ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 940 พูดคุยแบบจริงจัง (3)
ตอนที่ 940 พูดคุยแบบจริงจัง (3)
เย่เชียนเข้าใจความทุกข์ทรมานของถังซูหยานได้โดยธรรมชาติเพราะเมื่อเขาพบกับถังซูหยานเป็นครั้งแรกเย่เชียนก็สามารถมองเห็นได้จากสายตาของเธอจนเย่เชียนรู้สึกผิดอย่างมากต่อแม่คนนี้ที่เขาไม่สามารถอยู่กับแม่ได้นานกว่านี้ ซึ่งเย่เชียนก็หวังว่าถังซูหยานจะมีความสุข อย่างไรก็ตามผู้ชายไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากโลกของตัวเองดังนั้นเขาจึงหวังว่าฉินหยู,หูวเค่อ,เย่หลินและเย่ห่าวหรานจะชดเชยความผิดในใจของเขาได้เพื่อที่ถังซูหยานจะไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป
คนเฒ่าคนแก่นั้นกลัวอะไรมากที่สุด? นั่นคือความเหงาเพราะในสังคมปัจจุบันสภาพความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัวนั้นดีขึ้นและผู้สูงอายุก็ไม่ต้องกังวลกับชีวิตอีกต่อไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ขาดความสบายใจในจิตใจและรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นและเหตุผลทั้งหมดนี้ก็เพราะพวกเขากลัวว่าลูกๆ หลานๆ จะไม่สามารถมอบความสุขให้กับพวกเขาได้
หลังจากออกจากห้องของเย่เจียอู๋แล้วเย่เชียนก็เดินไปที่ห้องของเขา ซึ่งเย่เชียนเป็นทายาทของตระกูลเย่ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาจะมีห้องเป็นของตัวเองซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยอันหรูหราที่ถังซูหยานเคยอาศัยอยู่ ในตอนนี้มันเป็นเวลากลางที่มีแสงจันทร์พร่ามัวจนเย่เชียนสามารถมองเห็นภายในศาลาได้จากระยะไกล ภายใต้แสงสลัวๆ นั้นเย่เจิ้งเซียงกำลังดื่มอยู่อย่างเงียบๆ ที่นั่นดูอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างมาก ว่ากันว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นต้องเรียนรู้ที่จะอดทนต่อความเหงาซึ่งเป็นสิ่งสำคัญแต่ไม่มีใครในโลกใบนี้อยากเหงาและอ้างว้างกันทั้งนั้นและแน่นอนว่าเย่เจิ้งเซียงเองไม่มีข้อยกเว้น
หลายปีที่ผ่านมาเย่เจิ้งเซียงรู้ดีว่าเย่เจียอู๋ยังคงกังวลเกี่ยวกับเขาอยู่และนั่นคือเหตุผลที่เย่เจียอู๋ไม่ได้มอบตระกูลเย่ให้กับเขา อย่างไรก็ตามไม่ว่าเย่เจิ้งเซียงจะไม่ยอมฟังใครแค่ไหนแต่ในใจของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความเคารพและความกตัญญูกต่อเย่เจียอู๋เสมอ เขาจะรู้สึกผิดมากเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นแต่ความภาคภูมิใจในตนเองอย่างแรงกล้าก็ไม่ยอมให้เขาก้มศีรษะให้ใครอยู่ดี
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อครอบครองตระกูลเย่และหวังว่าเย่เจียอู๋จะเห็นถึงความพยายามของเขาและใช้ข้อเท็จจริงนี้เพื่อพิสูจน์ว่าเขามีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นผู้นำของตระกูลเย่ อย่างไรก็ตามเย่เจิ้งเซียงก็ได้เพิกเฉยต่อพี่น้องของตัวเองและถึงแม้ว่าความเป็นพี่น้องระหว่างเขากับเย่เจิ้งเฟิงและเย่เจิ้งหรานจะลึกซึ้งเพียงใดเมื่อตอนที่เขายังเด็กและเขาจำได้อย่างชัดเจนว่าเขาสามารถสละชีวิตเพื่อน้องๆ ได้ก็ตามแต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขากลับเพิกเฉยต่อพี่น้องและไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเลยและถึงแม้ว่าเย่เจิ้งเฟิงจะยังคงเคารพเขาก็ตาม ซึ่งนี่ก็เป็นความเสียใจลึกๆ ในใจของเขาเช่นกัน
