ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 867 โลกแห่งศิลปะการต่อสู้โบราณ
ตอนที่ 867 โลกแห่งศิลปะการต่อสู้โบราณ
สี่เสาหลักแปดตระกูลรองในหนึ่งการประชุม นี่คือเสาหลักของประเทศชาติอย่างชัดเจนซึ่งได้แก่สำนักถัง,สำนักม่อจื๊อ,สำนักหยุนหยานเหมินและสำนักเฟยหยุนและตระกูลทั้งหมดแปดตระกูลที่ยิ่งใหญ่ได้แก่ ตระกูลหม่า,ตระกูลเย่,ตระกูลชางกวน,ตระกูลจิน,ตระกูลอู๋หยาง,ตระกูลหลี่,ตระกูลหวงฟู่และหยุน สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นดั่งเสาหลักของโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณและพวกเขายังเป็นตัวแทนของประเทศชาติที่หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างช้าๆ
สำนักและตระกูลเหล่านี้มีสถานะที่สูงมากในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณแต่ภายหลังจากการปะทะกันภายในของสำนักม่อจื๊อแล้วทุกขั้วอำนาจต่างก็ได้รับความเสียหายอย่างมาก ทุกวันนี้ที่มีเพียงสำนักม่อจื๊อเท่านั้นที่แยกตัวออกไปและตระกูลหม่าก็เป็นตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อได้ยินชื่อเหล่านี้เย่เชียนก็รู้สึกราวกับว่ามีพลังที่มองไม่เห็นดึงเขาและพวกมันเข้าด้วยกัน ซึ่งสำนักถังนั้นเป็นครอบครัวของแม่ของเขาและตระกูลเย่ก็คือครอบครัวของเขาอีก อีกทั้งยังมีสำนักหยุนหยานเหมินของหูวเค่ออันเป็นที่รักของเขาอีกและยังมีตระกูลหม่าที่เชื่อมโยงกับตัวเองอย่างเกิดความคาดหมาย ส่วนสำนักม่อจื๊อนั้นก็เป็นอย่างแรกที่เขารู้จักและยังเป็นศัตรูตัวฉกาจอีกด้วย จนถึงตอนนี้ทั้งหมดดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับเขาและถึงแม้ว่าฉันจะไม่ต้องการเข้าไปแทรกแซงก็เกรงว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย
แน่นอนในมุมมองของเย่เชียนนั้นไม่ได้มีความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่วเลยและเขาจะไม่พูดถึงความยุติธรรมตลอดทั้งวันเหมือนที่เขียนในนิยายศิลปะการต่อสู้ไร้สาระแบบนั้น ในเมื่อเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วเย่เชียนก็ขี้เกียจเกินไปที่จะเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณครั้งนี้ ตราบใดที่มันไม่กระทบต่อความสนใจของเขาพวกเขาสามารถทำทุกอย่างได้ที่ต้องการเพราะมันไม่ใช่ธุระของเขาเลย
เย่เชียนก็หันไปมองที่หูวเค่อ “อย่าบอกนะว่าทางรัฐบาลเรื่องเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วและพวกตระกูลเหล่านั้นก็ไม่เป็นที่นิยัมในสังคมนี้อีกต่อไปแล้ว”
หูวเค่อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เป็นเวลาหลายปีแล้วที่โลกศิลปะการต่อสู้โบราณได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากประเทศจีนและดำรงอยู่เป็นพลังลึกลับของชาติ..หากเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณล่ะก็มันจะสั่นคลอนไปทั้งแผ่นดินดังนั้นพวกเขาก็เลยนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไปและไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือส่วนรวมก็ตาม”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ให้ผมพูดเถอะ..ในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณมันเคยเป็นกองกำลังลับของประเทศชาติและมันได้สูญเสียเจตนารมณ์เดิมไปโดยสิ้นเชิง..มันทั้งวุ่นวายและขัดแย้งกันไปหมดแต่ผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าประเทศอื่นจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับประเทศจีนเพราะพวกเขานักสู้จีนตำราโบราณเหล่านี้และนี่มันก็เป็นเพียงการหลอกลวงตัวเองของรัฐบาล..คุณควรจะชัดเจนมากเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่ใช่เหรอ..องค์การN.A.T.O.ที่นำโดยประเทศสหรัฐอเมริกา..คุณลองคิดดูหากพวกเขาต้องการที่จะกวาดล้างมันก็เหมือนการทำลายรังนกเล็กๆ เพราะงั้นในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณในความคิดของผมนั้นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันมาจากความโลภของผู้คนเองและไม่จำเป็นต้องปลูกฝังความยุติธรรมหรือความเชื่ออะไรทั้งนั้น..อันที่จริงสิ่งที่เราควรทำคือการกวาดหิมะที่หน้าประตูบ้านของเราเองและอย่าปล่อยให้น้ำค้างแข็งขึ้นบนหลังคาของผู้อื่น”
“เย่เชียนฉันผิดหวังในตัวคุณจริงๆ” หูวเค่อพูด “โลกศิลปะการต่อสู้โบราณมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในประเทศจีนและมีกองกำลังที่ทรงพลังในแวดวงทหารและการเมืองและธุรกิจของจีน..หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้นคุณคิดว่ามันจะไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติและสังคมเหรอ?”
