ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 978 งานเลี้ยงพบปะสังสรรค์
ตอนที่ 978 งานเลี้ยงพบปะสังสรรค์
หมาสู้คน!
สุนัขที่ไม่มีเจ้าของมักจะอ่อนแอแต่เมื่อเจ้าของอยู่ข้างหลังแล้วดูเหมือนว่ามันต้องการแสดงให้เห็นว่ามันเก่งแค่ไหนและจะไม่ใช่แค่เห่าอีกต่อไป
เมื่อเห็นบอดี้การ์ดคว้าคอเสื้อของฟู่เซิงแล้วเย่เชียนก็พุ่งเข้าไปคว้าข้อมือของบอดี้การ์ดคนนั้นแล้วบิดอย่างแรง จากนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยน้ำที่เสียงเย็นชาว่า “ที่นี่คือมหาวิทยาลัยมันไม่ใช่สวนหลังบ้านของคุณที่คุณจะสามารถทำอะไรก็ได้!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็ปล่อยมือและอีกฝ่ายก็รีบถอยกลับไปด้วยสีหน้าที่ดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“ใครสั่งให้พวกคุณทำแบบนี้?..ออกไปจากที่นี่ซะ!” หยุนโอ่วเทียนตะโกนอย่างฉุนเฉียวแล้วเขาก็เหลือบมองหญิงวัยกลางคนแล้วพูดว่า “แม่ครับกลับไปเถอะ..ผมต้องเตรียมตัวไปเรียน!”
หญิงวัยกลางคนก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ได้..ถ้างั้นแม่กลับก่อนนะ” เมื่อพูดจบเธอก็ส่ายหัวและเหลือบมองไปที่บอดี้การ์ดทั้งสองแล้วหันหลังเดินออกไป
เมื่อเห็นพวกเขาจากไปหยุนโอ่วเทียนก็เหลือบมองเย่เชียนและคนอื่นๆด้วยความขอโทษและพูดว่า “ฉันต้องขอโทษพวกนายด้วย.
เย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยและดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ดีและอย่างน้อยๆก็ไม่เหมือนลูกหลานครอบครัวที่ร่ำรัวที่เอาแต่ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ส่วนฟู่เซิงก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไปอย่างรวดเร็วเพราะปกติแล้วเขาเป็นคนประเภทที่ไม่โกรธแค้นใคร จากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ปีนี้มีคนมาสมัครเยอะเลยทีเดียว..ดูพวกนายสิมารายงานตัวสายกันตั้งหนึ่งเดือนเลย”
หลังจากแนะนำตัวสั้นๆทุกคนก็ดูคุ้นเคยกันและเย่เชียนก็สวมบทบาทเป็นพี่ใหญ่โดยไม่ลังเลใจใดๆ เย่เชียนก็ไม่ได้พูดถึงตัวเองมากนักแต่พูดง่ายๆว่าเขาเป็นนักเรียนย้ายมาจากเมืองปักกิ่งและถึงแม้ว่าทุกคนจะมีความสงสัยอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
เนื่องจากฟู่เซิงมาที่นี่ตั้งแต่หนึ่งเดือนที่แล้วดังนั้นเขาจึงรู้จักมหาวิทยาลัยมากกว่าใคร ดังนั้นเขาจึงพาเย่เชียนและเยว่เหอตูไปซื้อของที่จำเป็น ซึ่งเยว่เหอตูก็ดูลังเลใจกับทุกอย่างและถึงแม้ว่ามันจะของใช้เล็กๆน้อยๆก็ตามแต่เขาก็ใช้เวลานานในการตัดสินใจและเห็นได้ชัดว่าฟู่เซิงดูใจร้อนและต้องการจ่ายให้กับเยว่เหอตูแต่ก็ถูกสายตาของเย่เชียนยับยั้งเอาไว้เพราะเยว่เหอตูเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีในตัวเองอย่างแรงกล้าเพราะฉะนั้นถ้าหากฟูงเซิงทำเช่นนี้ก็จะเหมือนว่าเขากำลังดูถูกเยว่เหอตูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถึงแม้ว่าฟู่เซิงจะไม่ได้หมายความอย่างนั้นแต่เยว่เหอตูต้องคิดแบบนั้นอย่างแน่นอน
หลังจากซื้อของแล้วเยว่เหอตูก็เหลือเงินน้อยกว่าหกสิบหยวนและถึงแม้ว่าเขาจะประหยัดเงินมากแค่ไหนแต่เยว่เหอตูก็ยังรู้สึกหนักใจกับราคาสินค้าในเมืองใหญ่ๆๆเช่นนี้ หลังจากกลับมาที่หอพักเยว่เหอตูก็นำอาหารพื้นเมืองบางอย่างออกจากกระเป๋าสัมภาระและมอบให้ทุกคน