บางครั้งยิ่งคนเราอยู่สูงมากแค่ไหนพวกเขาก็มักจะสูญเสียบางสิ่งที่มีความสำคัญมากไป แต่ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่นั้นย่อมเหนือกว่าทุกสิ่งและเมื่อนึกถึงเรื่องนี้หากเป็นไปได้เย่เจิ้งเซียงก็หวังว่าเขาจะย้อนเวลากลับไปในอดีตได้แต่ถึงยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี เขานั้นรู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือจะพยายามมากแค่ไหนแต่ภราดรภาพและความเป็นพี่น้องของเขากับเย่เจิ้งเฟิงจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว
การมาถึงของเย่เชียนทำให้ความทรงจำเก่าๆ ของเย่เจิ้งเซียงกลับมาและยังกระตุ้นความรู้สึกผิดมากมายในใจของเขา อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้เขาหวาดระแวงมากขึ้นและเขาก็รู้ว่าเขาต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ถ้าหากเย่เชียนจะโทษเขาสำหรับความผิดทั้งหมดมันก็สมเหตุสมผลแล้วดังนั้นเขาจึงรู้สึกผิดอยู่ลึกๆในใจ ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะรักษาระยะห่างจากเย่เชียนและกลัวว่าหากวันหนึ่งเขาล้มเหลวในการต่อสู้กับเย่เชียนล่ะก็เขาอาจจะสูญเสียไม่เพียงแต่ชีวิตของเขา แต่ยังรวมถึงศักดิ์ศรีของเขาและแม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกด้วย
ทุกคนเข้าใจความจริงของการใช้แอลกอฮอล์เพื่อบรรเทาความโศกเศร้าแต่พวกเขาไม่สามารถกำจัดความคิดและความเศร้าในใจโดยการใช้แอลกอฮอล์ได้ เย่เจิ้งเซียงนั้นคิดเสมอว่าเมื่อเหล้าที่เข้าไปในลำไส้ไหลลงมาจากลำคอของเขาและไหลไปทั่วร่างกายของเขาแล้วเขาจะสามารถลืมทุกอย่างได้และอย่างน้อยๆ ก็ในช่วงเวลาสั้นๆ
หลังจากหยุดไปสักพักเย่เชียนก็เดินไปอย่างช้าๆ และเมื่อเย่เจิ้งเซียงได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลังเขาเย่เจิ้งเซียงก็หันกลับไปและหยุดเล็กน้อยเมื่อเห็นเย่เชียนเดินเข้ามา จากนั้นเขาก็พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “เอ็งคุยกับคุณปู่เสร็จแล้วหรือ?”
“ใช่ครับ!” เย่เชียนพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ทำไมลุงเจิ้งเซียงถึงดื่มอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะครับ..ผมขอดื่มด้วยได้หรือเปล่า” จากนั้นเย่เชียนก็นั่งลงตรงข้ามกับเย่เจิ้งเซียง แน่นอนว่าเย่เจิ้งเซียงก็ไม่ได้คัดค้านใดๆ และดื่มเหล้าอย่างเงียบๆ ต่อ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ แล้วเติมเหล้าให้เย่เจิ้งเซียงแล้วพูดว่า “ชายเลือดนักสู้ทุกคนชอบดื่มเหล้าจริงๆ สินะ..บางครั้งเหล้าก็เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ..ในบรรยากาศแบบนี้รสชาติของเหล้าดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยลุงเจิ้งเซียงคิดว่าไงครับ?”
เย่เจิ้งเซียงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเย่เชียนด้วยท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ยังคงยิ้มอย่างแผ่วเบาและแทนที่จะมองไปที่เย่เจิ้งเซียงแต่เย่เชียนกลับถือขวดเหล้าเอาไว้ในมือและมองดูมัน “อันที่จริงผมคิดว่าเหล้าน่ะดีกว่าไวน์อีก” เย่เชียนพูด “ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้ดื่มก็เถอะแต่รสชาติของเหล้าน่ะก็ยังคงรู้สึกดีที่สุดลุงเจิ้งเซียงว่างั้นมั้ย?”
