ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 888 ความคิดของเด็ก
ตอนที่ 888 ความคิดของเด็ก
การมีลูกที่มีพรสวรรค์ไม่ว่าใครก็มีความสุขอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เย่เชียนเองก็เป็นคนธรรมดาเช่นกันและเขาก็มีอารมณ์เหมือนคนทั่วๆไป ซึ่งในฐานะคนเป็นพ่อเมื่อเขารู้ว่าลูกชายของเขามีความสามารถมากขนาดนี้แน่นอนว่าเขาต้องตื่นเต้นและไม่รู้ว่าทำไมเมื่อคิดดูแล้วเขาก็รู้ตกตะลึงเพราะเด็กอายุเพียง 2 ขวบไม่เพียงแต่คำนวณสูตรคูณสองหลักได้เท่านั้นแต่ยังเห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวเล็กคนนี้รู้มากกว่านั้นและแม้แต่ทฤษฎีการคาดเดาของโกลด์บาคเขาก็รู้ ซึ่งถ้านี่ไม่ใช่อัจฉริยะแล้วมันคืออะไร?
หากเด็กคนนี้ได้รับการฝึกฝนอย่างดีล่ะก็เย่เชียนเชื่อว่าความสำเร็จในอนาคตของห่าวหรานจะสูงกว่าของเขาเองอย่างแน่นอน ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เย่เชียนเห็นเด็กคนนี้เย่เชียนก็รู้สึกเสมอว่าเจ้าตัวเล็กคนนี้ไม่เหมือนตัวเองแต่เหมือนฉินหยูมากกว่า แต่เขารู้สึกว่าเย่หลินนั้นมีความกล้าหาญเหมือนเขาตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะเก่งกว่าเขามาก
เย่เชียน,ฉินหยูและเย่ห่าวหรานครอบครัวทั้งสามได้ไปที่สวนสนุกเพื่อเที่ยวเล่นทั้งรถไฟเหาะ,เรือโจรสลัดและวิดีโอเกมทุกประเภท เด็กน้อยไม่ได้ทำตัวเหมือนเด็กคนอื่นเลยและแม้แต่บนรถไฟเหาะเย่เชียนก็กรีดร้องด้วยความตกใจแต่เด็กคนนี้มองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจจนทำให้เย่เชียนขมขื่นเล็กน้อย ซึ่งเมื่อเล่นวิดีโอเกมเด็กตัวเล็กๆก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความอัจฉริยะและความสามารถของเขา ซึ่งในสองรอบแรกเย่เชียนยังคงสามารถเอาชนะเขาได้แต่ในอีกสองสามรอบถัดไปเย่เชียนได้พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
ในท้ายที่สุดเย่ห่าวหรานก็ไม่ได้มีความสนใจใดๆอีกเลยดังนั้นเขาจึงออกจากสวนสนุกไป จนเย่เชียนสงสัยว่าแจ็คควรลองแข่งกับห่าวหรานดูดีไหมในครั้งต่อไปเพราะน้องชายคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิดีโอเกมและมันคงจะน่าสนใจถ้าให้พวกเขาแข่งขันกัน เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆเพราะด้วยความสามารถในการเรียนรู้ที่แข็งแกร่งของเด็กน้อยคนนี้ถ้าเขาได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ล่ะก็ความสำเร็จในอนาคตของเขาอาจจะสูงกว่าตัวเขาเองมากเลยใช่ไหม? ซึ่งเย่เชียนอาศัยแค่โอกาสล้วนๆมาโดยตลอดไม่เช่นนั้นเขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรในวันนี้ แต่ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ที่แข็งแกร่งของเย่ห่าวหรานแล้วเย่เชียนไม่สามารถเทียบกับเขาได้เลย
หลังจากออกจากสวนสนุกแล้วทั้งสามก็รีบไปที่ร้านหนังสือ ซึ่งเย่เชียนไม่เคยชอบอ่านหนังสือเลยและหนังสือยอดนิยมเกี่ยวกับกองกำลังพิเศษและทหารรับจ้างในตลาดก็ดูเหมือนจะจอมปลอมเกินไปสำหรับเย่เชียนและมันไม่ใช่เรื่องจริงเลย พูดได้เลยว่าล้วนแต่เป็นความเพ้อฝันของคนที่ไม่เคยเป็นทหารที่นำเรื่องเหล่านี้มาเขียนมั่วๆเท่านั้น
เด็กน้อยเดินเข้าไปในร้านหนังสือราวกับเป็นผู้ใหญ่และเดินวนเวียนอยู่หน้าชั้นหนังสือทุกประเภทจนเย่เชียนกับฉินหยูกลายเป็นเหมือนบอดี้การ์ดไปเลย ซึ่งเด็กน้อยก็เลือกหนังสือการ์ตูนสำหรับเด็กและการแพทย์แผนจีน,หนังสือภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์และสารานุกรม อย่างไรก็ตามหนังสือเหล่านั้นค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อนและเย่เชียนก็กะพริบตาและอดคิดไม่ได้ว่าเด็กน้อยคนนี้สามารถอ่านได้ทั้งหมดเลยงั้นเหรอ?
ไม่ต้องพูดถึงเย่เชียนเลยเพราะแม้แต่พนักงานขายในร้านหนังสือก็ยังตกใจเพราะเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่เด็กน้อยตัวเล็กๆจะเลือกหนังสือมากมายขนาดนี้และแน่นอนว่าเสียงประจบประแจงก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยบอกว่าเด็กน้อยคนนั้นต้องเป็นอัจฉริยะและเขาจะต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ในอนาคตอย่างแน่นอน
เย่เชียนไม่ได้คาดหวังให้เย่ห่าวหรานจะเป็นนักวิทยาศาสตร์เพราะสิ่งที่เขาหวังมากกว่านั้นคือเด็กน้อยตัวเล็กๆคนนี้เมื่อเติบโตขึ้นจะสามารถเป็นเหมือนตัวเขาเองได้และแม้กระทั่งเหนือกว่าตัวเขาเอง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะน่าเบื่อไปหน่อยสำหรับเย่เชียน
หนังสือที่เย่ห่าวหรานซื้อนั้นหนักอย่างน้อยๆหนึ่งร้อยกิโลกรัมจนเย่เชียนต้องตกตะลึงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ยังคงโล่งใจมากเพราะไม่ว่าเย่ห่าวหรานจะคิดอะไรแต่ตราบใดที่เขาต้องการเย่เชียนก็เต็มใจที่จะมอบทุกอย่างให้เขาโดยไม่ต้องกังวล ในเวลานี้สามพ่อแม่และลูกก็นั่งอยู่ที่ร้านอาหารตรงสี่แยกมุมถนน ซางเย่ห่าวหรานนั้นไม่ใช่คนกินจุกจิกและไม่บ่นว่าอยากกิน KFC หรือ McDonald’s เหมือนเด็กคนอื่นๆเลย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วเย่เชียนก็ส่งฉินหยูกับเย่ห่าวหรานกลับไปที่บ้านจากนั้นเขาก็ขับรถไปที่โรงเรียนของเย่หลิน เพราะเย่เชียนไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนักแต่เย่เชียนก็รู้สึกมีความสุขถึงแม้ว่าเขาจะใช้เวลาเพียงนาทีเดียวกับพวกเขาก็ตาม
เมื่อเย่เชียนมาถึงโรงเรียนของเย่หลินแล้วจากระยะไกลเขาก็เห็นเย่หลินยืนอยู่ที่ประตูโรงเรียนและมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเย่เชียนคิดว่าเธอน่าจะเป็นครูเย่หลิน หลังจากจอดรถเย่เชียนก็เดินลงจากรถไปและเมื่อเด็กหญิงตัวเล็กๆเห็นเย่เชียนเธอก็รีบวิ่งไปหาด้วยความตื่นเต้นทันที เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็อุ้มเธอขึ้นมาในอ้อมแขนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นไงสาวน้อยคิดถึงพ่อมั้ย”
“ถ้าหนูบอกว่าไม่คิดถึงพ่อจะเชื่อมั้ย?” เย่หลินหันหน้าหนีแล้วพูด
“แน่นอนพ่อไม่เชื่อหรอก..ถ้าหนูกล้าเมินพ่อล่ะก็พ่อจะตีหนู” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวที่อยู่ข้างๆเย่หลินก็เดินเข้ามาและเหลือบมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “คุณเป็นพ่อของเย่หลินใช่มั้ยคะ?..สวัสดีค่ะฉันเป็นครูประจำชั้นของเย่หลินและชื่อของฉันคือจ้าวหลิงค่ะ”
“จ้าวหลิง..เป็นชื่อที่ดีมาก” เย่เชียนพูด “สวัสดีครับอาจารย์จ้าว..ขอบคุณที่ช่วยดูแลเด็กคนนี้..เธอค่อนข้างซนและหัวดื้อไปหน่อย..ผมต้องรบกวนคุณครูให้อบรมวินัยให้เธอในอนาคตด้วย..ถ้าเธอไม่เชื่อฟังก็ตีสั่งสอนได้เลย”
จ้าวหลิงก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นยิ้มและพูดว่า “เราไม่มีการลงโทษทางร่างกายค่ะนอกจากนี้เย่หลินเองก็เชื่อฟังและเป็นเด็กดีมาก..ผลการเรียนของเธอก็ดีเช่นกัน..เธอก็เป็นที่นิยมในหมู่ครูและนักเรียนอย่างมาก ”
