ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 977 อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
ตอนที่ 977 อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและดวงตาของเขาก็จับจ้องไปที่อาจารย์สาวด้วยความอาฆาตและเธอก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน “คุณก็ต้องอยู่ที่นี่และเอาชีวิตรอดให้ได้เช่นกัน..คุณต้องตั้งใจทำหน้าที่และอย่าปล่อยให้พวกนักศึกษาออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด” เย่เชียนพูดอย่างเย็นชา
เยว่เหอตูรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกในร่างกายของเย่เชียนอย่างชัดเจนและก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและดึงแขนของเย่เชียนโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ส่งสายตาให้กับเย่เชียนว่าไม่อย่าทำแบบนี้เลยจากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มให้เขาและจ้องมองไปที่อาจารย์สาวอีกครั้งแต่ไม่ได้พูดอะไรอีกและเดินเข้าไปยังหอพักทันที
ระหว่างทางนักศึกษาสาวต่างก็จ้องมองไปที่พวกเขาและถึงแม้ว่าสีหน้าของเย่เชียนจะแน่นิ่งจนเปรียบได้กับกำแพงเมืองโบราณก็ตามแต่พวกเธอก็ยังรู้สึกหลงใหลอยู่ดี ทันใดนั้นเย่เชียนก็รู้สึกราวกับว่าเขาเปลือยกายอยู่ภายใต้ดวงตาของผู้หญิงเหล่านี้และเขาก็รู้สึกอึดอัดอย่างมากเพราะดวงตาของพวกเธอราวกับหมาป่าที่หิวโหย
เยว่เหอตูก็ก้มหน้าลงจนสุดทางและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเลยแม้แต่นิดเดียว บางทีอาจเป็นเพราะเขามองว่าตัวเองต่ำต้อยจนไม่กล้าที่จะสบตาหญิงสาวเหล่านั้นได้โดยตรง สำหรับเยว่เหอตูแล้วมหาวิทยาลัยเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาและเขาเพียงหวังที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่โดยการเรียนอย่างหนักหน่วงและหางานที่มั่นคงหลังจากสำเร็จการศึกษา ดังนั้นการมีแฟนหรือคนรักมันไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังเลยและมันก็เป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าคิดอีกด้วย
“วิชาการเงินวันนี้น่าเบื่อมากจนฉันเกือบจะหลับจริงๆ” จู่ๆก็มีเสียงใสๆแว่วเข้ามาในหูของเย่เชียนและเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองและเห็นร่างที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ข้างหน้าเขาแต่เขาก็ยังจำไม่ได้ว่าเขาเคยเจอที่ไหน
ดวงตาของหญิงสาวก็จับจ้องไปที่เย่เชียนและมีความรู้สึกเหมือนเดจาวูแต่เธอก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอก็ยังจำไม่ได้ว่าเธอเคยพบชายตรงหน้าเธอที่ไหน อย่างไรก็ตามหญิงสาวก็ยังคงยิ้มและพยักหน้าให้เย่เชียนอย่างสุภาพและรอยยิ้มที่แสดงถึงความอ่อนโยนของเด็กผู้หญิงจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มให้กลับ
เยว่เหอตูก็เงยหน้าขึ้นและเมื่อเขาเห็นหญิงสาวเขาก็รีบหันหน้าหนีเพราะสำหรับเขามันเป็นโลกที่แตกต่างระหว่างหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขากับเขาและเขาก็ไม่กล้าที่จะมีความคิดๆทั้งสิ้น
