ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 942 กลับมาเยือนโตเกียว
ตอนที่ 942 กลับมาเยือนโตเกียว
หลังจากอยู่ที่บ้านของตระกูลเย่มาสักระยะหนึ่งและเพลิดเพลินกับความสุขในแบบครอบครัวแล้วเย่เชียนก็รีบไปที่ประเทศญี่ปุ่นทันที ส่วนหลี่เหว่ยกับเฟิงหลานได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้วและสมทบกับม่อหลงหลังจากไปถึง ตอนนี้สถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นวุ่นวายมาก ทั้งสองผู้สมัครเลือกตั้งอย่างนาโอกิอิชิอิและฮาเซงาวะเซตะก็เผชิญหน้าและแข่งขันกันอย่างดุเดือด ฝ่ายหนึ่งเป็นสมาชิกกองทัพและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นสมาชิกที่สนับสนุนประเทศจีนซึ่งทำให้สถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นร้อนระอุมากขึ้น
นาโอกิอิชิอินั้นมีองค์กรใต้ดินขนาดใหญ่สนับสนุนซึ่งทำให้ฮาเซงาวะเซตะเสียเปรียบอย่างมากและชาวจีนในประเทศญี่ปุ่นก็รู้สึกเหมือนถูกคุกคาม สถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นในตอนนี้ไม่แน่นอนและการต่อต้านและประท้วงอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อตามท้องถนน ประชาชนชาวญี่ปุ่นมักจะข่มเหงและรังแกประชาชนคนจีนอยู่เสมอและแม้แต่นักเรียนแลกเปลี่ยนหรือนักศึกษาชาวจีนก็ถูกรังแกเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นเพราะชีวิตของฮาเซงาวะเซตะก็ยังถูกคุกคามอย่างมากและบอดี้การ์ดของเขาก็เสียชีวิตไปตั้งหลายคนแล้ว
แน่นอนว่าเย่เชียนไม่ได้บินตรงจากประเทศจีนไปยังประเทศญี่ปุ่นแต่เขาเลือกที่จะต่อเครื่องบินที่ไต้หวันไปยังญี่ปุ่นแทน อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศญี่ปุ่นแล้วพวกเขาไม่ได้ถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แน่นอนว่าหูวเค่อเองก็ไปไต้หวันพร้อมกับเย่เชียนเช่นกันเพราะเธอยังต้องดูแลสิ่งต่างๆ ในไต้หวันอีกมากมาย
อย่างไรก็ตามกองกำลังหลักๆ ในประเทศญี่ปุ่นนั้นรู้จักใบหน้าของเย่เชียนเป็นอย่างดีดังนั้นเย่เชียนจึงตั้งใจปลอมแปลงรูปลักษณ์ของเขาโดยการไว้หนวดเคราและคิ้วของเขาก็หนาขึ้น ถ้าไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดีคงจะแยกไม่ออกว่านี่คือเย่เชียน ซึ่งตอนนี้หลังจากเปลี่ยนโฉมแบบนี้แล้วความเป็นชายของเย่เชียนก็แข็งแกร่งและดูดุดันขึ้นและเขาดูเหมือนชายผู้กล้าหาญและแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ม่อหลงได้จัดเตรียมโรงแรมและห้องพักให้กับเย่เชียนแล้ว ส่วนวันก่อนซ่งหลันได้ส่งมอบกิจการของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสาขาโตเกียวให้กับคนอื่นๆ ในบริษัทแล้วและกลับไปที่ประเทศจีนเพราะซ่งหลันรู้ดีว่าเมื่อเย่เชียนมาถึงประเทศญี่ปุ่นเขาต้องเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าเธออยู่ในประเทศญี่ปุ่นต่อเย่เชียนจะต้องกังวลเกี่ยวกับเธอจนไม่มีสมาธิอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามอู๋หวนเฟิงก็ยังคงอยู่กับเธอและเธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างนอกเสียจากอู๋หวนเฟิงมาก แน่นอนว่าเย่เชียนเอ็งก็สบายใจเล่นกันเพราะตราบใดที่อู๋หวนเฟิงอยู่ที่นั่นด้วยจะไม่มีใครทำร้ายซ่งหลันได้จะตายไปเสียก่อน
