ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 862 ความรู้สึกของผู้หญิงั
ตอนที่ 862 ความรู้สึกของผู้หญิง
ผู้หญิงอย่างแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นไม่ค่อยเก่งในการใช้จุดอ่อนของเธอเพื่อกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจของผู้ชายและเธอก็รังเกียจที่จะใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อให้ได้ความรักจากผู้ชาย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำพูดที่ดูปกติแต่เมื่อเห็นการแสดงออกของเย่เชียนแล้วแม่ม่ายดำจือเหวินก็รู้สึกหลงทางและหวั่นไหวอย่างมาก
ที่จริงแล้วเย่เชียนนั้นไม่มีข้อจำกัดในเรื่องความสัมพันธ์มากนักเพราะถ้าหากโชคชะตามาถึงหินที่แข็งแกร่งก็ยังสามารถกร่อนได้ถ้าหากโดนน้ำมากๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับแม่ม่ายดำจือเหวินแต่อย่างน้อยๆ ตอนนี้เย่เชียนก็ไม่ได้รักเธอเพราะแม่ม่ายดำจือเหวินดูเหมือนผู้หญิงที่แข็งแกร่งมากแต่แท้ที่จริงแล้วเย่เชียนรู้ดีว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอและเขาก็ไม่อยากทำร้ายเธอ
ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่งและบรรยากาศก็เริ่มอึดอัดและคลุมเครือเล็กน้อย ในตอนนี้เย่เชียนเลือกที่จะหันหน้าหนีเพราะไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของแม่ม่ายดำจือเหวินเพราะกลัวว่าเขาจะไม่สามารถยับยั้งชั่งใจและหุนหันพลันแล่นจนก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจย้อนกลับได้ เย่เชียนไม่ใช่สุภาพบุรุษและเขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษเลยและยิ่งไปกว่านั้นเขายอมรับเซ็กส์ที่ไร้ความรักความสัมพันธ์ได้แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะทำร้ายจิตใจของแม่ม่ายดำจือเหวิน
อาจเป็นเพราะสิ่งที่เย่เชียนพูดก่อนหน้านี้เพราะการแสดงออกของแม่ม่ายดำจือเหวินเปลี่ยนไปเป็นเขินอายเล็กน้อยและเธอก็เชื่อว่าเย่เชียนสามารถเข้าใจความหมายในคำพูดของเธอ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็เลือกคำตอบนี้ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันเป็นการปฏิเสธเธอและถึงแม้ว่าในใจเธอจะผิดหวังเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่อยากแสดงออกมาบนใบหน้า หลังจากใช้ชีวิตมานานหลายปีเธอก็ได้เรียนรู้วิธีซ่อนความรู้สึกและต่อให้เธอจะไม่เต็มใจและขุ่นเคืองก็ตามแต่เธอก็จะไม่แสดงมันออกมาให้เห็นบนใบหน้าอย่างเด็ดขาด แต่ด้วยวิธีนี้บางครั้งเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากเพราะจริงๆ แล้วเธอก็เป็นผู้หญิงที่ต้องการไหล่กว้างๆ เพื่อพิงเวลาที่เธอเหนื่อย ดังนั้นเธอจึงต้องการอ้อมแขนของผู้ชายคนหนึ่งและร้องไห้และระบายความคับข้องใจและความในใจของเธออย่างเต็มที่เหมือนกัน
หลังจากเงียบไปสักพักในที่สุดแม่ม่ายดำจือเหวินก็ทำลายความเงียบงั้นลงและเหลือบมองเย่เชียนพร้อมกับพูดว่า “เย่เชียนนี่มันก็ใกล้จะเย็นแล้วเพราะงั้นเราไปกินข้าวกันสักมื้อดีมั้ย? ..เธอสะดวกหรือเปล่า?” เมื่อเห็นเย่เชียนอยากที่จะปฏิเสธแม่ม่ายดำจือเหวินก็รีบเพิ่มประโยคหลังเข้าไปเพื่อปิดกั้นคำพูดของเย่เชียน