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้อาจารย์สาวที่มองอยู่ไกลๆก็ถอนหายใจดังๆแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกเพราะแววตาของเย่เชียนก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอราวกับใบมีดที่แหลมคมที่สามารถแทงทะลุหัวใจของคนๆหนึ่งได้จนทำให้เธอรู้สึกหนาวสั่นในใจ แน่นอนว่าเย่เชียนไม่ได้ทักทายนักศึกษาหญิงแต่อย่างใดเพราะภารกิจของเขาที่นี่คือการหาตัวหญิงสาวที่ชื่อหลี่ซือหรือเฉินซือให้ได้โดยเร็วที่สุด
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ความคิดของเย่เชียนก็วูบวาบขึ้นมาทันทีเพราะผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นผู้หญิงในข้อมูลที่หูวหนานเจียนมอบให้เขาและเธอก็เป็นลูกสาวของด็อกเตอร์หลี่ฉี เมื่อมองไปที่ด้านหลังของหญิงสาวที่จากไปเย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยเพราะดูเหมือนว่าเขาจะต้องทำความรู้จักกับเธอให้ได้โดยเร็วที่สุดไม่เช่นนั้นเขาจะต้องคอยตามคุ้มกันเธอเหมือนกับพวกโรคจิตใช่ไหม? ในขณะนั้นคนอื่นจะคิดว่าเขามุ่งร้ายกับเธออย่างแน่นอน
เมื่อไปถึงห้องพักไม่มีใครอยู่ที่นั่นแต่มีเตียงหนึ่งเตียงถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนและคิดว่าคนๆนั้นคงจะไปเรียนแล้ว “หอพักของมหาวิทยาลัยน่าอยู่จัง” เยว่เหอตูพูดด้วยอารมณ์ที่คิดถึงบ้านเกิดในชนบทและครอบครัวห้าคนที่อาศัยอยู่ในบ้านดินที่ทรุดโทรม เมื่อนึกถึงเช่นนั้นเยว่เหอตูก็ตัดสินใจว่าเขาจะต้องเรียนให้หนักและหางานที่ดีทำในอนาคตและพาครอบครัวของเขามาที่เมืองแห่งนี้ให้ได้
เย่เชียนมองไปที่แผ่นหลังของเยว่เหอตูและพยักหน้าอย่างเงียบๆและคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะมีเรื่องราวมากมายเหมือนเขาและมีเรื่องที่ขมขื่นอย่างมากเกิดขึ้นกับเขา ซึ่งเย่เชียนก็ตัดสินใจที่จะคอยสังเกตและดูสถานการณ์ของเยว่เหอตูอย่างลับๆและถ้าหากเยว่เหอตูคู่ควรเขาก็สมควรได้รับความช่วยเหลือและเย่เชียนก็จะยื่นมือไปช่วยเขาและสนับสนุนเขาให้ได้ดีนั่นเอง
เป็นเพราะการตัดสินใจครั้งนี้เองที่ทำให้หลายปีต่อมาภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้กลายเป็นถิ่นของคนที่ชื่อว่าเยว่เหอตูและชื่อของเขาก็ก้องกังวานจากเหนือจรดใต้ของแถบนี้
หลังจากจัดเตียงและจัดกระเป๋าแล้วจู่ๆก็มีคนผลักประตูเข้ามา ซึ่งเขาถือลูกบาสเก็ตบอลและมีเหงื่อออกทั่วร่างกายและเมื่อเห็นเย่เชียนกับเยว่เหอตูอยู่ในห้องเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกนายพึ่งย้ายเข้ามาใหม่เหรอ..ทำไมพวกนายถึงเพิ่งมาล่ะ..พวกนายรู้มั้ยว่าฉันกลัวการอยู่ที่นี่คนเดียวตอนกลางคืนมากและฉันก็กังวลว่าหมาป่าพวกนั้นจะมาขย้ำฉันตอนกลางคืน..ตอนนี้ที่พวกนายมาฉันก็รู้สึกโล่งใจมากที่มีใครสักคนอยู่กับฉันที่นี่..เอาล่ะสวัสดีฉันชื่อฟู่เซิง” ชายหนุ่มที่ดูเย่อหยิ่งมากแต่ดูเผินๆแล้วเหมือนจะใจดี ซึ่งคาดว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะเขากลัวแต่เพราะเขากังวลว่าทำไมไม่มีสาวมาเคาะประตูในเวลากลางคืนเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนตรงไปตรงมาและเย่เชียนก็ชอบคนแบบนี้มาก “ฉันชื่อเย่เชียนเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ย้ายเข้ามาใหม่และฉันก็เพิ่งจะไปรายงานตัววันนี้เอง” เย่เชียนพูด
“ส่วนฉันชื่อเยว่เหอตู..ฉันมารายงานตัวช้าเพราะที่บ้านมีปัญหาบางอย่างน่ะ” เยว่เหอตูพูดอย่างเขินอายและเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการพูดถึงเรื่องที่เขามารายงานตัวช้ามากกว่านี้
