ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 936 กลับบ้านตระกูลเย่
ตอนที่ 936 กลับบ้านตระกูลเย่
ถึงแม้ว่าดวงตาของหลี่ซือจะเต็มไปด้วยความกลัวแต่เธอก็ยังพูดอย่างหนักแน่น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้เธอกลัวอย่างมากและไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเมื่อเธอมาที่เมืองปักกิ่ง หวังชิงเฉิงสุนัขที่เคยรับใช้พ่อของเธอตอนนี้เขากล้าที่จะปฏิบัติต่อตัวเองแบบนี้และแน่นอนว่าหลี่ซือนั้นก็รู้จุดประสงค์ของเขาอย่างชัดเจน
เย่เชียนมองดูและอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างลับๆ
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าหวังชิงเฉิงนั้นเลวทรามเพราะเขาทำงานให้กับเฉินฉิงพ่อของเฉินซือหรือหลี่ซือมานานหลายปีแต่ตอนนี้เขากลับทรยศหักหลังเจ้านายของตัวเอง
“ไม่!..เธอมาเยี่ยมฉันเป็นเพื่อนจ้าวเจียวเพราะงั้นฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน” เยว่ฟางยังคงยืนกรานอย่างดื้อรั้นต่อหน้าหลี่ซือและพูดอย่างหนักแน่น คนที่ไม่มีทางสู้แต่กลับมีความตั้งใจที่แน่วแน่เช่นนี้ก็ทำให้เย่เชียนพอใจและชื่นชมอย่างมาก
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ..ฉันอยู่ที่นี่แล้วเพราะงั้นจะไม่มีใครเป็นอะไรอย่างแน่นอน..อีกอย่างไอดอลของฉันก็อยู่ที่นี่ด้วยเพราะงั้นฉันจะปล่อยให้คนที่ฉันชื่นชมถูกคนอื่นทำร้ายได้ยังไง? ..ฉันอ่านนวนิยายมาสองสามปีแล้วและคนที่ฉันชื่นชมมากที่สุดคือคนที่มีความรู้” จากนั้นเขาก็หันไปมองทั้งสามคนแล้วพูดว่า “ฉันไม่สนหรอกว่าพวกแกจะเป็นใครหรือหัวหน้าของพวกแกคือใครเพราะงั้นออกไปซะ..ฉันไม่อยากทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้แล้วฉันจะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น..ไม่งั้นอย่ามาโทษฉันที่หยาบคายก็แล้วกัน”
“แกอย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องไม่อย่างนั้นแกได้เจ็บตัวแน่” หลังจากพูดจบชายหนุ่มก็จงใจเปิดเผยรอยสักบนแขนของเขาซึ่งเป็นรูปมังกรสีน้ำเงิน
เย่เชียนก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “รอยสักสวยน่าดูเลยนี่”
“แล้วแบบนี้เป็นไง?” ชายหนุ่มหยิบปืนพกขึ้นมาแล้วจ่อไปที่หัวของเย่เชียน เมื่อเห็นเช่นนั้นเยว่ฟ่าง,หลี่ซือและหูจ้าวเจียวก็ถึงกับตกตะลึงและมีความกลัวอย่างเห็นได้ชัดในสายตาของพวกเธอ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะกลัวอย่างไรก็ตามหลี่ซือก็ยังคงพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ถ้าพวกแกกล้าแตะต้องเขาล่ะก็ฉันจะฆ่าตัวตายที่นี่ตอนนี้..แบบนั้นพ่อของฉันก็จะไม่ปล่อยพวกแกไปอย่างแน่นอน”
คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือจับหลี่ซือกลับมาแบบมีชีวิตเพื่อที่พวกเขาจะได้มีอำนาจในการข่มขู่เฉินชิง ดังนั้นหากหลี่ซือตายไปสิ่งต่างๆ ก็จะแย่ลงอย่างมากและไม่เพียงแต่จะทำให้เฉินชิงโกรธเกรี้ยวเท่านั้นแต่ยังทำให้หัวหน้าของพวกเขาโกรธเกรี้ยวอีกด้วย