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ครั้งล่าสุดที่ผมมาที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือผมรีบและยุ่งมากผมเลยยังไม่ได้ลิ้มรสอาหารประจำภาครสชาติดีๆ เลย..คราวนี้ผมไม่อยากที่จะพลาดมันเพราะงั้นผมไม่ปฏิเสธคำเชิญของพี่เหวินหรอก”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอและเธอก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำอาหารด้วยตัวเองเลยในคืนนี้..ฉันจะตอบแทนเธอที่เธอคอยช่วยเหลือฉัน”
เย่เชียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เหลือบมองแม่ม่ายดำจือเหวินส่วนแม่ม่ายดำจือเหวินก็ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “อะไรกันฉันดูเหมือนผู้หญิงที่ทำอาหารไม่เป็นเหรอฮ่าๆ ..ฉันไม่ใช่สาวน้อยที่อายุสิบแปดสิบเก้าที่ทำอาหารไม่เป็นหรอกนะแค่ฉันไม่ได้ทำมันมานานแล้วและไม่รู้เลยว่าฝีมือการทำอาหารนั้นยังดีอยู่หรือเปล่า”
“อันที่จริงการทำอาหารไม่จำเป็นต้องมีความเฉพาะเจาะจงมากนักเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออารมณ์และหัวใจของคุณและตราบใดที่มีสิ่งเหล่านี้รสชาติของอาหารก็เป็นอันดับสองรองลงมา” เย่เชียนพูด
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ยิ้มเล็กน้อย “ถ้าเธอพูดแบบนั้นฉันก็โล่งใจฉันจะได้ไม่ถูกล้อเลียน” หลังจากหยุดไปชั่วขณะแม่ม่ายดำจือเหวินก็พูดต่อ “ในตู้เย็นไม่มีผักเลย..เธออยากจะไปซื้อของกับฉันมั้ย?”
เย่เชียนหยุดเล็กน้อยแล้วพยักหน้า
แม่ม่ายดำจือเหวินมีรอยยิ้มที่มีความสุขแบบหญิงสาวบนใบหน้าของเธอ วันนี้มันควรจะเป็นวันที่เธอหัวเราะและยิ้มมากที่สุดในรอบหลายปีใช่ไหม? แม่ม่ายดำจือเหวินคิดว่าเวลาในตอนนี้มันดูเดินช้าลงเล็กน้อยและอย่างน้อยๆ เธอก็ไม่อยากที่จะให้อาทิตย์ตกดินเลย
หลังจากออกมาจากบ้านแล้วบอดี้การ์ดสองคนก็รีบเดินตามเธอไป “พวกนายไม่จำเป็นต้องตามฉันมาเพราะฉันกับคุณเย่จะออกไปทำธุระด้วยกัน” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด ในตอนนี้เธอดูไม่มีความหนักแน่นและดูกดดันเหมือนก่อนหน้านี้จนบอดี้การ์ดทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะหยุดไปชั่วขณะและในทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อยแต่เมื่อหันไปมองเย่เชียนแล้วดูเหมือนพวกเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“เธอจะขับรถหรือให้ฉันขับ” แม่ม่ายดำจือเหวินเหลือบมองไปที่เย่เชียนและถาม
“ของแบบนี้ต้องเป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษสิ” เย่เชียนหยิบกุญแจรถจากแม่ม่ายดำจือเหวินแล้วเปิดประตูและเชิญเธอขึ้นรถอย่างสุภาพ
หลังจากออกจากบ้านพักเย่เชียนก็ขับรถไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ตามคำแนะนำของแม่ม่ายดำจือเหวินและหลังจากจอดรถในชั้นใต้ดินแล้วเย่เชียนก็ขึ้นลิฟต์พร้อมกับแม่ม่ายดำจือเหวินและเธอก็ควงแขนของเย่เชียนอย่างเป็นธรรมชาติแต่เย่เชียนก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ทักษะการทำอาหารของเย่เชียนนั้นจำกัดแค่การทำอาหารชุดแคริบเบียนเท่านั้นแต่เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตำรับอื่นๆ เลยและเมื่อเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตแม่ม่ายดำจือเหวินก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีมากราวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอควงเย่เชียนเดินไปเรื่อยๆ เพื่อดูสินค้าต่างๆ ราวกับว่าเธออยากรู้ทุกๆ อย่างที่นี่ซึ่งทำให้ประหลาดใจและอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆ ว่า ‘เธอไม่เคยมาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเลยใช่ไหม?’
ความจริงก็คือแม่ม่ายดำจือเหวินไม่ได้มาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนานแล้วเพราะเธอมักจะกินอาหารในโรงแรมและซื้อของในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ และที่สำคัญกว่านั้นแม่ม่ายดำจือเหวินอารมณ์ดีมากในวันนี้และเธอก็รู้สึกว่านี่เป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุดในรอบหลายปีของเธอ
ความตื่นเต้นที่มากเกินไปของแม่ม่ายดำจือเหวินดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากจนหลายคนมองมาที่พวกเขาและทุกๆ สายตาก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ซึ่งทำให้เย่เชียนตกตะลึงและโดยไม่จำเป็นต้องพูดเย่เชียนก็คาดเดาได้ว่าคนอื่นๆ คงคิดว่าเขาเป็นชายหนุ่มตัวเล็กๆ ที่เกาะผู้หญิงที่ร่ำรวยกิน
ถ้าใครรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือแม่ม่ายดำจือเหวินที่ทักคนรู้จักกันดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนล่ะก็พวกเขาก็ต้องหวาดกลัวและไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร
เย่เชียนเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของคนเหล่านั้นเพราะเขามักจะสนใจแต่ตัวเองและความคิดเห็นของคนอื่นที่มีต่อเขาก็ไม่มีผลอะไรกับการกระทำของเขาเลย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้เห็นความสุขของหญิงสาวอย่างแม่ม่ายดำจือเหวินแล้วเย่เชียนก็ไม่อยากที่จะทำลายอารมณ์และความสุขของเธอ เมื่อซื้อของแม่ม่ายดำจือเหวินก็เอาแต่ถามเย่เชียนว่าชอบกินอะไร? เธอดูเหมือนแฟนสาวตัวน้อยของเย่เชียนแต่ก็ทำให้เย่เชียนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ในความคิดของเย่เชียนแม่ม่ายดำจือเหวินเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งซึ่งทำสิ่งต่างๆ อย่างเด็ดขาดและกล้าที่จะแสดงออกมาแต่ตอนนี้เธอเป็นแบบนี้จนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ไม่ว่าพวกเธอจะเป็นผู้หญิงแบบไหนก็ตามแต่พวกเธอจะกลายเป็นคนที่อ่อนโยนและลืมสิ่งต่างๆ ไปเมื่อเจอคนที่พวกเธอชอบเสมอ
หลังจากช้อปปิ้งในซุปเปอร์มาร์เก็ตในช่วงบ่ายมาทั้งวันแล้วฉันก็ซื้ออาหารทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับมื้อเย็น จากนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินก็พาเย่เชียนไปซื้อไวน์แดงหนึ่งขวดยี่ห้อ Louis XIII แน่นอนว่าเย่เชียนทำหน้าที่เป็นคนถือของโดยธรรมชาติและโชคดีที่มีของไม่เยอะยกเว้นของที่จำเป็นสำหรับอาหารเย็นแล้วแม่ม่ายดำจือเหวินก็ไม่ได้ซื้ออะไรสำหรับตัวเองเลย
หลังจากออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วพวกเขาก็มาถึงล็อบบี้ที่ชั้น 1 ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องประดับและแม่ม่ายดำจือเหวินก็ควงเย่เชียนเข้าไปอย่างตื่นเต้นและมองไปที่แหวนกับสร้อยคอที่เคาน์เตอร์ ซึ่งในตอนนี้ใบหน้าของแม่ม่ายดำจือเหวินมีความรู้สึกที่คาดหวังและโหยหาอย่างชัดเจนและเมื่อเย่เชียนมองลงไปเขาก็เห็นว่าแม่ม่ายดำจือเหวินไม่มีแหวนสวมอยู่ที่นิ้วมือ แน่นอนว่าเธอเองก็หวังให้ผู้ชายที่เธอชอบสวมแหวนให้เธอและไม่จำเป็นต้องแพงเกินไปและไม่จำเป็นต้องดีเกินไปเพราะขอแค่เป็นแหวนให้ผู้ชายคนนั้นสวมให้ก็พอ
“คุณคิดว่ามันสวยมั้ย” แม่ม่ายดำจือเหวินชี้ไปที่นาฬิกาคู่รักคู่หนึ่งบนเคาน์เตอร์แล้วถาม ซางมันไม่แพงมากแต่สไตล์นั้นแปลกใหม่และดูสวยงามจริงๆ
“ไม่เลวเลย” เย่เชียนพูด
แม่ม่ายดำจือเหวินเหลือบมองเย่เชียนแล้วยิ้มจากนั้นก็ถามพนักงานว่า “คุณผู้หญิง..นาฬิกาเรือนนี้สำหรับขายหรือเปล่า”
“ขอโทษค่ะคุณผู้หญิงนี่คือนาฬิกาคู่ใหม่ล่าสุดของบริษัท..นาฬิกาทุกเรือนเราขายเป็นคู่เท่านั้นเลยไม่ได้ขายแยก” พนักงานขายบอกว่า “ถ้าคุณผู้หญิงชอบทำไมถึงไม่ซื้อเป็นคู่ไปเลยล่ะ..จะดีกว่านะถ้าคุณกับแฟนของคุณมีกันคนละเรือน”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยและดวงตาของเธอฉายแววผิดหวังเล็กน้อยจากนั้นเธอก็พูดว่า “ช่างมันเถอะ!”
