ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 975 หวนคืนสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ตอนที่ 975 หวนคืนสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
เนื่องจากไป๋ฮวยนั้นปลอดภัยดีดังนั้นเย่เชียนจึงสามารถวางใจได้และถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะยังไม่หายดีแต่ไป๋ฮวยก็ดูแลตัวเองได้ เย่เชียนคิดว่าตราบใดที่ไป๋ฮวยได้ใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คงไม่เป็นอะไรและไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตราบใดที่ไป๋ฮวยยังมีชีวิตอยู่มันก็ดีกว่าสิ่งอื่นใด ถึงแม้ว่าไป๋ฮวยต้องการที่จะต่อสู้กับตัวเองในอนาคตเย่เชียนก็เต็มใจเช่นกัน
ในตอนนี้เย่เชียนก็สามารถทำงานของเขาได้อย่างสบายใจและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เต็มใจแต่นี่คือคำขอของหูวหนานเจียนและเย่เชียนก็ไม่ได้ต้องการที่จะฉีกหน้าเขา นอกจากนี้นี่ก็เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลจีนและยังเป็นโอกาสที่จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากในการพัฒนาเขี้ยวหมาป่าในประเทศจีน ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนยังได้ยินจากปากของหูวเค่อเกี่ยวกับการวิจัยการดัดแปลงพันธุกรรมในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถ้าหากพวกเขาประสบความสำเร็จจริงๆล่ะก็มันจะกลายเป็นพลังที่น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ลองคิดดูถ้ามีสมาชิกในกองทัพสหรัฐอเมริกาที่มีพลังแบบนักศิลปะการต่อสู้จีนโบราณล่ะก็มันจะน่ากลัวขนาดไหน? ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนก็ตามถึงยังไงเย่เชียนก็ต้องเข้าไปแทรกแซง ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนยังเกลียดรัฐบาลอเมริกาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยเมื่อคิดว่าจะต้องปลอมตัวเป็นนักศึกษาเพราะเมื่อเขามาถึงประเทศจีนครั้งแรกเย่เชียนก็ต้องปลอมตัวเป็นนักศึกษาเพื่อปกป้องจ้าวหยาและในเวลานั้นอาจกล่าวได้ว่าเขามีวิสัยทัศน์ที่ดีสำหรับชีวิตของในรั้วมหาวิทยาลัยแต่ตอนนี้เขาโตแล้วและจะไปมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนและอ่านหนังสือน่ะเหรอ? มันจะไม่ทำให้คนหัวเราะเยาะเขางั้นเหรอ? แน่นอนว่าหูวหนานเจียนได้ติดต่อกับมหาวิทยาลัยผ่านกระทรวงศึกษาธิการเอาไว้แล้วและคาดว่าเย่เชียนจะสะดวกสบายและไม่เป็นอะไรหากเย่เชียนจะโดดเรียนหรือไม่เข้าเรียนเหมือนนักศึกษาปกติ
หวังยู่นั้นค่อนข้างไม่เต็มใจที่จะต้องห่างจากเย่เชียนอีกแต่เธอก็รู้ดีว่าเย่เชียนไม่สามารถหยุดเคลื่อนไหวหรือหยุดเพราะใครได้และตอนนี้เธอได้เลือกเป็นผู้หญิงของเขาแล้วและหวังยู่ก็เต็มใจที่จะเป็นผู้หญิงที่สามารถรอเขาได้ตลอด แต่เมื่อเห็นเย่เชียนขึ้นเครื่องบินไปหัวใจของหวังยู่ก็บินไปกับเขาเช่นกันและมีแสงวาบในจิตใจของเธอและหวังยู่ก็ตกอยู่ในความคิดต่างๆนาๆ
มหาวิทยาลัยซีจิงเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำเพียงแห่งเดียวที่อยู่ในมณฑลส่านซี ถึงแม้ว่าอัตราการจ้างงานของนักศึกษาวิทยาลัยในปัจจุบันจะต่ำอย่างน่าสมเพชแต่ก็ไม่สามารถสั่นคลอนสถานะของมหาวิทยาลัยซีจิงในมณฑลส่านซีได้ นี่เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมายาวนาน จิ๋นซีฮ่องเต้จักรพรรดิองค์แรกของจีนกำเนิดมาจากที่นี่และตั้งแต่สมัยโบราณนั้นประเทศจีนดูเหมือนจะมีปรากฏการณ์แปลกๆที่แต่ละยุคแต่ละราชวงศ์จะต่อสู้จากเหนือจรดใต้แล้วรวมประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียวและจิ๋นซีฮ่องเต้ก็เป็นหนึ่งในนั้นและมีตำแหน่งที่ไม่สามารถลบออกไปได้ในประวัติศาสตร์จีน ไม่ว่านักประวัติศาสตร์จะตัดสินเขาอย่างไรแต่ในหัวใจของเย่เชียนแล้วเขาเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอ
ตอนนี้เย่เชียนได้มาถึงเมืองซีจิงแล้วและเย่เชียนก็รู้สึกว่าถ้าเขามีเวลาเขาต้องไปชื่นชมนักรบและม้าเครื่องดินเผา ซึ่งเป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนแต่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีที่สักการะของจิ๋นซีฮ่องเต้เลยซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเล็กน้อยเพียงเพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการพบหลุมฝังศพของจิ๋นซีฮ่องเต้
เมื่อนั่งอยู่บนเครื่องบินเย่เชียนก็หยิบข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของด็อกเตอร์หลี่ฉีออกมาและอ่านรายละเอียด เนื่องจากเป็นการปกป้องลูกสาวของด็อกเตอร์หลี่ฉีจึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีความเข้าใจในตัวพวกเขา ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการเป็นบอดี้การ์ดก็ตามแต่เขาก็ยังเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นหญิงสาวในภาพสีหน้าของเย่เชียนก็แน่นิ่งไปครู่หนึ่งราวกับว่าเขาเคยเห็นที่ไหนสักแห่งแต่เขาจำไม่ได้ อย่างไรก็ตามผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะให้ความรู้สึกคุ้นเคยมากราวกับเดจาวู “หลี่ซือ?” เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะพึมพำ
หลังจากทำความคุ้นเคยกับข้อมูลเหล่านี้แล้วเย่เชียนก็เก็บเอกสารกลับเข้าไปในซองเอกสาร ซึ่งหลังจากลงจากเครื่องบินแล้วเย่เชียนก็เดินเข้าไปที่มุมลับๆแล้วทำลายเอกสารข้อมูลทั้งหมด หลังจากนั้นก็นั่งแท็กซี่และตรงไปที่มหาวิทยาลัยซีจิง หลังจากที่คนขับแท็กซี่ถามว่าเย่เชียนกำลังจะไปไหนเขาก็หันกลับมามองเย่เชียนแล้วถามว่า “มหาวิทยาลัยซีจิงน่ะเหรอไม่น่าเชื่อเลยมันวิเศษมากที่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยซีจิงได้..ลูกของฉันสอบเข้าที่นั่นมาตั้งสองปีกว่าจะสอบผ่าน..ฉันล่ะเป็นกังวลแทบตาย”
เย่เชียนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มอย่างแผ่วเบาจากนั้นก็พูดว่า “ผมกำลังจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยซีจิง” นัยน์ตาของคนขับดูไม่ค่อยเชื่อนักแต่เขายิ้มด้วยความยินดีและพูดว่า “ตราบใดที่เราตั้งใจล่ะก็สากก็สามารถบดเหล็กให้เป็นเข็มได้”
เย่เชียนถึงกับผงะอยู่พักหนึ่งและเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นกับคำพูดของคนขับแท็กซี่เพราะดูเหมือนว่าเขาจะนึกถึงลูกชายของเขาที่เพิ่งเข้าเรียนใหม่ๆและเย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้พลางส่ายหัวเล็กน้อยและไม่พูดอะไร