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วแล้วใบหน้าของเขาก็เย็นชาลงทันทีเพราะเดิมทีเขาเพียงต้องการให้คนเหล่านี้กลับไปโดยดี ซึ่งเขาไม่อยากไม่อยากสร้างศัตรูให้ตัวเองเพิ่มแต่ตอนนี้ปืนของอีกฝ่ายกลับต่ออยู่ที่หน้าผากของเขาแล้ว “ฉันเกลียดคนเอาปืนจ่อหัวฉันมากที่สุดในโลก” เย่เชียนพูดอย่างเย็นชาและทันทีที่เสียงจบลงมือขวาของเขาก็ยื่นออกมาและอีกฝ่ายก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ เลยแม้แต่น้อยแต่พอรู้สึกตัวอีกทีปืนในมือของชายหนุ่มถูกแยกชิ้นส่วนต่างๆ ออกเป็นชิ้นๆ ตามด้วยการเตะของเย่เชียนแล้วชายหนุ่มก็กระเด็นออกไปและมีเสียงของกระดูกที่แตกหักจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา
จากนั้นเย่เชียนก็พุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มอีกคนแล้วคว้าแขนของอีกฝ่ายและบิดอย่างรุนแรงๆ จนแขนหักทันที หลังจากนั้นเขาก็ใช้ข้อศอกกระแทกคออีกฝ่ายอย่างแรงจนร่างของอีกฝ่ายล้มลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นเย่เชียนก็หมุนตัวหันหลังกลับแล้วคว้าผมของชายหนุ่มคนสุดท้ายและกระแทกเข้ากับขอบเตียงจากนั้นชายหนุ่มก็หมดสติล้มลงไปกับพื้น
ทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นด้วยการใช้แขนเพียงข้างเดียวในการจัดการกับชายหนุ่มทั้งสามคนจนทำให้หลี่ซือและคนอื่นๆ ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ซึ่งนี่ยังคงเป็นความเมตตาของเย่เชียนไม่เช่นนั้นชายหนุ่มพวกนี้คงจะไปเข้าเฝ้าเทพเจ้าแห่งขุมนรกตั้งนานแล้ว จากนั้นเย่เชียนก็เหลือบมองชายหนุ่มทั้งสามคนแล้วพูดว่า “พวกแกโชคดีเพราะตอนนี้พวกแกอยู่บนรถไฟ..ถ้าพวกแกอยู่ที่อื่นก็คงไม่รอดแล้ว” ท้ายที่สุดที่นี่คือบนรถไฟและเย่เชียนก็ไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่ม
เย่เชียนหันไปมองที่เยว่ฟางแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมถึงไม่เรียกเจ้าหน้าที่มาจับกุมพวกเขาล่ะ..เราจะส่งตัวพวกเขาให้ตำรวจเมื่อพวกเขามาถึงเมืองเซี่ยงไฮ้”
หลังจากที่เยว่ฟางได้ยินแบบนั้นเขาก็รีบวิ่งออกไปทันที จากนั้นเย่เชียนก็หันไปที่หลี่ซือละหูจ้าวเจียวโดยไม่พูดอะไรเลยและเขาก็เดินไปหาหูวเค่อและนั่งลง “ตัวตนของผู้หญิงคนนี้ดูไม่ธรรมดาเลย” หูวเค่อกระซิบ “ฉันรู้จักพวกนี้พวกเขาทั้งหมดเป็นลูกน้องของหวังฉิงเซิง”
เย่เชียนก็งุนงงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หวังฉิงเซิงคือใคร..เขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ..ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินชื่อเขาเลย”
“เขาไม่ใช่คนใหญ่คนโตของรัฐบาลแต่เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันตกของจีนโดยเฉพาะในซีอาน..ที่นั่นเขามีอิทธิพลมาก”
“ซีอานอยู่ภาคตะวันตกงั้นเหรอ” เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและถามด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอนว่ามันอยู่ภาคตะวันตก..แต่แผนกของคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของภาคกลาง,ภาคตะวันตกและตะวันออกและฝ่ายภูมิศาสตร์ได้ระบุว่าซีอานไม่ได้อยู่ในแผนการพัฒนาประจำภาคตะวันตก” หูวเค่ออธิบาย