“เมื่อตอนที่ฉันยังหนุ่มยังแน่นฉันชอบเหล้าที่มีดรีกีสูงๆ และเมากับเพื่อนและพี่น้องของฉันและนั่นจะทำให้ฉันมีความรู้สึกถึงความสำเร็จ..แต่ตอนนี้ฉันแก่แล้วฉันไม่ใช่วัยรุ่นหนุ่มสาวอีกต่อไปและนั่นทำให้ฉันชอบเหล้าที่มีแอลกอฮอล์ดีกรีต่ำเพราะมันจะกลมกล่อม” หลังจากนั้นไม่นานเย่เจิ้งเซียงก็พูดอย่างช้าๆ
“ทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลงกันทั้งนั้น..ด้วยอายุที่สูงขึ้นและวุฒิภาวะทางจิตใจจะมีการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้การมองสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปเพราะเราจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแต่เนื่องจากประสบการณ์มากกว่าจึงทำให้เราต้องครุ่นคิดหลายๆ เรื่องมากกว่าเดิม” เย่เชียนพูดต่อ “บางครั้งเราก็ยังต้องการความคิดของคนหนุ่มสาวอยู่บ้าง”
เย่เจิ้งเซียงเหลือบมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ ซึ่งสีหน้าของเขาดูตกตะลึงอย่างมากเพราะเขารู้ดีว่าเย่เชียนหมายถึงอะไร แต่เขาไม่ได้โกรธ จากนั้นเขาก็หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาจิบแล้วพูดว่า “เอ็งต้องการอะไรก็บอกฉันมาตรงๆ ได้เลย..ฉันแค่หวังว่ามันจะไม่เกี่ยวกับหานรุ่ยและหานห่าว..เรื่องนั้นฉันผิดเองและมันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลย”
เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลุงเจิ้งเซียงหมายความว่าไงครับ..ลึงคิดว่าผมต้องการแก้แค้นอย่างงั้นเหรอ?”
“ฉันเองก็รู้สึกผิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น..ถ้าไม่ใช่เพราะฉันพ่อของเอ็งคงไม่ต้องไปสู้กับฟู่จื้อซานหรอก..ไม่งั้นพ่อของเอ็งก็คงไม่ต้องตาย” เย่เจิ้งเซียงพูดต่อ “ถ้าเอ็งต้องการล้างแค้นให้พ่อล่ะก็ฉันเข้าใจดี..ฉันแค่หวังว่าเอ็งจะไม่ถือโทษโกรธแค้นสองพี่น้องหานรุ่ยกับหานห่าวไปด้วย..เรื่องในอดีตมันไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไปแล้วเพราะงั้นฉันหวังว่าลูกหลานอย่างพวกเอ็งจะไม่เดินตามรอยเท้าของพวกเราอีก”
“ผมไม่รู้ว่าใครถูกหรือใครผิดแต่ผมมั่นใจได้เรื่องหนึ่งว่าพ่อเลือกที่จะสู้และผมก็ไม่คิดว่าพ่อจะโทษลุงและเขาจะไม่ถือโทษโกรธลุงเจิ้งเซียงอย่างแน่นอน..เพราะงั้นถ้าผมมาแก้แค้นลุงนั่นก็หมายความว่าพ่อของผมตัดสินใจผิดน่ะสิ?” เย่เชียนพูดต่อ “ผมเสียญาติของผมไปตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กและในความทรงจำของผมนั้นผมจำพ่อและแม่ไม่ได้เลย..ต่อมาพ่อบุญธรรมของผมก็รับเลี้ยงผมและทำให้ผมได้มีบ้านและความรักจากครอบครัว..แต่ก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีครอบครัวจริงๆ อยู่ในใจและในที่สุดผมก็พบที่นี่..ดังนั้นถึงแม้ว่าพ่อของผมจะไม่อยู่แล้วแต่ก็ยังมีแม่..ปู่..ลุงทั้งสองและพี่น้องอีกมากมายเพราะงั้นผมจึงมีความสุขมาก..ผมไม่ต้องการให้อะไรมาทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัวของเราและบางทีสิ่งที่ผมพูดไปก็อาจจะดูหน้าซื่อใจคดเล็กน้อยจนลุงเจิ้งเซียงไม่เชื่อก็ตามแต่นั่นคือความจริง..ผมรู้ว่าลุงกังวลอะไรเพราะงั้นบอกได้เลยว่าลุงเจิ้งเซียงสบายใจได้”
