ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 924 ปู่ในอนาคต
ตอนที่ 924 ปู่ในอนาคต
ในห้องประชุมเย่เชียนพูดคำที่ฟังดูไพเราะบางอย่างเพื่อเอาชนะใจผู้บริหารเหล่านี้และถึงแม้ว่าเย่เชียนรู้ดีว่าคนเหล่านี้จะไม่จริงใจเลยก็ตามแต่เย่เชียนไม่สามารถขอให้ทุกคนจริงใจเหมือนพี่น้องเขี้ยวหมาป่าได้เพราะทุกคนย่อมเห็นแก่ตัวและเย่เชียนก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
เย่เชียนไม่ได้ขอให้คนเหล่านี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างซื่อสัตย์แต่ขอให้พวกเขาไม่ทรยศต่อเขาก็พอแล้ว ท้ายที่สุดถ้าเขาไม่ชนะคนเหล่านี้ในเวลานี้มันจะนำไปสู่การล่มสลายของบริษัททะเลสี่ทิศอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงคนเหล่านี้เพราะแม้แต่คนที่มาจากเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเองก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าทุกคนจะจริงใจเพราะในชีวิตเราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนมากเกินไปแค่มีไม่กี่คนก็ที่จริงใจต่อกันก็พอ นอกจากนี้เย่เชียนยังมีกลุ่มพี่น้องที่คู่ควรในการปกป้องอยู่
พฤติกรรมของชางกวนเจ้อนั้นเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจของตระกูลในสายตาคนปกติแต่ที่สำคัญกว่านั้นพฤติกรรมดังกล่าวนั้นเป็นการขายชาติให้กับประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงไม่จำเป็นต้องให้เย่เชียนเข้าไปแทรกแซงและหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะจัดการเองโดยธรรมชาติ จุดประสงค์ของเย่เชียนคือเพียงเพื่อให้ได้บริษัททะเลสี่ทิศจากนั้นก็ใช้อิทธิพลมหาศาลของบริษัททะเลสี่ทิศในเมืองปักกิ่งเพื่อขยายสถานะของเครือน่านฟ้ากรุ๊ป ซึ่งเย่เชียนก็บรรลุเป้าหมายเหล่านี้แล้วเขาจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอื่นๆและมีสิ่งอื่นที่ต้องกังวลอยู่อีก
หลังจากรักษาเสถียรภาพเรื่องเหล่านี้ไว้ชั่วคราวแล้วเย่เชียน,เฟิงหลานและหลี่เหว่ยก็ออกจากบริษัททะเลสี่ทิศและให้กลุ่มที่ปรึกษาทางกฎหมายของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปควบคุมการดำเนินงานของบริษัททะเลสี่ทิศชั่วคราว จากนั้นจึงโทรศัพท์ไปหาซ่งหลันเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้และขอให้เธอส่งคนไปที่เมืองปักกิ่งเพื่อดูแลสถานการณ์ที่นี่โดยเร็วที่สุด
ซ่งหลันก็ตกลงโดยธรรมชาติเพราะเมืองปักกิ่งนั้นคือศูนย์กลางทางการเมืองของประเทศจีนและเครือน่านฟ้ากรุ๊ปจะต้องหยั่งรากอย่างทั่วถึงในที่แห่งนี้เพื่อที่มันจะเอื้อต่อการพัฒนาในประเทศจีนมากขึ้น อย่างไรก็ตามเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ยังคงเป็นบริษัทเอกชนและยากที่จะกลายเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นเครือน่านฟ้ากรุ๊ปจะต้องหยั่งรากในเมืองปักกิ่งก่อนแล้วจึงใช้ความสัมพันธ์เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ตัวอย่างเช่นการมีอยู่ของซิโนเปคบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่และบริษัทพลังงานไฟฟ้านั้นรัฐบาลจีนจะไม่สั่งห้ามหรือมอบข้อจำกัดให้พวกเขา ซึ่งซ่งหลันอยู่ในห้างสรรพสินค้ามาหลายปีแล้วและโดยธรรมชาติแล้วเธอก็ตระหนักดีถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและรัฐบาล ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่จำเป็นต้องเตือนเธอแต่เธอก็เข้าใจเป็นอย่างดี
ในท้ายที่สุดเย่เชียนก็บอกให้ซ่งหลันสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุดแล้วกลับมาเพราะสิ่งที่ประเทศญี่ปุ่นทำในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เย่เชียนโกรธแต่ยังทำให้โลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณและรัฐบาลจีนโกรธเกรี้ยวอีกด้วย สิ่งที่ร้ายแรงมากจะเกิดขึ้นต่อไปอย่างแน่นอนและการที่ซ่งหลันยังอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นต่อนั้นเธอจะเป็นอันตรายอย่างแน่นอน
ซ่งหลันตระหนักดีถึงสถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นมากกว่าเย่เชียนและถึงแม้ว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปจะมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งก็ตามแต่สถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นก็ตึงเครียดเกินไป ถึงแม้ว่าองค์กรเหล่านั้นในประเทศญี่ปุ่นจะไม่ดำเนินการใดๆกับเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแต่ซ่งหลันก็สามารถสัมผัสได้ถึงบางอย่างเช่นกัน นอกจากนี้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปได้หยั่งรากในประเทศญี่ปุ่นและจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงนี้อย่างแน่นอนดังนั้นซ่งหลันจึงกลับมายังประเทศจีนได้
หลังจากวางสายแล้วเย่เชียน,เฟิงหลานและหลี่เหว่ยก็ขับรถกลับไปที่บ้านของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอีกครั้ง หลังจากขับรถไปได้ไม่นานโทรศัพท์มือถือของเย่เชียนก็ดังขึ้นพร้อมกับหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยจนเย่เชียนรู้สึกสับสนได้เล็กน้อยและรับสาย จากนั้นเสียงของชายชราก็ดังมาจากฝั่งตรงข้ามซึ่งเสียงของชายชราคนนี้ดูสุภาพอย่างมาก “เหอเหอเย่เชียนไม่ได้เจอกันนานเลยนะ..เอ็งว่างหรือเปล่า?”
เย่เชียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างงุนงงว่า “ขอโทษนะครับคุณเป็นใคร?”
“เอ่อ..โทษทีๆฉันลืมบอกไป” ชายชราพูดด้วยรอยยิ้ม “แซ่สกุลของฉันคือหูว..หูวหนานเจียน..เอ็งจำได้หรือเปล่า?”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะและรีบพูดว่า “ผมขอโทษครับท่านรองนายกรัฐมนตรีหูว..ผมผิดเองที่จำไม่ได้แม้แต่เสียงของท่านรองนายกรัฐมนตรี”
“เราไม่ใช่คนนอกเพราะงั้นเอ็งก็ควรเรียกฉันว่าปู่สิ..ฮ่าฮ่า..แล้วเป็นไงบ้างตอนนี้เอ็งว่างหรือเปล่าออกมาคุยกันหน่อยสิ” หูวหนานเจียนพูด
“ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ผมจะไม่ว่างได้ยังไงล่ะครับ..ว่าแต่ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนผมจะไปหาทันที” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มและนี่คือปู่แท้ๆของหูวเค่อและยังเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีของประเทศจีนอีกด้วย ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องเคารพเขาอย่างมาก
“โรงน้ำชาโบราณกลางเมือง..เอ็งรู้หรือเปล่าว่ามันอยู่ที่ไหน” หูวหนานเจียนพูด
“ผมรู้ครับแล้วผมจะไปเดี๋ยวนี้” เย่เฉียนพูด “แล้วเจอกันครับ” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็พูดสองสามคำแล้ววางสายไป..จากนั้นเขาก็พูดกับหลี่เหว่ยว่า “จอดรถที่สี่แยกข้างหน้าที!”
หลี่เหว่ยก็พูดด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ว่า “บอสจะไปหาว่าที่คุณปู่ในอนาคตงั้นเหรอ?..ให้ตายเถอะบอสต้องระวังให้ดีนะเพราะถ้าเขาโกรธบอสจะไม่ได้แต่งงานกับหลานสาวของเขา”
เย่เชียนกลอกตาไปมาและพูดว่า “นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่ฉันบอกให้จอดก็จอด..จากนั้นนายก็ขับรถไปที่บ้านของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนซะเดี๋ยวฉันจะโทรหานายทีหลัง”
หลี่เหว่ยยิ้มและทำหน้าบึ้งแล้วหยุดรถที่สี่แยกเพื่อส่งเย่เชียนลง หลังจากที่เย่เชียนลงจากรถเขาก็โบกแท็กซี่และบอกคนขับให้ตรงไปยังโรงน้ำชาโบราณทันที
โรงน้ำชาโบราณนั้นมีสถานะที่สูงมากในเมืองปักกิ่งเพราะลูกค้าและแขกส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ล้วนเป็นบุคคลระดับสูงทางการเมืองและท้ายที่สุดพวกเขาเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่ยังคงรักวัฒนธรรมชาที่สืบทอดกันมานาน ซึ่งสิ่งที่พวกเขาชอบคือวัฒนธรรมที่หลงเหลือจากสมัยก่อนมากกว่าขยะที่ส่งมาจากแถบตะวันตกและไม่ว่าพวกเขาจะดื้อรั้นหรืออนุรักษนิยมแต่ก็ยังมีบางสิ่งที่คนหนุ่มสาวยุคใหม่ต้องเรียนรู้จากคนรุ่นก่อนๆซึ่งเป็นมรดกทางอารยธรรมจีนที่งดงาม
รูปแบบของโรงน้ำชาโบราณนั้นเป็นสถาปัตยกรรมของยุคราชวงศ์หมิงซึ่งหาได้ยากมากในสมัยนี้ ซึ่งภายในมีภาพวาดโบราณและการประดิษฐ์ตัวอักษรที่แขวนอยู่มากมายและพนักงานเสิร์ฟทุกคนก็แต่งกายด้วยชุดกี่เพ้าซึ่งค่อนข้างหรูหราราวกับในวัง โรงน้ำชาทั้งหลังเต็มไปด้วยบรรยากาศโบราณแบบสมัยก่อนซึ่งทำให้ผู้คนมีอารมณ์ที่เงียบสงบและผ่อนคลาย
แท็กซี่จอดรถที่ทางเข้าโรงน้ำชาและทันทีที่เย่เชียนลงจากรถเขาก็รู้สึกว่ามีบรรยากาศของสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ข้างหน้าเขาซึ่งทำให้เขารู้สึกสบายและผ่อนคลายอย่างมาก ที่ประตูมีผู้คุ้มกันสองคนยืนอยู่อย่างเงียบๆด้วยท่าทางที่สงบและสุขุม จากท่ายืนจะเห็นได้ว่าพวกเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดและแน่นอนว่าบอดี้การ์ดของคนระดับหูวหนานเจียนนั้นจะต้องไม่ธรรมดาและเขาจะไปไหนมาไหนโดยไม่มีบอดี้การ์ดคุ้มกันมันก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ที่ประตูเย่เชียนเอ่ยชื่อหูวหนานเจียนจากนั้นบอดี้การ์ดก็เดินนำเย่เชียนไปที่ห้องส่วนตัวVIPและที่ประตูห้องส่วนตัวบอดี้การ์ดสองคนก็ยังคงยืนอยู่ด้วยท่าทีที่จริงจังมากและค้นตัวเย่เชียนอย่างจริงจัง แน่นอนว่าเย่เชียนไม่ขัดขืนใดๆและมอบมีดคลื่นโลหิตให้กับบอดี้การ์ดโดยตรงเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจ เย่เชียนไม่กลัวว่าพวกเขาจะหักหลังเพราะคนเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบมาอย่างเข้มงวดและมีการรับประกันที่ดีจากรัฐบาลระดับสูงของจีน
