกผิดไม่ได้เช่นกันเพราะเขารู้สึกว่าช่องว่างระหว่างตัวเองกับเย่เชียนนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและกลอุบายที่เขาใช้มันดูเหมือนกับการเล่นของเด็กในสายตาของเย่เชียนจนหยูซิงไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