อย่างไรก็ตามคนขับแท็กซี่ก็ดูเหมือนอยากที่จะพูดคุยเกี่ยวกับประวัติของมหาวิทยาลัยซีจิงว่ามีคนที่ใหญ่โตสำเร็จการศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ซึ่งยอดเยี่ยมมาก แน่นอนว่าเย่เชียนก็ได้ยินหลายสิ่งหลายอย่างแต่ก็ค่อนข้างคลุมเครือ
ก่อนที่เขาจะรู้ตัวรถก็มาถึงประตูมหาวิทยาลัยซีจิงแล้วคนขับก็ชี้ไปที่อาคารสีแดงๆแล้วพูดว่า “นี่คือมหาวิทยาลัยซีจิง” จากนั้นเย่เชียนก็เงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองไปที่วิทยาเขตและพบว่าไม่ค่อยมีนักศึกษาเดินเตร็ดเตร่และอาจเป็นเพราะตอนนี้คือเวลาเรียนตามปกติจึงทำให้ไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก
ทันใดนั้นร่างคนร่างหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของเย่เชียนซึ่งเขาแต่งกายเรียบง่ายและถือกระเป๋าสัมภาระเก่าๆสองใบและดูโทรมอย่างมากและใบหน้าของเขาก็ซีดเล็กน้อย นั่นอาจเป็นเพราะขาดสารอาหารจนมีร่างกายบอบบาง การแสดงออกของเด็กหนุ่มคนนี้ดูแข็งทื่อเล็กน้อยและพยายามหลบสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามที่เขาเผชิญกับนักศึกษาคนอื่นๆ ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากที่จะเงยหน้าขึ้นซึ่งเป็นความอายและความกลัวต่อสายตาผู้คน
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็จ่ายค่ารถแล้วเดินเข้าไปข้างในมหาวิทยาลัยอย่างช้าๆและเมื่อเขาไปถึงด้านข้างของเด็กหนุ่มแล้วเย่เชียนก็ฉีกยิ้มและยื่นมือออกมาพร้อมกับขวดน้ำแล้วพูดว่า “นายอยากดื่มน้ำมั้ย?..ฉันไม่นึกเลยว่าอากาศในซีจิงจะร้อนขนาดนี้..ฮ่าฮ่า..ว่าแต่นายเป็นนักศึกษาของที่นี่เหรอ?”
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววระแวดระวังอย่างเห็นได้ชัดเพราะเขาเคยชินกับการเห็นโลกที่แผดเผาความอบอุ่นของมนุษย์ทิ้งไป ดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเกี่ยวกับความใจดีของเย่เชียน อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นขวดน้ำในมือของเย่เชียนแล้วเขาก็กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัวเพราะสำหรับเขาน้ำแร่ขวดนี้หรูหรามากซึ่งทำให้เขากลัวเล็กน้อยที่จะรับมัน แต่เมื่อมองไปที่ดวงตาของเย่เชียนแล้วดูจริงใจมากแต่เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา จากนั้นก็เปิดฝาออกและดื่มอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรละอายใจออกไป “ฉันชื่อเยว่เหอตู” ชายหนุ่มพูดด้วยความสั่นเทาและเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนเก็บตัว
เยว่เหอตูเป็นชื่อที่ดูทรงพลังอย่างมากและเย่เชียนก็รู้สึกว่าพ่อของเด็กหนุ่มคนนี้ควรเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงแต่กลับไม่สามารถแสดงความทะเยอทะยานของเขาได้และในที่สุดเขาก็ฝากความหวังเอาไว้กับลูกๆของเขา จากนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า “พวกเราคือเพื่อนกัน..ฉันชื่อเย่เชียนที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน!”