เมื่อเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้วหูวหนานเจียนก็กำลังนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีสาวกี่เพ้านั่งยองๆอยู่หน้าโต๊ะกาแฟตรงหน้าเขาและกำลังชงชา ซึ่งเหล่าพนักงานที่นี่พวกเธอคุ้นเคยกับการบริการให้บุคคลระดับสูงดังนั้นจึงไม่มีความประหม่าใดๆเลยแม้แต่น้อยและพวกเธอทั้งหมดก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดจนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจศิลปะของการชงชาอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาหูวหนานเจียนก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วโบกมือให้สาวชงชาออกไปก่อน จากนั้นก็บอกให้เย่เชียนนั่งลงซึ่งเย่เชียนที่ไม่เคยสุภาพก็ต้องแสร้งทำเป็นสุภาพในเวลานี้เพราะย่อมเป็นการเสแสร้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามหูวหนานเจียนก็ไม่ใช่คนนอกดังนั้นเวลาเย่เชียนพูดหรือทำอะไรด้วยความสุภาพเกินไปจะทำให้ดูไม่เหมาะสมเล็กน้อย
“เย่เอ๋อร์ฉันขอเรียกเอ็งอย่างนี้ได้หรือเปล่าฮ่าฮ่า..ด้วยความสัมพันธ์ในปัจจุบันของเอ็งกับเค่อเอ๋อร์แล้วก็ถือว่าฉันเป็นปู่ของเอ็งเหมือนกัน” หูวหนานเจียนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยและเอื้อมมือไปรินชาให้เย่เชียนแต่เย่เชียนก็รีบหยุดเขาจากนั้นก็หยิบกาน้ำชาเพื่อรินชาให้หูวหนานเจียนก่อนเพราะเขารู้ว่านี่เป็นมารยาทและเขาก็ต้องมีอย่างอื่นที่จะพูดกับตัวเอง
“วันนี้ไม่มีอะไรต้องกดดันเพราะมันก็แค่ปู่กับหลานมาคุยกันเฉยๆ” หูวหนานเจียนพูด “ฉันรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศญี่ปุ่นและจีนในทุกวันนี้และฉันก็รู้ด้วยว่าเอ็งยึดครองบริษัททะเลสี่ทิศได้แล้วอย่างเป็นทางการในวันนี้ใช่มั้ย?”
เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆแต่ไม่ตอบอะไรใดๆจากนั้นเขาก็ค่อยๆจิบชาแล้วพูดว่า “ผมไม่เคยเข้าใจพิธีชงชาเลยแต่ผมก็ชอบการดื่มชาพูดตามตรงผมคิดว่าผมเป็นคนหัวโบราณด้วยซ้ำแต่คนอื่นๆบอกว่าผมยังเด็กแต่ผมไม่รู้ว่านี่คือคำชมหรือคำเสียดสีกันแน่แต่ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่มีที่ไหนดีเท่ากับบ้านเกิดของผมแล้ว” เย่เชียนพูดต่อ “ผมเชื่อว่าคุณเองก็รู้ว่าตั้งแต่ผมเด็กๆผมถูกรับเลี้ยงโดยชายชราเก็บขยะและผมเรียกเขาว่าพ่อ..ถึงแม้ว่าพวกเราจะอยู่ก้นบึ้งของสังคมแต่เขาก็เล่าให้ผมฟังว่าความคิดมีอิทธิพลต่อชีวิตและผู้ชายอย่างเราก็ต้องหนักแน่นและทำเพื่อประเทศชาติและไม่ทำเพื่อตัวเอง..ผมเชื่อว่าคุณเองก็น่าจะรู้ด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนเกาะไต้หวันและประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นสิ่งที่ผมทำ..บางคนอาจคิดว่าผมเป็นวีรบุรุษแต่ผมก็พูดอย่างมั่นใจว่าผมทำเพื่อประเทศชาติ..ผมอาจพูดให้ตัวเองดูน่าทึ่งแต่ก็จริงเพราะสิ่งที่พ่อสอนผมอย่างหนึ่งคือความรับผิดชอบเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่ได้ทำเพื่อชาติและไม่ใช่เพื่อประเทศแต่เป็นเพราะการแก้แค้นนั่นเอง”
.