ทันใดนั้นหัวใจของเย่เชียนก็รู้สึกทนไม่ได้และแววตาที่มีความสุขก็หายไปจากดวงตาของแม่ม่ายดำจือเหวินและมันเหมือนกับใบมีดคมที่แทงเข้าไปในหัวใจของเย่เชียน “เอ่อ..นาฬิกาคู่นี้เท่าไหร่หรอ” เย่เชียนเหลือบมองพนักงานขายแล้วถาม
“ฉันไม่อยากได้มันหรอก..คุณไม่ได้ใส่แต่ถ้าต้องซื้อสองเรือนมันก็ไม่คุ้มหรอก” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “ของที่เราชอบน่ะมันหายากน่ะ..นานๆ ทีจะเจอสักครั้งเพราะงั้นถึงแม้จะแพงแค่ไหนมันก็คุ้ม..ถือว่าเป็นของขวัญจากผมเพื่อขอบคุณสำหรับการเตรียมอาหารเย็นให้ผมในคืนนี้ก็แล้วกัน”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็มีความสุขแต่ก็ผิดหวังเล็กน้อยเพราะเธอไม่ได้หวังว่าเย่เชียนจะซื้อมันให้กับเธอด้วยเหตุผลนี้ อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังคงมีความสุขมากอยู่ดีที่เย่เชียนซื้อนาฬิกาเรือนนี้ให้เธอและอย่างน้อยๆ เธอก็จะสามารถทิ้งความทรงจำบางอย่างเอาไว้กับเขาได้ในอนาคต
“รูดบัตรหรือเงินสดคะ” พนักงานขายถามหลังจากเตรียมของเสร็จ
“รูดบัตรครับ” เย่เชียนหยิบบัตรเครดิตจากกระเป๋าเสื้อของเขาแล้วยื่นให้และคนขายก็อดแปลกใจไม่ได้เพราะนี่คือบัตรทองระดับพรีเมี่ยมที่ออกโดยธนาคารสวิสและในโลกใบนี้ก็มีอยู่แค่ 1,000 ใบเท่านั้น ผู้ที่เป็นเจ้าของบัตรนี้สถานะทางการเงินจะต้องไม่ธรรมดาเลย แต่อันที่จริงเย่เชียนไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งเหล่านี้มากนักเพราะถ้าซ่งหลันไม่ได้มอบบัตรใบนี้ให้กับเขาล่ะก็เขาคงไม่ใส่ใจที่จะโหยหามัน
หลังจากซื้อของแล้วแม่ม่ายดำจือเหวินก็ควงแขนของเย่เชียนและเดินไปที่ชั้นใต้ดิน ซึ่งระหว่างทางเธอไม่ได้พูดราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างและมีแววตาแปลกๆ ที่ฉายออกมาจากดวงตาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ดังนั้นเขาจึงอดคิดอย่างลับๆ ไม่ได้ว่าเธอจะหวั่นไหวจริงๆ เหรอเพราะมันก็แค่นาฬิกาเท่านั้น