เย่เชียนต้องยอมรับเรื่องนี้
“ก็ได้ๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว” เย่เชียนฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “ผมไม่ใช่คนจากโลกศิลปะการต่อสู้โบราณและผมก็ไม่สนใจการต่อสู้อะไรทั้งนั้น..ผมแค่ทำในสิ่งที่อยากทำแค่นั้น” ถึงแม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้แต่ถ้าหากหูวเค่อตกอยู่ในอันตรายเขาจะเพิกเฉยได้หรือไม่? เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้และในท้ายที่สุดเขาก็จะมีส่วนร่วมในการต่อสู้เหล่านี้โดยปริยาย
หูวเค่อเข้าใจอารมณ์และนิสัยของเย่เชียนดีดังนั้นเธอจึงหยุดเถียงกับเขาและปิดปากพร้อมกับหันออกไปมองด้านนอกหน้าต่าง เธอได้ยินฮัวหยาซินพูดถึงลัทธิมารในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณแล้วและถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุด..ซึ่งหนึ่งร้อยปีที่แล้วสำนักหยุนหยานเหมินของเราพยายามที่จะต่อต้านลัทธิมารแต่ถ้าหากเสาหลักทั้งหมดไม่รวมกันเราก็จะไม่สามารถต้านทานได้เลย..ในการต่อสู้ครั้งนั้นลัทธิมารได้ประสบความสูญเสียอย่างร้ายแรงและกลับไปยังภูมิภาคตะวันตกและใช้เวลาหนึ่งร้อยปีในการพักฟื้นจนถึงตอนนี้การเดินทางและสงครามครั้งใหม่ก็ได้เริ่มขึ้นในที่สุด”
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าโลกศิลปะการต่อสู้โบราณจะดูสงบแต่ความจริงแล้วความขัดแย้งนับไม่ถ้วนได้เกิดขึ้นภายใต้ผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างสำนักม่อจื๊อที่มีการต่อสู้ภายในจนทำให้สาวกฝ่ายธรรมะถอนตัวออกจากสำนักม่อจื๊อไปและเหลือเพียงสาวกฝ่ายอธรรมเท่านั้น ซึ่งทำให้พลังของสำนักม่อจื๊ออ่อนแอลงอย่างมากและตอนนี้สำนักม่อจื๊อนั้นก็ซับซ้อนและมีบางอย่างที่เกี่ยวกับลัทธิมาร แต่ทว่าตระกูลกับสำนักที่เหลืออยู่ต่างก็ขุ่นเคืองกันและยากที่จะรวมตัวกันเหมือนเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน
อันที่จริงสิ่งที่เย่เชียนพูดนั้นไม่สมเหตุสมผลแต่พวกเขาไม่ใช่เบี้ยของนักการเมืองแต่เป็นตำแหน่งและหน้าที่เสียมากกว่าและกล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาก็ไม่ได้มีตำแหน่งในโลกใบนี้มากนักและสนับสนุนพรรคการเมืองต่างๆ อย่างลับๆ ตามธรรมชาติแล้วความขัดแย้งประเภทนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะตราบใดที่ลัทธิมารเหล่านั้นมีความคิดอยากจะเข้าสู่เวทีการเมืองความขัดแย้งแบบนี้ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ภายในหนึ่งวันอย่างแน่นอน