เย่เจิ้งเซียงก็ตกตะลึงอยู่พักหนึ่งและเมื่อมองไปที่เย่เชียนราวกับว่าเขาต้องการเห็นจากสายตาของเย่เชียนว่าสิ่งที่เย่เชียนพูดนั้นจริงหรือเท็จ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาเห็นคือความจริงใจบนใบหน้าของเย่เชียนโดยปราศจากการเสแสร้งใดๆ ซึ่งทำให้เขารู้สึกผิดมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ลุงเจิ้งเซียงหวังเสมอให้หานรุ่ยและหานห่าวจะสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ใช่มั้ย” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่กับสองคนนั้นมานานแต่ผมสามารถเห็นได้ว่าพวกเขาน่ะไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ ..ผมอยากถามลุงว่าลุงเคยคิดที่จะเลือกใครเป็นผู้นำตระกูลเย่หรือเปล่าระหว่างสองคนนี้?”
เย่เจิ้งเซียงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ใครก็ตามที่มีความสามารถมากพอจะเป็นผู้นำตระกูลเย่ได้..พวกเขาเป็นพี่น้องกันและเป็นลูกชายของฉันด้วยเพราะงั้นฉันไม่สามารถเข้าข้างใครได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วลุงเจิ้งเซียงคุณเคยคิดบ้างไหมว่าการที่ลุงตั้งความหวังกับพวกเขาทั้งสองแบบนี้แต่ท้ายที่สุดก็จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ..เพราะงั้นอีกคนจะคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ? ..บางทีอีกคนอาจจะคิดว่าเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นผู้นำตระกูลเย่..แต่ความเป็นจริงเขาจะไม่คิดอย่างนั้นอย่างแน่นอนเพราะเขาจะคิดว่าลุงเจิ้งเซียงลำเอียงและไม่ยุติธรรมกับเขา..ในกรณีนี้ความเป็นพี่น้องกันจะกลายเป็นศัตรูกันและนี่คือผลที่ลุงอยากเห็นงั้นเหรอ?”
“แล้วนี่เอ็งจะสื่ออะไร” เย่เจิ้งเซียงพูด “นี่คือการปิดกั้นไม่ให้พี่น้องทั้งสองเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลหรือเปล่า? ..หรือเพื่อที่จะรักษาความเป็นพี่น้องระหว่างพวกเขา?”
“มันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” เย่เชียนพูด “ลุงเจิ้งเซียงอย่าคิดว่าที่ผมมาพูดแบบนี้เพื่อให้คุณยกตำแหน่งผู้นำตระกูลให้ผมเลย..ผมแค่อยากมาคุยเรื่องนี้กับลุงเพราะถ้าตำแหน่งผู้นำตระกูลตกไปอยู่ที่คนอื่นที่ไม่ใช่หานรุ่ยกับหานห่าวล่ะก็พวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกัน..แต่จิตใจของพวกเขาก็ยังคงแข่งขันซึ่งกันและกันและจะมีวันที่พวกเขาจะหันหลังกลับได้เพราะคิดแต่จะแย่งชิงกัน..เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือทำให้พวกเขารักกันและเป็นพี่น้องที่ตายแทนกันได้..ซึ่งนั่นสำคัญกว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลมาก..เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้นำตระกูลเย่แต่นั่นก็น่าภาคภูมิใจเหมือนกัน..ลุงเจิ้งเซียงเป็นลุงของผมเพราะงั้นผมจะบอกความจริงให้ว่าที่คุณปู่เรียกผมไปพบเมื่อครู่นี้เพราะเขาจะส่งต่อตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ให้ผมแต่ผมปฏิเสธท่านไป”
“ทำไมล่ะ? ..เอ็งไม่อยากเป็นผู้นำตระกูลเย่เหรอ?” เย่เจิ้งเซียงถาม