ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 972 ศึกตัดสิน (2)
ตอนที่ 972 ศึกตัดสิน (2)
หากการปรากฏตัวของหลินเฟิงสามารถลบล้างความตั้งใจของไป๋ฮวยได้ล่ะก็นั่นคงไม่ใช่ไป๋ฮวยอีกต่อไปแล้วและสิ่งต่างๆ ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่เช่นั้นด้วยมิตรภาพระหว่างเย่เชียนกับไป๋ฮวยที่มานานหลายปี ความเกลียดชังและสิ่งเหล่านี้คงถูกแก้ไขไปนานแล้ว
อันที่จริงไม่มีความขัดแย้งอะไรที่สำคัญระหว่างเย่เชียนกับไป๋ฮวยเลยและพวกเขาก็ยังไม่ถึงกับต้องแตกหักกัน หากเป็นเรื่องจริง ผู้กระทำความผิดทั้งหมดนี้ก็คือจู้จือเพราะถ้าไม่ใช่การกระทำของจู้จือแล้วบางทีไป๋ฮวยก็อาจจะยังคงอยู่ในเขี้ยวหมาป่าและเขาจะเป็นกำลังที่ยิ่งใหญ่ของเขี้ยวหมาป่าอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไปและสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นไปแล้วและยิ่งไปกว่านั้นไป๋ฮวยก็ได้เลือกเส้นทางนี้ซึ่งเป็นเส้นทางแห่งความเกลียดชังที่ไม่สามารถแก้ไขได้เลย เขาเคยพูดถึงความเกลียดชังที่เขามีต่อจู้จือเพราะสำหรับผู้ชายอย่างไป๋ฮวยที่ให้ความสำคัญกับความผูกพันและมิตรภาพแล้วการฆ่าพี่ชายแท้ๆ ด้วยมือของเขาเองจึงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงต้องหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี้และเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์แบบให้ได้
หลินเฟิงก็ถึงกับผงะและพูดว่า “อย่ามาล้อเล่นสิฉันไม่สามารถสู้กับพวกนายสองคนพร้อมกันได้หรอก..ฉันแค่อยากจะถามว่ามันไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้เหรอ..ทำไมถึงต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยทั้งที่ชีวิตเรามีทางเลือกมากมายและบางครั้งหากเรามองจากมุมที่แตกต่างกันออกไปมันก็อาจจะเกิดวิธีที่ดีกว่าก็ได้”
“การต่อสู้ครั้งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้..พี่หลินพี่ไม่จำเป็นต้องพยายามพูดหรอก..ผมแค่หวังว่าถ้าผมตายไปพี่จะสามารถช่วยสนับสนุนพี่น้องเขี้ยวหมาป่าในอนาคตได้” เย่เชียนพูด
หลินเฟิงพยักหน้าอย่างหนักหน่วงและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไปน้องเย่..เรื่องนั้นไว้ใจฉันได้เลย”
“ว่าแต่พี่หลินทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ..แล้วหลินฟานอยู่ที่ไหน?” เย่เชียนถาม
“ไม่!” หลินเฟิงพูด “ฉันไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนหรืออาจเป็นเพราะว่าโชคชะตาระหว่างฉันกับเขายังมาไม่ถึงก็ไม่รู้..แต่นายไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ไปหรอก..นายจงตั้งใจสู้ด้วยความสามารถทั้งหมดของนายและฉันก็หวังว่าจะได้เห็นการต่อสู้ที่แท้จริงและมันจะเป็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นที่สุดและไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดจากความใจอ่อนของทั้งสองฝ่าย”
ในตอนนี้ทั้งเย่เชียนและไป๋ฮวยก็ไม่ได้พูดอะไรเลยและพวกเขาก็มองหน้ากันและกันซึ่งแต่ละคนก็มีความคิดเป็นของตัวเอง
หลินเฟิงไม่ได้พูดอะไรอีกและไม่ต้องสงสัยเลยเพราะเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ใดๆ ได้และเมื่อมองดูพวกเขาทั้งสองแล้วหลินเฟิงก็ค่อยๆ ก้าวถอยหลังไป
ทันใดนั้นบรรยากาศทั่วทั้งสนามประลองก็ดูเคร่งเครียดและเงียบงันอย่างมาก มีเพียงกระแสลมและเสียงลมหวนเล็กน้อยและเสียงเสื้อผ้าที่แกว่งไกวตามสายลมเท่านั้นที่ได้ยิน ในตอนนี้เย่เชียนกับไป๋ฮวยก็จ้องมองกันอย่างเงียบๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังทำการสื่อสารทางจิตวิญญาณครั้งสุดท้ายกันอยู่
“ปัง” เกือบจะในเวลาเดียวกันทั้งเย่เชียนและไป๋ฮวยก็ปล่อยหมัดใส่กันอย่างกะทันหันจนเกิดเคลื่อนลมของการปะทะ ซึ่งการดวลระหว่างสองปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นไม่ใช่การต่อสู้แบบคนธรรมดาเพราะคลื่นจากการปะทะทำให้ดอกไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นลอยขึ้นมาบนอากาศและทั้งสองก็ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวและหลังจากนั้นพวกเขาก็รีบโจมตีใส่กันอีกครั้งในทันที
นี่คือในการต่อสู้ระยะประชิดอย่างแท้จริงและเป็นการต่อสู้ของพี่น้องร่วมชะตากรรมผ่านความตายกันมานับไม่ถ้วน จนในขณะนี้การต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดก็ได้เริ่มต้นขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้ได้ดึงดูดสายตาของทุกคนทันทีและมองดูโดยไม่กะพริบตา
กระบวนท่าการโจมตีของทั้งสองนั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมาทางด้านของไป๋ฮวยนั้นเป็นมวยไทเก๊กส่วนเย่เชียนนั้นเป็นมวยปาจี๋ที่ทั้งแข็งแกร่งและรวดเร็ว ซึ่งเป็นการยากที่จะบอกว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน ‘มวยไทเก๊กมีเพื่อรักษาโลกและมวยปาจี๋มีเพื่อสร้างโลก’ ไป๋ฮวยนั้นฝึกฝนมวยไทเก๊กมาโดยตลอดขณะที่เย่เชียนฝึกฝนมวยปาจี๋และทั้งสองวิชามวยก็ต่างฝ่ายต่างมีจุดแข็งเป็นของตัวเอง หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ใช่กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละวิชามวยและในตอนนี้ด้วยการใช้พลังปราณของศิลปะการต่อสู้จีนโบราณนั้นพูดได้เลยว่ามวยปาจี๋ของเย่เชียนในปัจจุบันไม่เหมือนกับสิ่งที่หลินจินไท่เคยสอนให้กับเขาอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตามศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกับศิลปะการต่อสู้ปกติจากผิวเผินเพราะไม่ว่าการเคลื่อนไหวจะเปลี่ยนไปอย่างไรแต่หลักการการโจมตีของกระบวนท่าของมันก็เหมือนกันเสมอ
หยานตงและคนอื่นๆ ในที่นี้ถือได้ว่าเป็นผู้นำในโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณและพวกเขาก็ได้เห็นการต่อสู้มานับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขารู้สึกตกตะลึงอย่างมากเพราะทักษะมวยที่ทั้งแข็งและรวดเร็วของทั้งสองก็ถูกแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่และดุเดือดอย่างมาก
หลินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาและมันไม่ใช่ความกลัวแต่มันเป็นความตื่นเต้น! เพราะเมื่อเห็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เขาก็ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นและความกระหายในใจได้และเขาก็อยากที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างทั้งสองจนแทบไม่ไหว
ในตอนนี้ไป๋ฮวยก็กระทืบเท้าขวาของเขาบนพื้นและร่างกายของเขาก็พุ่งออกไปทันที ซึ่งกระบวนท่าที่ดุดันที่สุดของมวยไทเก๊กนั้นถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเคยเห็นมาก่อนแต่ที่ผ่านมามันไมได้รุนแรงและทรงพลังเท่ากับของไป๋ฮวยเลย ถึงแม้ว่าจะมีการกล่าวกันว่าเย่เชียนกับไป๋ฮวยนั้นเรียนวิชามวยและศิลปะการต่อสู้ที่แตกต่างกันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้เรียนรู้ทักษะอื่นๆ ของกันและกันแต่อย่างใด
เย่เชียนได้เรียนรู้มวยปาจี๋ส่วนไป๋ฮวยได้เรียนรู้มวยไทเก๊กและแต่ละคนก็มีจุดแข็งเป็นของตัวเอง ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายและนั่นจึงทำให้การประลองครั้งนี้ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อเห็นไป๋ฮวยพุ่งเข้ามาเย่เชียนก็ไม่ประมาทเลยแม้แต่น้อย