ตลอดทางไม่ว่าเย่เชียนจะล้อเล่นและหยอกล้ออย่างไรหูวเค่อก็ดูเหมือนจะเพิกเฉยอยู่เสมอและดูเหมือนว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างในใจ สิ่งนี้ทำให้เย่เชียนหดหู่มากแต่เขาก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะหญิงสาวคนนี้มาจากพื้นเพที่ต่างออกไปและปู่ของเธอก็เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีของประเทศจีน ดังนั้นจุดยืนของเธอจึงลำบากอย่างมากแต่เย่เชียนต่างไปจากเธอเพราะเขาได้ลิ้มรสความขมขื่นที่ก้นบึ้งของสังคมและไม่ได้รู้สึกห่วงใยนักการเมืองเหล่านั้นเลย ดังนั้นเขาจึงไม่มีความประทับใจที่ดีต่อนักการเมืองเหล่านั้นและแน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้ประเทศของเขาถูกรังแกอย่างแน่นอน
รถก็ค่อยๆ ขับเข้าไปในซอยอย่างช้าๆ และเมื่อทหารยามที่ประตูเห็นเย่เชียนแล้วเขาก็ปล่อยให้เข้าไปโดยธรรมชาติ เย่เชียนและหูวเค่อก็จอดรถที่บริเวณด้านนอกของบ้านตระกูลหม่าและเดินเข้าไปพร้อมกับของขวัญ ถ้าเย่เชียนรู้ว่าเขาต้องมาหาหม่าเต๋อหงล่ะก็เขาคงจะไม่ใช้เงินจำนวนมากไปเพื่อซื้อของขวัญชิ้นนี้อย่างแน่นอน เมื่อนึกถึงสิ่งนี้มันทำให้หัวใจของเย่เชียนปวดร้าวอย่างมาก
หูวเค่อก็งุนงงอย่างมากและมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจและไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเย่เชียนกับตระกูลหม่าเลย ซึ่งทันทีที่ออกจากรถหม่าห่าวยู่ก็รีบวิ่งออกมาจากด้านในและหลังจากเห็นเย่เชียนเขาก็ตะโกนเรียก “พี่ชาย” อย่างตื่นเต้นและพาเย่เชียนเข้าไปข้างในทันที
หม่าห่าวยู่ก็หันไปมองหูวเค่อข้างๆ เย่เชียนแล้วพูดว่า “พี่สาวครับ..พี่เป็นสะใภ้ของผมเหรอ..หน้าตาและรูปร่างของพี่สาวคู่ควรกับพี่ชายของผมจริงๆ”
เย่เชียนก็กลอกตาไปมาและเคาะหัวของหม่าห่าวยู่อย่างขี้เล่นแล้วพูดว่า “ไอ้หนูอย่าเพิ่งพูดเรื่องไร้สาระ..ไปเรียกใครสักคนมาหาฉันหน่อย”
หม่าห่าวยู่ก็ยิ้มอย่างร่าเริงและเรียกหูวเค่อว่า “พี่สะใภ้” จนทำให้หูวเค่อยิ่งงุนงงมากขึ้นไปอีกและเธอก็ไม่รู้ว่าเย่เชียนเข้ามาเกี่ยวข้องกับตระกูลหม่าตั้งแต่เมื่อไหร่และยังดูเหมือนว่าพวกเขาก็ยังสนิทสนมกันมาก แน่นอนว่าหูวเค่อรู้ว่าหม่าห่าวยู่คนนี้เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของหม่าเต๋อหงแต่ที่เขาเรียกเย่เชียนว่าพี่ชายนั้นค่อนข้างที่จะน่าประหลาดใจ ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเย่เชียนกับตระกูลหม่านั้นเป็นอย่างไรและดูเหมือนจะค่อนข้างคลุมเครือ เธอจึงหันไปมองเย่เชียนด้วยความงุนงง
เย่เชียนก็ขดริมฝีปากเล็กน้อยและพูดว่า “เอ่อ..ผมเพิ่งรู้เมื่อสองวันก่อนว่าหม่าเต๋อหงเป็นปู่บุญธรรมของผม”
หูวเค่อก็ตกตะลึงและพยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อเข้าไปข้างในหม่าเต๋อหงก็รออยู่ที่ห้องโถงแล้วและเมื่อเห็นเย่เชียนกับหูวเค่อเข้ามาหม่าเต๋อหงก็หัวเราะและรีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ทำไมเอ็งไม่บอกฉันก่อนที่จะมาล่ะ?” จากนั้นเขาก็หันไปมองหูวเค่อแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เค่อเอ๋อร์ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นสะใภ้ของหลานชายฉัน”