อู๋หวนเฟิงนั้นอาจเป็นคนที่พิเศษที่สุดในเขี้ยวหมาป่าเพราะสำหรับเย่เชียนแล้วอู๋หวนเฟิงเป็นน้องชายที่เขารู้สึกขอบคุณที่สุด คนอื่นๆ อาจถือว่าเย่เชียนเป็นพี่น้องและเป็นผู้นำที่ควรค่าแก่การเคารพเขา อย่างไรก็ตามสำหรับอู๋หวนเฟิงแล้วเย่เชียนมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของเขาเสียอีก นั่นเป็นเพราะเย่เชียนเป็นคนแรกที่เข้าถึงจิตใจของเขาและเข้าใจเขาเป็นอย่างดีดังนั้นเขาจึงยอมตายเพื่อเย่เชียนโดยไม่ลังเล เช่นเดียวกับเมื่อเย่เชียนเห็นมีดคลื่นโลหิตที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษเป็นครั้งแรกและโปรดปรานมันดังนั้นอู๋หวนเฟิงจึงแอบไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษเพื่อขโมยมันโดยไม่ลังเล ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะเสียแขนไปข้างหนึ่งตลอดกาลก็ตามแต่เขาก็ยังไม่เสียใจและถ้าหากได้รับโอกาสที่จะเลือกอีกครั้งเขาก็ยังเลือกที่จะทำมันอยู่ดี
เย่เชียนนั้นยังบอกอู๋หวนเฟิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับปัญหานี้โดยบอกให้อู๋หวนเฟิงรักตัวเองให้มากๆ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์เพราะในท้ายที่สุดเย่เชียนก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของอู๋หวนเฟิงได้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เย่เชียนรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอู๋หวนเฟิงอยู่ในใจของเขา
ในห้องพักของโรงแรมเย่เชียนก็ยังคงสวมเคราอยู่และหลี่เหว่ยที่อยู่ตรงข้ามเขามองดูและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและหัวเราะอย่างมีความสุข สำหรับหลี่เหว่ยแล้วไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับอันตรายมากแค่ไหนแต่เขาก็สามารถมีอารมณ์ขันได้เสมอ ต่อให้เขาจะต้องจะตายในวันพรุ่งนี้แต่วันนี้เขาก็จะมีความสุขอยู่ดี
ม่อหลง,เฟิงหลานและอู๋หวนเฟิงนั่งลงฝั่งตรงข้ามของเย่เชียนและการแสดงออกของพวกเขาไม่ได้ดูเกินจริงเท่ากับหลี่เหว่ยและถึงแม้ว่าการแต่งตัวของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างมากแต่ก็ยังดูสง่าผ่าเผยอยู่ดี เหตุผลที่เย่เชียนไม่ได้ปฏิเสธที่อู๋หวนเฟิงไม่ได้ตามซ่งหลันกลับไปยังประเทศจีนนั่นก็เพราะว่าเพื่อความสบายใจของซ่งหลันนั่นเองเพราะเธอเชื่อในฝีมือของอู๋หวนเฟิง ดังนั้นถ้าได้อู๋หวนเฟิงมาช่วยในครั้งนี้สิ่งต่างๆ จะง่ายขึ้นมาก
เย่เชียนเหลือบมองหลี่เหว่ยอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วพูดว่า “ตลกมากงั้นเหรออ?”
“เปล่า..ผมแค่คิดว่าชุดของบอสนั้นน่าดึงดูดความสนใจของคนอื่นเกินไป..ผมรับรองได้เลยว่าถ้าบอสออกไปในสภาพแบบนี้บอสจะดึดดูดสาวๆ ญี่ปุ่นมากมาย..นี่คือขวัญใจของสาวๆ ชัดๆ” หลี่เหว่ยพูด
“อย่าพูดเหลวไหล” เย่เชียนกลอกตาไปมาและพูดว่า “พี่ม่อหลงบอกผมเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของประเทศญี่ปุ่นที..การสืบค้นของพี่เป็นไปด้วยดีหรือเปล่า?”