“มาเถอะเดี๋ยวคืนนี้ฉันจะเลี้ยงมื่อเย็นทุกคนเองเพื่อเป็นการขอโทษกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้น” หยุนโอ้วเทียนพูดและการแสดงออกของเยว่เหอตูก็แน่นิ่งไปและมือที่เขายื่นออกไปก็ดึงกลับมา เพราะเขากลัวว่าอาหารที่เขาเตรียมมาจะไม่ถูกใจลูกหลานครอบครัวที่ร่ำรวยใช่ไหม? หยุนโอ่วเทียนเห็นความอับอายของเยว่เหอตูได้อย่างชัดเจนดังนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปหยิบของที่อยู่ในมือของเยว่เหอตูและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไหนๆ..ฉันขอลองชิมหน่อย”
เย่เชียนที่เห็นการกระทำของหยุนโอ่วเทียนเขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกันเพราะงั้นเรามาช่วยกันหารค่าอาหารกันเถอะ..ฉันจะปล่อยให้นายจ่ายคนเดียวได้ยังไง?” ฟู่เซิงพูด
การแสดงออกของเยว่เหอตูก็เปลี่ยนไปและพูดเบาๆว่า “พวกนายไปเถอะฉันไม่ไปนะ” การหารค่าใช้จ่ายงั้นเหรอ? ในตัวของเขาเหลือเงินอยู่เพียง 60 หยวนแล้วเขาจะจ่ายได้ยังไง?
เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “โอ่วเทียนเขาอุตส่าชวนเพราะงั้นไม่ต้องหารกันหรอกไม่งั้นก็เหมือนกับว่าเราทำให้เขาเสียหน้า..นายเองก็ไปด้วยกันเถอะเหอตู..ยังไงซะพวกเราทุกคนก็อยู่ใต้ชายคาเดียวกันแล้วและเราจะเป็นเพื่อนกันในอนาคตเพราะงั้นถ้านายไม่ไปเราก็เสียใจแย่สิ”
แน่นอนว่าหยุนโอ่วเทียนเข้าใจความหมายในคำพูดของเย่เชียนดังนั้นเขาจึงพูดเสริมว่า “ใช่แล้วเดี๋ยวฉันจะเป็นเจ้ามือเอง..ในเมื่อพวกเราอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแล้วเพราะงั้นพวกเราก็ควรจะสนิทกันเข้าไว้สิ!”
ถึงแม้ว่าฟู่เซิงจะตกตะลึงเล็กน้อยแต่เขาก็เห็นความคิดของเยว่เหอตูได้และแน่นอนว่าเขาเห็นด้วยอย่างยิ่งและบรรยากาศที่ดูตึงเครียดก่องหน้านี้ก็ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วและหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
เยว่เหอตูก็อยากจะปฏิเสธแต่เย่เชียนตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “ความสำเร็จของคนเรานั้นไม่สามารถพึ่งพาตัวเองเพียงคนเดียวได้เพราะงั้นเพื่อนๆและพวกพ้องนั้นคือสิ่งที่จะทำให้เราก้าวเดินต่อไปได้อย่างราบรื่น” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเยว่เหอตูก็มองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจจากนั้นก็ยิ้มให้เย่เชียนแล้วพยักหน้า
ในฐานะที่เป็นนายน้อยหยุนแล้วเขาจึงเลือกโรงแรมหรูหราที่สุดใกล้มหาวิทยาลัย แน่นอนว่าที่มหาวิทยาลัยซีจิงแห่งนี้มีลูกหลานครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอีกธิพลมากมาย ดังนั้นจึงมีโรงแรมค่อนข้างมากในบริเวณใกล้เคียงและธุรกิจก็กำลังเฟื่องฟู แน่นอนว่านักศึกษาหลายคนที่มาเรียนยังมหาวิทยาลัยซีจิงนั้นพวกเขามาที่นี่เพื่อรับประกาศนียบัตรเท่านั้นแต่ไม่ได้สนใจเรียนมากนักและบางคนก็มาเพื่อแค่หาความสนุกและหาแฟนเท่านั้น
การนั่งอยู่ในห้องส่วนตัววีไอพีที่หรูหรานั้นเห็นได้ชัดว่าเยว่เหอตูกระสับกระส่ายและประหม่าอย่างมากและดูไม่คุ้นเคยกับสถานที่เหล่านี้ เขาไม่เคยกล้าคิดเกี่ยวกับโอกาสเช่นนี้มาก่อนและเมื่อเย่เชียนเห็นความประหม่าของเยว่เหอตูแล้วเขาก็ตบไหล่เบาๆเพื่อบ่งบอกว่าเขาไม่ควรที่จะประหม่า จากนั้นเยว่เหอตูก็หันไปเหลือบมองเย่เชียนและดวงตาก็เต็มไปด้วยความขอบคุณ