เย่เชียนจ้องไปที่เย่หลินแล้วพูดว่า “สิ่งที่อาจารย์พูดจริงเหรอ..ลูกไม่ได้ทำอะไรลับหลังใช่มั้ย?” เย่เชียนรู้จักเย่หลินดีเพราะเธอมักจะทำเป็นเก่งต่อหน้าคนอื่นและดูเหมือนจะเป็นเด็กดีแต่เบื้องหลังเธอคิอพญาเสือโคร่งในโรงเรียนนั่นเอง เหล่านักเรียนชอบเธองั้นเหรอ? เย่เชียนไม่อยากจะเชื่อเลย
“พ่อกำลังพูดถึงเรื่องอะไร..พ่อจะไม่เชื่อใจลูกสาวงั้นหรอ..หลินหลินเป็นเด็กดีมาก” เย่หลินเหลือบมองเย่เชียนด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และหันไปมองจ้าวหลิงและพูดว่า “พอดีผมไปซื้อหนังสือให้น้องชายของหลินหลินอยู่ผมก็เลยมาสายหน่อย..ต้องขอโทษครูจ้าวด้วยที่เลิกงานแล้วต้องมาอยู่เฝ้าหลินหลิน..ครูจ้าวคงยังไม่ได้กินมื้อเย็นใช่มั้ย..ถ้างั้นเราก็ไปกินมื้อเย็นด้วยกันสิ..ผมขอเลี้ยงคุณในฐานะแขกและขอบคุณครูจ้าวที่คอยดูแลหลินหลิน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หลินก็ฉีกยิ้มอย่างชั่วร้ายและเธอก็เอนตัวเข้าไปข้างๆหูของเย่เชียนแล้วพูดว่า “พ่อชอบครูจ้าวใช่มั้ย?..ถ้าพ่อชอบครูจ้าวหนูก็สามารถช่วยพ่อได้” เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปมาเพราะสาวน้อยคนนี้คิดอะไรเกินเด็กจริงๆ
“ครูเจ้าคะ..ตั้งแต่แม่ของฉันหนูชีวิตไปพ่อก็ไม่ได้หาแฟนอีกเลย..มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะดูแลหนูและน้องชายของหนูในฐานะพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่เป็นทั้งพ่อและแม่..หนูหวังเสมอว่าพ่อของจะหาแฟนสักคนมาเป็นแม่เลี้ยง..แต่พ่อกลัวว่าแม่เลี้ยงจะทำร้ายหนูกับน้องชายเพราะเขาก็เลยอยู่คนเดียวจนถึงตอนนี้..ครูจ้าวคะทำไมครูไม่มาเป็นแม่เลี้ยงของหนูล่ะ” เย่หลินพูดอย่างเฉียบขาด
เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเพราะสาวน้อยคนนี้เก่งเกินไปที่จะทำสิ่งต่างๆใช่ไหม? แค่เธอลืมตาเธอก็พูดเรื่องไร้สาระอย่างไม่อายใคร อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็มีความสุขมากที่เย่หลินสามารถพูดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสบายใจซึ่งเพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าหัวใจของเธอได้ละทิ้งภาพจำการตายของจีเหมิงฉิงแม่แท้ๆของเธอไปแล้ว
จ้าวหลิงก็ตกตะลึงเช่นกันและหน้าเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและเขินอายอย่างมาก จากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เชียนและยิ้มอย่างขอโทษแล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะคุณเย่..แต่ฉันต้องกลับบ้านตอนเที่ยงและนอกจากนี้มันก็เป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องดูแลนักเรียนให้ดี..เพราะงั้นคุณเย่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ..คราวหน้าถ้ามีโอกาสผมก็ขอเชิญคุณจ้าวไปทานข้าวกันสักมื้อนะครับ” เย่เชียนนั้นไม่เคยคิดที่จะจุดประกายใดๆกับครูคนนี้เลย นอกจากนี้ตอนนี้เย่เชียนไม่สามารถมีความคิดแบบนั้นได้เลย หลังจากนั้นเย่เชียนก็กอดเย่หลินและหันกลับเพื่อเดินไปที่รถ เย่เชียนก็เกาจมูกเย่หลินแล้วพูดว่า “สาวน้อยอย่าพูดไร้สาระสิ..ถ้าพ่อบอกพวกป้าๆถึงสิ่งที่หนูเพิ่งจะพูดออกไปรู้ไหมว่าผลจะเป็นยังไง?”