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วไม่พูดอะไรอีกหวังฉิงเซิงคนนี้มีอิทธิพลมากแค่ไหนหรือหลี่ซือจะเป็นใครนั้นก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลย ถ้าไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นเย่เชียนก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไม่นานหลังจากนั้นเย่ฟางก็เดินกลับมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟและหลังจากอธิบายถึงสถานการณ์สั้นๆ เขาก็พาชายหนุ่มทั้งสี่ออกไป ส่วนเย่เชียนกับหูวเค่อพวกเขาทั้งสองก็ต้องไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ ส่วนทางด้านหลี่ซือกับหูจ้าวเจียวและเยว่ฟางทั้งหมดก็กลับมาหลังจากเย่เชียนกับหูวเค่อกลับมาได้ไม่นานนัก
อาจเป็นเพราะเย่เชียนได้ช่วยชีวิตพวกเธอเอาไว้ดังนั้นในตอนนี้ทัศนคติและการแสดงออกของหลี่ซือจึงผ่อนคลายลงอย่างมากและเริ่มพูดคุยมากขึ้น อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะส่วนใหญ่จะเป็นหูวเค่อที่พูดคุยกับพวกเธอ การสนทนาของผู้หญิงนั้นไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อพวกเธอได้เริ่มพูดคุยกันและส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับแฟชั่นและเรื่องซุบซิบต่างๆนาๆ
เวลา 9 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้นรถไฟก็หยุดที่สถานีในเมืองเซี่ยงไฮ้ จากนั้นชายหนุ่มทั้งสี่คนก็ถูกพาตัวไปที่สถานีตำรวจใกล้เคียงและแน่นอนว่าหลี่ซือกับคนอื่นๆ ทั้งสามก็ต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ส่วนเย่เชียนและหูวเค่อนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ดังนั้นพวกเขาจึงออกจากสถานีรถไฟไป ยิ่งไปกว่านั้นหูวเค่อเองก็มีเอกสารพิเศษเกี่ยวกับตัวตนของเธอและตราบใดที่เธอแสดงมันให้กับเจ้าหน้าที่แล้วพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำให้เธอขุ่นเคือง
หลังจากพักอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้เป็นเวลาหนึ่งวันและหนึ่งคืนจากนั้นทั้งห้าคนก็บินตรงไปยังเมืองซานย่าเพราะมีเด็กถึงสองคนจึงไม่สะดวกขึ้นรถไฟและไม่มีรถไฟตรงไปยังเมืองนั้นอีกด้วยดังนั้นพวกเขาก็เลยเลือกนั่งเครื่องบินแทน
เมื่อพวกเขามาถึงบ้านตระกูลเย่ก็เป็นเวลาบ่ายสองของวันถัดไปแล้วและเมื่อเห็นเย่เชียนกลับมา ลูกศิษย์ของตระกูลเย่ที่เฝ้าประตูอยู่ก็ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วจึงรีบทำความเคารพ ไม่ว่าเย่เจิ้งเซียงจะไม่ชอบเย่เชียนมากแค่ไหนแต่เย่เชียนคือทายาทของตระกูลเย่ยังเป็นหลานชายที่เย่เจียอู๋รักมากอีกด้วยดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าละเลยใดๆ