ฟู่เซิงก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เยว่เหอตู?..นี่นายคือคนที่ทำคะแนนได้อันดับหนึ่งในมณฑลส่านซีใช่มั้ย?..ฉันดีใจมากที่ได้อยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อันดับหนึ่ง..ยินดีที่ได้รู้จักและในอนาคตได้โปรดช่วยสนับสนุนฉันด้วย”
เยว่เหอตูก็ยิ้มอย่างเชื่องช้าและคิดว่าช่วยดูแลและสนับสนุนงั้นเหรอ? คนอย่างเขาจะดูแลคนอื่นได้อย่างไรแต่ความกระตือรือร้นของฟู่เซิงนั้นก็ยังคงทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเพราะในสังคมที่ดีเกินจริงแบบนี้อย่างๆน้อยๆเยว่เหอตูก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นเพราะฟู่เซิงคนนี้ที่เป็นดูเป็นมิตรและไม่หยิ่งผยองเหมือนกับคนอื่นๆและในไม่ช้าเยว่เหอตูก็มองเขาเหมือนกับเย่เชียนที่รู้สึกผ่อนคลายเวลาอยู่ด้วย ในใจของเยว่เหอตูนั้นคิดว่าถึงแม้ว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยต่อจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก็ตามแต่ก็ยังมีมิตรภาพที่ดีอยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าเยว่เหอตูสงวนคำพูดเอาไว้เล็กน้อยดังนั้นฟู่เซิงจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
ในตอนนี้เยว่เหอตูก็นั่งลงแล้วขมวดคิ้วแน่นเพราะสิ่งที่เขาต้องทำต่อจากนี้คือการหางานพาร์ทไทม์ทำเพราะเหลือเงินเขาอยู่ไม่ถึง 100 หยวน ดังนั้นถ้าหางานไม่ได้เขาก็จะอดตายและแน่นอนว่าเย่เชียนเห็นฉากนี้ได้ภายในดวงตาของเยว่เหอตูอย่างชัดเจน แต่เขาไม่ได้พูด หากใครต้องการเป็นคนที่มีอำนาจและสำเร็จล่ะก็เขาก็ต้องลำบากและพยายามก่อน แน่นอนว่าตอนนี้เย่เชียนไม่คิดที่จะช่วยเพราะเขาต้องการดูว่าเยว่เหอตูนั้นมีความมุ่งมั่นและความอุตสาหะมากน้อยเพียงใดเพราะด้วยอิทธิพลและอำนาจทางการเงินในปัจจุบันของเย่เชียนแล้วเขาไม่มีปัญหาในการทุ่มเงินไม่กี่ล้านให้กับเยว่เหอตูเลย แต่สิ่งนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆได้และบางทีเยว่เหอตูจะถือว่ามันเป็นการดูถูกเขา ดังนั้นเมื่อใดที่เขารู้สึกว่าเยว่เหอตูมีค่าควรแก่การช่วยเขาก็จะช่วยแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็พอแล้วเพราะเยว่เหอตูต้องเดินบนถนนด้วยตัวเอง
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นประตูก็ถูกผลักเปิดอีกครั้งและชายหนุ่มสวมชุดแบรนด์เนมทันสมัยก็เดินเข้ามาและเสื้อผ้าทั้งตัวก็มีมูลค่าอย่างน้อยๆห้าพันหยวนและมีชายสองคนสวมแว่นกันแดดอยู่ข้างหลัง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นบอดี้การ์ดและนอกจากนี้ก็ยังมีหญิงวัยกลางคนด้วยและถึงแม้ว่าเธอจะแต่งกายอย่างมีเกียรติมากแต่การแสดงออกของเธอก็ดูหยาบคายอย่างมาก
เย่เชียนเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นรถเมอร์เซเดสเบนซ์อยู่ด้านล่างซึ่งดูเหมือนจะเป็นรถครอบครัวของเขา ในเวลานี้หญิงชราก็เดินเข้าไปในห้องนอนและขมวดคิ้วจากนั้นก็เอามือปิดจมูกแล้วพูดว่า “ลูกจะอยู่ในที่สกปรกแบบนี้ได้ยังไง..โอ่วเทียนแม่บอกให้อยู่บ้านตั้งแต่แรกแล้วทำไมลูกถึงอยากมาอยู่ที่ซอมซ่อแบบนี้..อีกอย่างที่นี่ก็อยู่ในหอพักหญิงอีกด้วยมันเหมาะสมแล้วงั้นเหรอ?”