ในความเป็นจริงนักศึกษาวิทยาลัยส่วนใหญ่เข้ามหาวิทยาลัยด้วยความฝันในตอนแรกแต่แล้วพวกเขาก็ค่อยๆหลอมรวมกับความโลภและความเพลิดเพลินกับชีวิตที่แสนจะสบายจนพวกเขาลืมไปว่าทำไมพวกเขาถึงพยายามอย่างหนักเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในตอนแรกและหลายๆคนก็ลืมอุดมคติและลืมความพยายามกับความตั้งใจไป
นี่เป็นปัญหาทั่วไปสำหรับนักศึกษาวิทยาลัยหลายๆคนเพราะหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้วพวกเขามักจะสูญเสียเป้าหมายและถูกครอบงำอย่างกะทันหันและตอนนี้สังคมในปัจจุบันก็ช่างโหดร้ายและบางทีพวกเขาอาจต้องการสัมผัสความสะดวกสบายและชีวิตที่อิสระเช่นนี้
ในระหว่างมื้ออาหารเยว่เหอตูก็ยังประหม่าอยู่เล็กน้อยและดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะกินอะไรมากนัก ซึ่งเย่เชียนก็เห็นสิ่งเหล่านี้ได้แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมากเพราะบุคลิกของเยว่เหอตูก็มีข้อดีและนั่นคือความพากเพียรความยับยั้งชั่งใจแต่ก็มีจุดที่แย่มากและนั่นคือเขาเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง สิ่งนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวเองเท่านั้นและเย่เชียนก็ไม่สามารถช่วยเขาได้
ฟู่เซิงเป็นคนที่พูดอย่างเถรตรงเพราะเขาเอาแต่พูดถึงผู้หญิงที่เป็นเหมือนดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย,ดอกไม้ประจำคณะและสาขา แน่นอนว่าเย่เชียนไม่ได้ตั้งใจฟังนักแต่ชื่อของหลี่ซือนั้นยังคงทำให้เขาสนใจเพราะเมื่อฟู่เซิงได้พูดถึงหลี่ซือมากมายแต่เย่เชียนก็ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัยซีจิง
หยุนโอ่วเทียนก็ฟังด้วยความสนใจอย่างมากและปากของเขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะถามถึงพวกเธอเพราะดูเหมือนว่าเขาจะสนใจสิ่งที่ฟู่เซิงพูดอย่างมากและเขาก็รู้สึกเป็นกันเอง ซึ่งมีนักศึกษาเพียงไม่กี่คนที่ตั้งใจเรียนในวิทยาลัยจริงๆแต่การที่หยุนโอ่วเทียนไม่ได้มีความเย่อหยิ่งเหมือนลูกคนรวยคนอื่นๆนั้นมันก็เป็นสิ่งที่ดีมากอยู่แล้ว
“พวกนายโชคดีมากที่ไม่พลาดกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นที่สุดในมหาวิทยาลัย” ฟู่เซิงพูดอย่างเพลิดเพลิน “คืนพรุ่งนี้จะเป็นงานเลี้ยงต้อนรับเหล่านักศึกษาใหม่และสาวๆก็จะแต่งตัวสวยๆมาร่วมงานกัน..นั่นเป็นฉากที่ยอดเยี่ยมที่เราไม่ควรพลาด..งานจัดที่หอประชุมของมหาวิทยาลัย..พวกนายมาได้ทันเวลาพอดีไม่งั้นพวกนายจะพลาดโอกาสดีๆไปฉันคิดว่าพวกนายโชคดีมาก”
เย่เชียนนั้นไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อยเพราะเป้าหมายของเขาในการมาที่นี่คือการปกป้องหลี่ซือไม่ใช่เพื่อมาหาผู้หญิง อย่างไรก็ตามทางด้านหยุนโอ่วเทียนดูตื่นเต้นมากและดวงตาของเขาก็แวววับเป็นประกาย ซึ่งด้วยรูปลักษณ์หน้าตาและทรัพยากรทางการเงินของหยุนโอ่วเทียนนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรที่เขาจะจีบสาวๆ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เย่เชียนสงสัยก็คือเด็กคนนี้ดูตื่นเต้นมากราวกับว่าเขาไม่เคยเห็นผู้หญิง?