“มันเป็นแค่คราวลือเฉยๆ ..คนที่อยู่เบื้องหลังการรวบรวมองค์กรเหล่านี้ในประเทศญี่ปุ่นคือสำนักม่อจื๊อแต่ใครคือคนบงการก็ยังไม่แน่ชัด..ตอนนี้สาวกฝ่ายธรรมะก็ยังคงสืบค้นข้อมูลกันอยู่แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ข้อมูลที่แน่ชัด..บุคคลนั้นลึกลับเกินไปและตอนนี้สถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นก็กำลังร้อนระอุเพราะงั้นมันจึงยากมากที่เราจะสืบค้นข้อมูลต่างๆ ได้” ชัดเจนเกินไปที่เราจะสอบสวน” ม่อหลงพูด ส่วนหลี่เหว่ยก็ปิดปากของเขาอย่างมีสติและไม่พูดอะไรใดๆ แทรกเข้ามา
หลังจากหยุดไปชั่วขณะม่อหลงก็พูดต่อ “สถานการณ์ในญี่ปุ่นตอนนี้วุ่นวายมาก..ตอนนี้บอสน่าจะเห็นว่ามีผู้คนออกมาเดินขบวนและประท้วงทุกที่ในประเทศเลยจนรัฐบาลจัดตั้งกองปราบปรามการชุมนุม..ซึ่งประเทศจีนก็ได้ติดต่อมายังประเทศญี่ปุ่นเพื่อขอให้สถานเอกอัครราชทูตรวบรวมชาวจีนทั้งนักเรียนรักศึกษาและชายจีนที่มาทำงานในประเทศญี่ปุ่นเพื่ออพยพออกจากประเทศญี่ปุ่น..ตอนนี้การแข่งขันการเลือกตั้งระหว่างนาโอกิอิชิอิและฮาเซงาวะเซตะได้เข้าสู่ช่วงเวลาวิกฤติแล้ว..ซึ่งฮาเซงาวะเซตะก็ถูกลอบสังหารหลายครั้งจนทำให้เขาเสียบอดี้การ์ดไปมากมายแต่ในที่สุดชีวิตเขาก็รอดชีวิตกลับมาได้”
เย่เชียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก่อนที่ผมจะมาที่นี่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็บอกผมแล้ว..เขาหวังว่าเราจะสามารถร่วมมือกับฮาเซงาวะเซตะได้..เราจะต้องช่วยให้เขาขึ้นครองบัลลังก์นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นเพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นตัวแทนของชาวจีน..ถ้าเขาเป็นนายกรัฐมนตรีล่ะก็มันจะเป็นผลดีสำหรับประเทศจีนอย่างแน่นอน”
“บอส..ทำไมเรื่องของเราเกี่ยวข้องกับประเทศจีนล่ะ? ..ในเมื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอยากที่จะสนับสนุนฮาเซงาวะก็ปล่อยให้เขาจัดการเองสิ” หลี่เหว่ยพึมพำ
“เราทำเพื่อประเทศชาติของเรา..ฉันรักประเทศของฉันไม่ใช่เพราะรักนักการเมืองเหล่านั้น..นอกจากนี้หากเราสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮาเซงาวะเซตะได้มันก็จะดีสำหรับเราและนอกจากนี้เราจะได้ยืมพลังของเขาในการทำลายสมาคมมังกรดำเพราะงั้นทำไมเราไม่พยายามแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองล่ะ?” เย่เชียนพูด
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหว่ยก็ไม่พูดอะไรอีกและเขาก็ยอมรับว่าเย่เชียนพูดถูก
จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองม่อหลงแล้วพูดว่า “พี่ม่อหลงช่วยติดต่อฮาเซงาวะเซตะให้ผมที..ผมอยากไปพบเขา”
“ฉันเกรงว่ามันจะยาก..ฉันไม่รู้จักเขาและไม่มีวิธีอื่นที่จะติดต่อเขาได้เลย” ม่อหลงพูดต่อ “เดี๋ยวฉันจะให้พี่น้องจากสำนักม่อจื๊อลองดูก็แล้วกัน..พวกเขาอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมานานกว่าพวกเราเพราะงั้นพวกเขาอาจจะมีช่องทางและเครือข่ายที่ดี”