สีหน้าของเย่เชียนนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักเพราะเขาเคยเห็นคนแบบนี้มาเยอะและเขาก็ไม่มีความขุ่นเคืองอะไรเป็นพิเศษแต่รู้สึกขยะแขยงเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไร ดูเหมือนคนหยิ่งผยองพวกนี้จะมีเยอะจริงๆ ซึ่งเย่เชียนก็ไม่คิดว่าจะมีคนที่มารายงานตัวช้าไปหนึ่งเดือนแบบเขาเลย ส่วนการแสดงออกของฟู่เซิงนั้นดูโกรธเล็กน้อยและมีความรังเกียจอย่างมากในสายตาของเขาเพราะเขาเกิดในครอบครัวธรรมดาไม่ได้ยากจนมากนัก ส่วนการแสดงออกของเยว่เหอตูก็รู้สึกประหลาดใจเพราะเห็นได้ชัดว่าที่นี่นั้นดีมากแต่หญิงวัยกลางคนคนนี้พูดได้อย่างไรว่ามันไม่ดี? เมื่อดูตัวเองและมองคนอื่นแล้วเยว่เหอตูก็ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“แม่ว่าไงนะ?..ผมคิดว่าที่นี่ก็สวยดี..ในเมื่อผมต้องเข้ามหาวิทยาลัยเพราะงั้นผมก็ขอสัมผัสชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างอิสระได้มั้ย?..ผมไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไปแล้ว” หยุนโอ่วเทียนพูดด้วยความไม่พอใจ
“ก็ได้..แกสามารถอยู่ในมหาวิทยาลัยได้ตามที่แกต้องการแต่แกต้องกลับบ้านอาทิตย์ละครั้งเพราะแม่คิดถึงลูกมาก” หลังจากหญิงวัยกลางคนพูดจบเธอเหลือบมองไปที่บอดี้การ์ดทั้งสองและหลังจากนั้นพวกเขาก็กำลังจะเดินเข้าไปจัดเตียงให้
“เดี๋ยวผมจัดการเองทุกคนกลับไปเถอะ” หยุนโอ่วเทียนพูดด้วยความเร่งรีบเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาต้องจะใช้เวลาหลายปีกับเย่เชียนและคนอื่นๆในอนาคตดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการทำให้พวกเขาเหล่านี้ลำบากใจไปมากกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ลูกหลานของครอบครัวที่ร่ำรวยที่ชอบเหยียบย่ำดูถูกคนอื่นดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้แม่และบอดี้การ์ดอยู่ที่นี่อีกต่อไป
บอดี้การ์ดทั้งสองก็เหลือบมองไปที่หญิงวัยกลางคนและเธอก็พยักหน้าจากนั้นหนึ่งในบอดี้การ์ดก็มองไปที่เย่เชียนและคนอื่นๆแล้วพูดว่า “ในอนาคตนายน้อยของเราจะอยู่ที่นี่เพราะงั้นพวกแกห้ามทำอะไรให้นายน้อยไม่พอใจรู้มั้ยไม่งั้นพวกแกโดนดีแน่!”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและดวงตาของเขาค่อยๆจ้องมองไปที่บอดี้การ์ดทั้งสองและแน่นอนว่าเยว่เหอตูนั้นไม่กล้าที่จะต่อต้านใดๆเพราะเขาคุ้นเคยกับการถูกรังแกและข่มเหงมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นการข่มขู่แบบนี้ไม่มีความหมายสำหรับเขาเลย แต่ฟู่เซิงนั้นไม่เหมือนกับเยว่เหอตูเพราะเขาลุกยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนว่า “หืม” และพูดว่า “บ้าจริง..แค่พวกลุงสองคนสวมแว่นกันแดดสีดำแบบนี้ลุงก็คิดว่าลุงคือสายลับ007จริงๆน่ะเหรอ?”
ความกล้าหาญนั้นอันเป็นเอกลักษณ์ของคนชนบทอยู่แล้วและถึงแม้ว่าจะห่ามและหุนหันพลันแล่นไปหน่อยแต่ก็น่าชื่นชม เมื่อได้ยินเช่นนั้นการแสดงออกของบอดี้การ์ดทั้งสองก็เปลี่ยนไปและพวกเขาก็เอื้อมมือออกไปและคว้าคอเสื้อของฟู่เซิงทันที
.
.