เย่หลินก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “หนูไม่กลัวหรอก..เพราะพ่อนั่นแหละที่ชอลหลงตัวเอง..พ่อล่ะกล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจหรือเปล่า..ถ้าพ่อไม่กลัวพวกคุณป้าหยิกหูนะ”
หยุนหยานเหมินก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เพราะเด็กผู้หญิงคนนี้ฉลาดมาก “ว่าแต่พ่อขอถามหน่อยว่าลูกใช้ห่าวหรานทำการบ้านให้หรือเปล่า?” เย่เชียนถาม
“เจ้าบ้านั่นบอกพ่อเหรอ..หืม..เจ้าน้องชายตัวแสบ!” เย่หลินทำหน้าบึ้งแล้วพูดว่า “พ่อคะพ่อไม่ได้เป็นคนบอกหนูเหรอว่านักปราชญ์มักจะอยู่อย่างสบายและใช้คนเขลาทำงานให้น่ะ..หนูเป็นคนฉลาดเพราะงั้นหนูก็เลยให้คนอื่นทำแทน”
“อย่าพูดหยาบคายแบบนี้สิ” เย่เชียนกลอกตามองเธอแล้วพูดว่า “ตอนนี้หนูจะเรียนไม่เก่งเพราะห่าวหรานทำการบ้านให้หนู..แบบนี้หนูจะทำยังไงเมื่อทำข้อสอบ..พ่อต้องสั่งสอนลูกๆแล้วถ้าพ่อกลับไป”
เย่หลินก็ยิ้มแหยงๆแหละดูเหมือนเธอจะไม่สนใจแต่เธอแอบคิดในใจเธอว่าพ่อไม่รู้หรือไงว่าเย่ห่าวหรานเป็นคนแบบไหน? พูดง่ายๆก็คือเขาเป็นหนอนหนังสือและถ้าหากมีการบ้านเขาก็จะขอเธอทำเสมอ
ขณะที่เขากำลังจะขึ้นรถจู่ๆรถสปอร์ตของปอร์เช่ก็ขับผ่านเย่เชียนซึ่งเป็นการดริฟท์ที่สมบูรณ์แบบและหยุดอยู่ตรงหน้าจ้าวหลิง ซึ่งถ้าหากไม่ใช่เพราะเย่เชียนที่มีไหวพริบพอก็คงจะถูกชนไปแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ขมวดคิ้วและความโกรธก็ปะทุขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ หากเป็นเพียงเขาเย่เชียนก็อาจจะลืมและปล่อยมันไปได้แต่เขามีเย่หลินอยู่ในอ้อมแขนด้วยเพราะงั้นเย่เชียนจะไม่มีวันยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับเธออย่างแน่นอน
เมื่อประตูของรถปอร์เช่เปิดออกอย่างช้าๆชายชราในวัยสี่สิบก็เดินออกมาจากรถและถือช่อกุหลาบสดใสในมือและเดินไปหาจ้าวหลิงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณจ้าวเราไปทานอาหารกลางวันด้วยกันเถอะ” ด้วยใบหน้าที่ประจบสอพลอเพื่อเอาใจคนอนาถาใครๆก็สามารถบอกได้ว่าเขามีความคิดที่เลวร้ายอยู่ในใจอย่างเห็นได้ชัด
.