“ไม่เป็นไร..เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ” อู๋หวนเฟิงพูด “ตอนที่ผมอยู่กับพี่หลันก่อนหน้านี้ผมได้ไปนัดทานอาหารกับฮาเซงาวะเซตะสองครั้ง..ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้คุยกับเขาเลยก็ตามแต่ผมเชื่อว่าถ้าหากติดต่อเขาในนามของCEOใหญ่ของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปล่ะก็เขาจะต้องตอบรับอย่างแน่นอน”
“เยี่ยม!” เย่เชียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ลงมือเลย..ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเพราะตอนนี้เราแทบไม่มีเวลากันแล้ว..ฉันต้องได้คุยกับเขาโดยเร็วที่สุด” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “พรุ่งนี้ชิงเฟิงจะมาจากไต้หวันเพื่อสมทบพวกเราเพราะงั้นพี่ม่อหลงไปรับเขาด้วย..ก่อนหน้านี้ไป๋ฮวยได้ช่วยชิงเฟิงหลบหนีออกจากญี่ปุ่นไปเพราะงั้นผมคิดว่าพวกสมาคมมังกรดำคงจะลดระดับการเฝ้าระวังพวกเราลงและไม่คิดว่าชิงเฟิงจะกลับมาทันทีแบบนี้”
“ได้..เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปรับเขาเอง” ม่อหลงพูด
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดอีกครั้งว่า “พี่เฟิงหลานไม่ค่อยคุ้นเคยกับประเทศญี่ปุ่นแต่พี่จะต้องไปสืบค้นเกี่ยวกับกับฮัตโตริชิฮิโระกับหลี่เหว่ยเพราะเขาเชี่ยวชาญในการสะกดรอยตามมากที่สุด..ส่วนหลี่เหว่ยนายห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด..ถือว่าฉันเตือนแล้วนะ”
หลี่เหว่ยขมวดคิ้วและพูดว่า “ดูบอสพูดสิ..บอสเห็ยผมเป็นคนแบบนั้นเหรอ”
“อย่ากังวลไปเลยบอสเดี๋ยวฉันจะจับตาดูไอ้หมอนี่เอง..ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาดเดี๋ยวฉันจะลงโทษเขาในนามของหน่วยลงทัณฑ์ของเขี้ยวหมาป่าเอง” เฟิงหลานพูด
เมื่อได้ยินเฟิงหลานพูดแบบนี้หลี่เหว่ยก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคาสิโนมาเก๊าและเขาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเฟิงหลานและทำท่าทางยั่วยุใส่เขาแต่เฟิงหลานนั้นทำเป็นไม่สนใจเขา
“สถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นตอนนี้โกลาหลมาก..ถึงแม้ว่าสมาคมมังกรดำอาจจะไม่คิดว่าเราจะเคลื่อนไหวกันในตอนนี้ก็ตามแต่ก็ไม่สามารถประมาทได้..ทุกคนควรระมัดระวังให้มากและถ้าหากมีอะไรผิดปกติล่ะก็ทางเดียวที่ทำได้คือหนีและไม่ต้องละอายใจใดๆ ทั้งนั้น..ถ้าเลี่ยงการปะทะได้ก็เลี่ยงเพราะตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะเผชิญหน้ากันอย่างเปิดเผย” เย่เชียนพูดต่อ “พี่ม่อหลงเหล่าสาวกสำนักม่อจื๊อว่าไงกันบ้าง?”
“บางคนยังไม่อยากต่อสู้กับสาวกฝ่ายอธรรมสักเท่าไหร่..แต่บางคนก็มีทัศนคติที่ดีและแสดงความเต็มใจที่จะสนับสนุนฉันอย่างเต็มที่” ม่อหลงพูด “สาวกบางคนก็อยู่ในประเทศญี่ปุ่นมานาน..ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีและเต็มใจที่จะเชื่อฟังคำสั่งของฉันด้วย..พวกเขาถือว่าฉันเป็นผู้สืบทอดของสำนักม่อจื๊ออย่างแท้จริง”
.