“ปัง!” หมัดของไป๋ฮวยกระแทกร่างกายของเย่เชียนอย่างแรงและร่างของเย่เชียนก็กระเด็นออกไปราวกับว่าวที่หักกลางอากาศ ใครก็ตามที่มีสายตาที่เฉียบแหลมก็จะสามารถเห็นได้ว่าในช่วงเวลาหนึ่งเย่เชียนลดการป้องกันลงราวกับว่าเขาตั้งใจที่จะตายและไม่ต่อต้านเลยและนั่นก็ทำให้หม่าเต๋อหงและหวงฟู่ชิงเตี๋ยนตกใจอย่างมาก
จากนั้นเย่เชียนก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรงและกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋ฮวยตัดสินใจยับยั้งออมแรงการโจมตีของเขาในวินาทีสุดท้ายล่ะก็เย่เชียนคงจะตายไปแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นไป๋ฮวยก็ขมวดคิ้วโดยไม่ได้ตั้งใจและมีความไม่สบอารมณ์ที่มองไม่เห็นในดวงตาของเขา
“เย่เชียน!” หวังยู่ไม่สามารถอัดอั้นเอาไว้ได้อีกและร้องไห้ออกมา ส่วนเย่เชียนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งและมองดูอย่างว่างเปล่าและไม่รู้ว่าทำไมไป๋ฮวยถึงได้ยับยั้งการโจมตีในวินาทีสุดท้ายเอาไว้
หยานตงก็ยิ้มอย่างเฉยเมยและรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ส่วนหม่าเต๋อหงก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้วตะโกนว่า “เสี่ยวเชียนถ้าเอ็งยังทำแบบนี้ต่อไปเอ็งได้ตาย…” ก่อนที่เขาจะพูดจบเขาก็ถูกหยุดเอาไว้โดยสายตาของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเพราะหวงฟู่ชิงเตี๋ยนรู้จักกับเย่เชียนมานานและรู้จักเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นไม่ว่าหม่าเต๋อหงจะพูดอะไรมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
หลินเฟิงถอนหายใจเล็กน้อยและส่ายหัวแต่เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร
จากนั้นไป๋ฮวยก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “นายอยากตายงั้นเหรอ..อย่าลืมว่าสิ่งที่ฉันต้องการคือการต่อสู้ที่ดุเดือดไม่ใช่การยอมจำนน..ถ้านายไม่สามารถทำแบบนั้นได้นายก็น่าจะได้รู้สินะว่าผลที่ตามมาคืออะไรและฉันจะไม่มีวันปล่อยเขี้ยวหมาป่าไปอย่างแน่นอนและทำลายสิ่งที่นายสร้างมาทั้งหมดด้วยตัวเอง”
เย่เชียนก็ยืนขึ้นอย่างช้าๆ และเช็ดเลือดจากมุมปากจากนั้นก็ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ไป๋..พี่เคยช่วยชีวิตผมเอาไว้เพราะงั้นชีวิตนี้มันก็เป็นของพี่..ถ้าไม่มีพี่ล่ะก็ผมคงตายไปนานแล้วในทะเลทรายแห่งนั้น..พี่สามารถเอาชีวิตของผมกลับคืนไปได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการได้เลย”
“นายลืมที่ฉันเคยพูดไปแล้วงั้นเหรอ?” ไป๋ฮวยสูดลมหายใจอย่างเย็นชาและพูดว่า “ฉันบอกไปแล้วว่านายไม่ได้เป็นหนี้ชีวิตฉัน..ฉันก็ทำแบบเดียวกันกับคนอื่นในตอนนั้นและถ้านายยังฝังใจเรื่องนั้นอยู่ล่ะก็นายจะไม่ได้ตายเพียงลำพังแต่ยังเป็นพี่น้องเขี้ยวหมาป่าคนอื่นๆ อีกด้วยเพราะทุกคนจะต้องชดใช้กับการกระทำที่โง่เขลาของนาย!”
คำพูดของไป๋ฮวยนั้นหนักแน่นมากเพราะถ้าเย่เชียนไม่สามารถต่อสู้อย่างดุเดือดได้ล่ะก็เขาจะไม่มีวันปล่อยสมาชิกเขี้ยวหมาป่าไป เย่เชียนรู้ดีว่าสิ่งที่ไป๋ฮวยพูดมานั้นเขาสามารถทำได้เพราะไป๋ฮวยรู้จักเขี้ยวหมาป่าเป็นอย่างดีและถ้าหากไป๋ฮวยต้องการไล่ล่าสมาชิกคนอื่นๆ จริงล่ะก็จะไม่มีใครที่สามารถหลบซ่อนเขาได้เลย
เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “เอาสิ..ผมรู้ว่าผมเปลี่ยนใจพี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้วเพราะงั้นผมจะเติมเต็มสิ่งที่พี่ต้องการให้เอง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นไป๋ฮวยก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจและเห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าเย่เชียนกำลังคิดอะไรอยู่
.