การพูดคำว่า ‘สะใภ้’ สามคำติดต่อกันจนเธอไม่รู้แล้วว่ามันดีหรือมันน่าอายกันแน่ “ว่าแต่ปู่กับอาจารย์ของเธอสบายดีหรือเปล่า” หม่าเต๋อหงถาม
“สบายดีค่ะ” หูวเค่อพูด “ท่านผู้อาวุโสคะครั้งนี้ท่านอาจารย์ให้ฉันมาเยี่ยมเพราะมีเรื่องที่จะปรึกษากับท่านผู้อาวุโสค่ะ” เมื่อเป็นเรื่องนี้หูวเค่อจึงใช้คำพูดที่เป็นทางการ
“เธอเป็นสะใภ้ของเสี่ยวเชียนเพราะงั้นถ้าเธอไม่ว่าอะไรก็เรียกฉันว่าปู่เถอะ” หม่าเต๋อหงพูด “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอจะพูดเรื่องอะไร”
หูวเค่อก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วก็โล่งใจเพราะด้วยพลังของตระกูลหม่าในเมืองปักกิ่งแล้วมันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ว่าคนของลัทธิมารและสำนักม่อจื้อได้มาเยือนเมืองหลวงแล้วและเกรงว่าพวกเขาคงจะส่งคนออกไปเรียบร้อยแล้วเพื่อสังเกตการณ์
“มานั่งที่นี่สิ” หม่าเต๋อหงพูดแล้วสั่งคนใช้ให้เตรียมชา
หลังจากหยุดไปชั่วขณะหม่าเต๋อหงก็พูดต่อ “ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับลัทธิมารแล้วและความสัมพันธ์ระหว่างสี่เสาหลักกับแปดตระกูลใหญ่ในตอนนี้นั้นก็ไม่ค่อยจะดีนัก..ฉันเกรงว่ามันคงยากที่จะรวมตัวกันอีกครั้งและยิ่งไปกว่านั้นลัทธิมารก็มีคนของสำนักม่อจื๊อสมรู้ร่วมคิดด้วย..มันคงยากสำหรับเราที่จะรับมือกับพวกนั้น”
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ เรื่องนี้มันยุ่งยากขนาดนั้นเลยเหรอ? ..ด้วยความแข็งแกร่งของคุณแวดวงทหารและแวดวงทางการเมืองและธุรกิจแล้วการกำจัดพวกลัทธิมารนั้นยังไม่พออีกเหรอ? ..ยกตัวอย่างตระกูลหม่าที่มีกองพลทหารเขตปักกิ่ง..ประกอบไปด้วยกองพลยานเกราะสองกอง..กองทหารราบยานยนต์สองกอง..กองทหารราบยานยนต์หนึ่งกอง..กองพลป้องกันภัยทางอากาศสองกอง..กองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานสองกอง..กองพลปืนใหญ่สามกอง..กองพลขีปนาวุธพื้นสู่อากาศหนึ่งกอง..กองพลสะเทินน้ำสะเทินบกหนึ่งกอง..กองทหารป้องกันสารเคมีและยังมีกองทหารรักษาการณ์ทั่วเมือง..ซึ่งยังมีกองทัพอากาศยานและเครื่องบินรบอีกและนอกชายฝั่งก็มีเรือรบด้วย..ทั้งหมดมีบุคลากรมากกว่าสามแสนคนในเขตทหารทั้งหมดและด้วยกำลังดังกล่าวหากต้องการกำจัดพวกนั้นจริงๆ ลัทธิมารอะไรนั่นก็ไม่สามารถต้านทานได้หรอก” เย่เชียนพูดอย่างหดหู่เล็กน้อย
หม่าเต๋อหงก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ดูเหมือนว่าเอ็งจะรู้เรื่องของเขตทหารปักกิ่งเป็นอย่างดีเลยนี่หน่า..แต่ก็อย่าไปประมาทพลังของลัทธิมารเชียวล่ะ”
.