ก่อนที่เย่เชียนจะมาเย่เชียนได้โทรหาถึงซูหยานแม่ของเขาโดยบอกว่าเขากำลังจะพาลูกชายและภรรยาไปพบเธอ ดังนั้นเธอจึงตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับทั้งคืนและเธอก็ตื่นแต่เช้าเพื่อเริ่มทำอาหารต้อนรับเหล่าลูกๆ
ชายชราเย่เจียอู๋ก็ความสุขมากโดยธรรมชาติ ครั้งก่อนเขารู้สึกมีความสุขมากเมื่อรู้ว่าหลานชายของเขากล้าที่จะต่อสู้กับหยานตงที่เมืองปักกิ่ง
เย่เชียนและคนอื่นๆ เข้าไปในบ้านแล้วเห็นถังชูหยานตั้งตารออยู่จากระยะไกล ซึ่งความรักของแม่นั้นลึกซึ้งมากและเชื่อว่าคนเป็นแม่ทุกคนทั่วโลกก็มีความรู้สึกเช่นนี้ เมื่อเห็นเย่เชียนแล้วถังซูหยานก็ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “แม่ครับ!” เย่เชียนเรียกถังซูหยานแล้วสวมกอดเธอ
แม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้อยู่กับถังซูหยานมาเป็นเวลานานแต่ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างแม่และลูกได้ ถึงแม้ว่าเย่เชียนไม่เคยคาดหวังว่าจะได้เจอครอบครัวของเขามาก่อนแต่ตอนนี้เมื่อเขาได้พบแล้วเขาก็ควรเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกันได้ในอนาคต เย่เชียนนั้นรู้วิธีรักษาความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกเป็นอย่างดี
ทันทีที่เธอเห็นเย่เชียนอุ้มเด็กอยู่ในมือถังซูหยานก็ยิ้มอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “นี่ลูกจะไม่แนะนำให้แม่รู้จักเลยหรอ” เห็นได้ชัดว่าถังซูหยานรู้ว่าฉินหยูนั้นเป็นภรรยาของเย่เชียนตามกฎหมายส่วน ส่วนหูวเค่อที่อยู่ข้างๆ นั้นถังซูหยานก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
“เอ่อนี่คือภรรยาของผมฉินหยูกับหูวเค่อ” เย่เชียนแนะนำ เมื่อได้ยินเช่นนั้นถังซูหยานก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งจากนั้นก็หันไปหาหูวเค่อด้วยความโล่งใจเพราะเธอก็รู้ดีว่าในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นการมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเธอจึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นฉินหยูกับหูวเค่อต่างก็เรียกถังซูหยานว่า “สวัสดีค่ะคุณแม่” อย่างไพเราะ ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเขินอายเล็กน้อยแต่พวกเธอก็พูดออกมาอย่างสง่างาม
“หลินเอ๋อร์..ห่าวหรานสวัสดีคุณย่าสิ” เย่เชียนเหลือบมองเย่หลินกับเย่ห่าวหรานแล้วพูด
“คุณย่า!” เด็กหญิงตัวเล็กๆ เรียกอย่างอ่อนหวานแต่ดูเหมือนว่าเย่ห่าวหรานจะไม่สนใจเลยแต่กลับมองไปรอบๆ ราวกับว่าเขาประหลาดใจกับรูปแบบสถาปัตยกรรมที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงเขาเลยเพราะบางครั้งเย่เชียนก็รู้สึกเหมือนได้เดินทางไปในสมัยโบราณเพราะรูปแบบสถาปัตยกรรมและการตกแต่งของที่นี่ดูโบราณอย่างมาก
“อย่าถือสาเขาเลยเพราะเด็กคนนี้ค่อนข้างเงียบและขี้อาย” ฉินหยูพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรๆ ..เด็กๆ มักจะเป็นแบบนี้เมื่อเจอคนแปลกหน้า” ถังซูหยานพูดอย่างมีความสุข จากนั้นเธอก็มองลงไปที่เย่หลินและพูดว่า “หลินเอ๋อร์ให้ย่ากอดหนูได้หรือเปล่า”