ตอนนี้มหาวิทยาลัยก็เปิดเทอมมาได้เดือนกว่าแล้วแต่เด็กหนุ่มคนนี้เพิ่งจะมาสมัครเหมือนตัวเอง ซึ่งอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นที่บ้านของเขาและอาจเป็นเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจหรืออย่างอื่นแต่เย่เชียนไม่ได้ถามอะไรเพราะเห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเด็กที่ขี้กลัวและอ่อนต่อโลกภายนอก ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการขุดคุ้ยอดีตที่เลวร้ายของเขาเพื่อที่จะได้ไม่ทำร้ายจิตใจของเขา
เย่เชียนได้เห็นสิ่งเหล่านี้มาหลายครั้งแล้วและมันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับครอบครัวที่ยากจนจำนวนมากที่จะกีดกันไม่ให้บุตรหลานของตนไปเรียนที่วิทยาลัยชั้นนำและถึงแม้ว่าพวกเขาจะเข้ามหาวิทยาลัยเนื่องจากเหตุผลทางเศรษฐกิจก็ตามแต่ถึงยังไงด้วยค่าใช้จ่ายในปัจจุบันนี้ก็อาจจะทำให้สิ่งต่างๆเลวร้ายลงก็เป็นได้
เย่เชียนก็ช่วยเขาถือกระเป๋าสัมภาระให้และเดินไปที่สำนักวิชาการด้วยกันและเมื่อมาถึงประตูสำนักงานวิชาการแล้วอาจารย์วัยกลางคนที่เพิ่งจะเดินออกมาจากด้านในก็เหลือบไปเห็นเย่เชียนและเยว่เหอตูยืนอยู่ที่ประตูและดวงตาของเขาก้มลงไปมองที่กระเป๋าสัมภาระเก่าๆและดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง เมื่อเห็นเช่นนั้นสีหน้าของเยว่เหอตูก็ดูเขินอายอย่างเห็นได้ชัดและเขาก็ก้มหน้าลงและไม่กล้าสบตากับอาจารย์คนนั้นเลย
ว่ากันว่ามหาวิทยาลัยเป็นดินแดนที่แสนจะอิสระแต่แท้ที่จริงแล้วนี่มันโลกแคบๆของสังคมและมันยังเต็มไปด้วยความอุตสาหะและการดูถูกนักศึกษาและคนที่ยากจนอีกด้วย
“ทำอะไรกัน..ถอยไปและรีบๆเอาขยะนี่ออกไปจากประตูสำนักวิชาการอย่ามาขวางทางเข้าออกสิ” อาจารย์พูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างเฉยเมยและเพิกเฉยต่อเขาจากนั้นก็ยื่นมือออกเพื่อผลักเปิดประตูเดินเข้าไปและไหล่ก็กระแทกกับอาจารย์จนเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง การเดินเข้ามาอย่างกะทันหันของเย่เชียนเกือบจะทำให้เขาล้มลงและเมื่อเห็นเช่นนั้นเยว่เหอตูก็รีบไปพยุงอาจารย์เอาไว้แต่อาจารย์กลับผลีกเยว่เหอตูออกไปด้วยความรำคาญราวกับว่าเขาเป็นดาราที่หวงตัว จากนั้นอาจารย์คนนี้ก็ปัดเสื้อผ้าของเขาราวกับว่าเยว่เหอตูทำให้เสื้อผ้าของเขาแปดเปื้อนจนเยว่เหอตูก้มหน้าลงและการแสดงออกของเขาก็ดูแข็งทื่อและเขารู้สึกอายอย่างมาก
เย่เชียนก็หันหน้าไปจ้องมองอาจารย์คนนั้นอย่างดุเดือดและดวงตาก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าจนทำให้อาจารย์ตกใจและก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัวและกลืนคำพูดที่เขากำลังจะพูดลงไป แน่นอนว่าในมหาวิทยาลัยเช่นนี้อาจารย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรใดๆแต่เมื่อเผชิญกับนักศึกษาที่ยากจนอย่างเยว่เหอตูแล้วพวกเขาก็สามารถควบคุมชะตากรรมของนักศึกษาเหล่านั้นและข่มเหงได้ จากนั้นเย่เชียนก็ก้มลงและหยิบกระเป๋าสัมภาระเดินเข้าไปในห้องแล้วหันมายิ้มให้เยว่เหอตูและคนหลังก้มลงหยิบกระเป๋าสัมภาระอีกใบแล้วรีบเดินตามเย่เชียนเข้าไปทันที
สำนักงานนั้นสะอาดมากแต่ไม่ได้หรูหรามากนักแต่สำหรับเยว่เหอตูแล้วมันคือสวรรค์ จากนั้นพวกเขาก็วางกระเป๋าสัมภาระลงที่พื้นและเย่เชียนก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างสง่างาม แต่เยว่เหอตูยืนจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็มองไปที่เสื้อผ้าของเขาโดยไม่รู้ตัวแล้วเดินไปข้างๆเย่เชียนและยืนอยู่ที่นั่นด้วยความประหม่า
.
.
.