การเดาของเย่เชียนนั้นผิดพลาดไปเพราะอันที่จริงหยุนโอ่วเทียนไม่ใช่ไม่เคยเห็นผู้หญิงหรือไม่มีแฟนมาก่อนแต่เขาเคยเป็นเด็กติดเกมและเมินผู้หญิงสวยๆมาตลอดและบางทีอาจเป็นเพราะฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันในช่วงวัยแรกรุ่นดังนั้นเขาจึงเริ่มมีความปรารถนาอันแรงกล้าอย่างมากเกี่ยวกับผู้หญิง หลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่งเย่เชียนก็พูดว่า “ไม่แปลหรอกที่จะพูดถึงเรื่องความรักไม่อย่างนั้นชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยก็คงจะน่าเบื่อจริงๆ..นี่ถือได้ว่าเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้ตัวเองล่วงหน้าไม่งั้นพวกนายจะใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบากเมื่อได้แต่งงานกับภรรยาในอนาคต..มันจะเป็นเหมือนโศกนาฏกรรมเลยทีเดียว”
การพูดหัวข้อนี้ของเย่เชียนเป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างมากจนฟู่เซิงกับหยุนโอ่วเทียนรีบเอ่ยปากถามเกี่ยวกับเรื่องความรักของผู้ชายและผู้หญิงและคำถามนั้นก็ชัดเจน ส่วนเยว่เหอตูที่อยู่ข้างๆก็เขินอายจนหน้าแดงเพราะเขาไม่กล้าคิดเรื่องพวกนี้และมันไม่ใช่เรื่องที่ควรคิด ในความเห็นของเขาสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้คือตั้งใจเรียนและหางานที่ดีหลังจากสำเร็จการศึกษาใน อนาคต ดังนั้นการตกหลุมรักเป็นสิ่งที่คนรวยและคนที่มีชีวิตสะดวกสบายคิดกัน
ในตอนนี้เย่เชียนไม่มีทางที่จะหนีไปจากคำถามของทั้งสองได้ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งเมื่อพูดออกไปทั้งสองก็ตกตะลึงอย่างมากจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกนายสองคนไม่เคยมีแฟนเลยงั้นเหรอ?”
“ใช่..มันน่าเบื่อมาก..ถ้าฉันหาแฟนไม่ได้ล่ะก็เมื่อไหร่ที่ฉันป่วยใครจะมาดูแลฉัน..ชีวิตนี้ฉันจะเสียประสบการณ์ที่ดีแบบนั้นได้ยังไง” หยุนโอ่วเถียนพูด
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ถ้างั้นพวกนายก็ต้องเลือกจีบอย่างระมัดระวังในคืนวันพรุ่งนี้..ถ้าชอบใครก็ลุยเลย..ไม่งั้นพวกนายจะโดนคนอื่นแย่งไป”
ทั้งฟู่เซิงและหยุนโอ่วเทียนต่างก็เตรียมพร้อมและดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่รออยู่
หลังมื้อเย็นจบลงเย่เชียนก็แอบบอกให้หยุนโอ่วเทียนกับฟู่เซิงเดินกลับไปก่อนเพราะเขารู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องคุยกับเยว่เหอตูตามลำพัง อย่างไรก็ตามทันทีที่พวกเขามาถึงประตูมหาวิทยาลัยการแสดงออกของเย่เชียนก็หยุดนิ่งและคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันและเขาพูดอย่างขอโทษว่า “เหอตูนายกลับไปก่อนนะ..ขอโทษทีพอดีฉันมีเรื่องที่ต้องทำก่อน..เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ”
เยว่เหอตูก็ไม่สงสัยอะไรเลยและพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย