ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1002 ใจ (2)
ไม่เพียงพวกบันไซเท่านั้นที่เคร่งเครียด แม้แต่ทางฝั่งสัตว์โบราณก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน
องครักษ์ลงทัณฑ์เป็นสมาชิกที่ฆ่าสัตว์โบราณไปมากมายในช่วงศึกใหญ่ สองฝ่ายเรียกได้ว่าเคียดแค้นชิงชังกัน
“ช้าเกินไปแล้วซีเฟอลาร์ก” องครักษ์ลงทัณฑ์คนหนึ่งกล่าวเสียงแหลม เขายกมือขึ้นเล็งช่องโหว่กลางฝ่ามือไปยังอันซีที เฝ้าประตูเอาไว้
“ตอนนี้ จงกลับทะเลดาวไปเถอะ…” องครักษ์ลงทัณฑ์รวมแสงดาวสีแดงเข้มล้ำลึกขึ้นกลางฝ่ามือ
ไม่เพียงเท่านั้น ไกลออกไปยังมีแสงอีกสองสายพุ่งมาถึง ชายร่างสูงใหญ่ที่มีหูแหลมของหมาป่าสีขาวสองคนมองมาทาง นี้ด้วยรอยยิ้ม
ฟ้าว!
ลำแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมา หอกยาวสีแดงที่เหมือนเจาะทะลวงทุกสิ่งแทงใส่อันซีที่ยืดอกขึ้น
“พวกเจ้า…คิดจะทำอะไรกับสมาคมวิจัยของข้า!?”
มือหยาบใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังอันซีแล้วป้องกันลำแสงสีแดงไว้อย่างแม่นยำ
“!” องครักษ์ลงทัณฑ์สองคนผุดสีหน้างุนงง
ลำแสงสีแดงดิ้นรนอยู่กลางฝ่ามือใหญ่อย่างบ้าคลั่งหมายจะสลัดให้หลุด
ร่างสีดำที่สูงใหญ่กำยำร่างหนึ่งเดินออกมาจากประตูเขตศูนย์กลาง
เปรี้ยง!
ลำแสงระเบิดกลางฝ่ามือของร่างสีดำก่อนกลายเป็นเศษสีแดงนับไม่ถ้วนปลิวโปรยปราย
“แม้สมาคมวิจัยของเราจะอ่อนแอ แม้จะเปราะบาง แต่…ที่นี่เป็นที่พักพิงและเป็นท่าเรือเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรา พว วกเราทุกคน”
ซีเฟอลาร์กเงยหน้ามองสองตาของร่างดำ แต่สิ่งที่เห็นคือสีขาวซีด หารูม่านตาไม่เจอ
เขากระพริบตาให้องครักษ์ลงทัณฑ์สองคนอย่างกริ่งเกรง
“การขัดขวางการตัดสินคืออาชญากรรม ขอตัดสินโทษตายแก่เจ้า!” องครักษ์ลงทัณฑ์คนหนึ่งคว้าสองมือ ลากเคียวโซ่สีดำเล ล่มหนึ่งออกมาจากใต้เสื้อคลุม
“ข้าคืออาโทเออลาร์ ผู้ทำหน้าที่ลงทัณฑ์ลำดับที่เจ็ด วิญญาณเยาว์วัยเอ่ย จงจ่ายค่าตอบแทนเนื่องจากการกระทำผิดข ของเจ้าออกมาเถอะ…”
ฟ้าว!
เปลวเพลิงบิดเบี้ยวที่ไร้รูปร่างลุกไหม้ขึ้นบนเคียวของเขาอย่างฉับพลัน
“ค่าตอบแทน” ร่างสีดำทวนคำ
เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงเหมือนกำลังหวาดกลัว
“อ๊ากกก!”
ทันใดนั้นร่างสีดำพลันเงยหน้าคำราม เผยให้เห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยริ้วเลือดของลู่เซิ่ง
พลังงานสีดำสนิทที่คลุ้มคลั่งนับไม่ถ้วนแผ่พุ่งออกมาจากบนตัวเขา แล้วย้อมทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ให้กลายเป็นสีดำ
นั่นไม่ใช่พลังวิญญาณ ไม่ใช่พลังอาวรณ์ ยิ่งไม่ใช่ไฟ ถึงขั้นไม่ใช่พลังงานพิเศษใดๆ ที่ทุกคนรู้จัก
นั่นคือพลังงานพิสดารที่เกิดขึ้นจากการที่ดีปบลูหลอมรวมพลังงานหลายชนิดเข้าด้วยกัน
พลังสีดำปกคลุมสถานีอวากาศไว้ทั้งสถานีเหมือนกับเงา ทั้งยังกระจายออกไปรอบๆ
แสงสีดำที่บิดเบี้ยวลอยขึ้นจากตัวลู่เซิ่ง
“ฆ่า!”
ลู่เซิ่งต่อยกำปั้นออกไปด้านหน้า
ตูม!
พละกำลังบริสุทธิ์อันบ้าคลั่งและเงาสีดำนับไม่ถ้วนสร้างแรงผลักที่น่ากลัวเหมือนกับพายุออกมา
แขนของเขากลายเป็นแสงสีดำที่ทำลายล้างทุกสิ่ง ฉีกทึ้งทุกอย่างรวมถึงทุกมิติในจุดที่ประกายแสงส่องถึง
ดาวเคราะห์สิบกว่าดวงที่อยู่ในทิศทางเดียวกับลู่เซิ่งระเบิดออกอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นขณะอยู่ห่างออกไปหลายปีแ แสง ดาวฤกษ์ที่กำลังปล่อยแสงและความร้อนจำนวนมากดวงหนึ่งหายไปซีกเล็กๆ เหมือนกับขนมไหว้พระจันทร์ที่ถูกกัดคำหนึ ง
รังสีและฝุ่นผงนับไม่ถ้วนหายไปโดยสิ้นเชิงเหมือนโดนกิน
ทุกสิ่งมีชีวิตและทุกวัตถุต่างก็ถูกทำลายด้วยกำปั้นเดียวภายใต้แสงสว่าง
ซีเฟอลาร์กก็ดี ผู้บัญชาการอาทิตย์เขียวก็ดี วิญญาณดาว สัตว์โบราณ องครักษ์ลงทัณฑ์ที่แข็งแกร่งที่สุดและสัตว์โบรา าณระดับดาวมรณะที่ไม่ทราบพลังสองตน
ทันทีที่แสงสีดำทะลักออกมาม้วนใส่ทุกสิ่ง พวกเขาก็ถูกปกคลุมโดยที่ตอบสนองไม่ทัน
แสงสีดำกลบฝังทุกอย่าง สะพานเรือหลอมละลายมากกว่าครึ่ง เสาแสงพุ่งออกไปหลายสิบปีแสง ข้ามมิติและกาลเวลา พร้อมกับก กลืนกินทุกวัตถุตามรายทาง
“ไสหัวออกมาเลย! ดาวมรณะ! ต้องการให้ข้าศิโรราบ ต้องการให้ข้ายอมแพ้หรือ ขอแค่ข้ายังอยู่! ข้าลู่เซิ่งไม่มีทาง งยอมแพ้!”
ลู่เซิ่งปล่อยให้แสงสีดำมากมายม้วนทะลักออกมาจากร่าง พุ่งสู่ฟากฟ้าพร้อมคำรามไปทางความว่างเปล่า
“เข้ามาเลยซี่! มาฆ่าข้าซะ! ถึงข้าจะอ่อนแอ! แต่วิญญาณของข้าไม่มีทางศิโรราบ! มาสิ! มาฆ่าข้าสิ!”
“นายท่าน...นายท่าน ใจเย็นก่อน!” ดาวมรณะตายไปแล้วในตอนที่ท่านพุ่งผ่าน! ใจเย็นก่อนนายท่าน!” บันไซรีบพุ่งเข้า าไปหมายจะขัดขวาง
“นายท่าน! ไปตรงนั้นไม่ได้! ตรงนั้นเป็นดาวเคราะห์ของพวกเรา!”
“นายท่าน!”
สมาชิกสมาคมวิจัยกลุ่มหนึ่งไล่ตามไปพลางร้องโหยหวน
แต่จนปัญญาที่ตอนนี้ลู่เซิ่งมีการตื่นรู้สูงเกินไปและพลังแข็งแกร่งเกินไป หลังจากเข้าสู่สภาพสะกดจิตตัวเอง ต่อให้ ใช้วิธีสั่นสะเทือนจิตก็ส่งเข้าไปไม่ได้
“ปกติเจ้านายของพวกเจ้าเป็นอย่างนี้ตลอดหรือ…”
อันซีที่อยู่บนสะพานเรือใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผล มองดูลู่เซิ่งผู้นั้นระเบิดพลังน่ากลัวที่เหนือกว่าระดับดาวมรณะ ะออกมา ดาวเคราะห์หลายดวงถูกฉีกกลายเป็นลูกไฟแล้วระเบิดด้วยหนึ่งฝ่ามือของเขา
“ข้า…ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่…” หลี่ซุ่นซีผุดสีหน้าตะลึงงัน แม้นายท่านจะกลับมาช่วยเหลือทันเวลาจนทำให้เขาซึ้งใจ จมาก แต่ไม่ทราบทำไมถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศนี้กระอักกระอ่วนพิกล…
“มาสิ! มาสิ! รีบมาฆ่าข้าซะ!”
“นายท่าน! ไม่ได้! ทางนั้นไม่ได้! นั่นคือดาวทรัพยากรของพวกเรานะ!”
อันซีทรุดนั่งลงกับพื้น
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น คนของสมาคมวิจัยที่เหลือต่างก็โล่งใจเช่นกัน ทางเป่ยฝ่าซาเหลือแมลงในสองตาแค่ตัวเดีย ยว โอกาสที่จะใช้เกือบหมดลงแล้ว ถ้าช้ากว่านี้ เกรงว่านางจะสู้ไม่ไหวจริงๆ
แต่ความคิดของทุกคนในตอนนี้อยู่ในสภาพชาด้าน
สภาพการณ์เมื่อครู่เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปจนทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เมื่อครู่…เหมือนหัวหน้าพวกเราจะกลับมาแล้วนะ” เป่ยฝ่าซาหันไปมองสมาชิกสมาคมวิจัยคนหนึ่งอย่างลังเล
“เหมือนจะใช่…” สมาชิกคนนั้นเป็นมนุษย์หัวหนู ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างงงๆ เพียงแต่ไม่มั่นใจเล็กน้อย
“เมื่อครู่นี้…เกิดอะไรขึ้น”
เทรย์ที่อยู่ด้านข้างผุดสีหน้าสับสน เมื่อสักครู่เขายังสู้กับคนอื่นอยู่แท้ๆ เหตุใดพริบตาเดียวคนผู้นั้นถึงหาย ยไปแล้วเล่า
“แล้วหัวหน้าพวกเราเล่า” เป่ยฝ่าซาไม่สนใจเขา หากถามต่อ
“เอ่อ…ไม่รู้สิ…”
เวลานี้ทงเซิงกับทัวหลันปาเฮ่อได้รับการแจ้งเตือนจากอินเอ้อสือเจีย เดินออกมาจากทางเชื่อมด้านข้าง ก่อนจะรีบ บรักษาอาการบาดเจ็บให้ทุกคน
“นายท่าน! อย่าวิ่งสิ! ทางนั้นคือศูนย์ใหญ่! เป็นศูนย์ใหญ่นะขอรับ!”
ไกลออกไปบันไซพาสมาชิกสมาคมวิจัยกลุ่มหนึ่งไล่ตามมา พลางร้องตะโกน
ลู่เซิ่งยังแผดเสียงร้องอะไรสักอย่าง แต่เพราะอยู่ไกลไปหน่อย จึงไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร
เพียงเห็นหมัดที่รุนแรงเป็นพิเศษของเขาระเบิดดาวเคราะห์ขนาดเท่าดวงจันทร์ดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไป จากนั้นพึม มพำคำพูดประมาณว่าอย่าคิดจะบีบบังคับเขา
สมาชิกสมาคมวิจัยไล่ตามทันอย่างยากลำบาก ล้วนเป็นสมาชิกหน้าเก่าที่ติดตามลู่เซิ่งมานาน พวกเขาปลอบประโลมหมายจะเพิ มความมั่นคงทางอารมณ์ของลู่เซิ่งภายใต้การนำของบันไซ
แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก
ฟ้าว!
อันซีมองลำแสงสีดำลำหนึ่งพุ่งเฉียดร่างเขาไป เหงื่อกาฬหลั่งไหลออกมาจากบนตัว
“พวกเจ้าไหวไม่เนี่ย!” ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ไม่อยากตายแล้ว…
เมื่อครู่วิญญาณดาว สัตว์โบราณ หรือแม้แต่องครักษ์ลงทัณฑ์ต่างก็ไม่อาจต้านทานแสงสีดำนี้ได้
แม้ว่าพวกนั้นจะเป็นแค่ร่างแปลง ไม่ใช่ร่างจริง
แต่ร่างแปลงระดับนั้นอย่างน้อยก็มีพลังครึ่งหนึ่งของร่างจริง แต่พลังที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นกลับถูกทำลายให้พิน นาศลงในพริบตา
นี่มอบภาพประทับใจที่ล้ำลึกอย่างยิ่งให้แก่อันซี
“อ๊ากกก! อย่าขวางข้า! อย่ามาข่มเหงข้า! ข้าลู่เซิ่งไม่มีวันยอมศิโรราบ!”
ทางด้านลู่เซิ่งที่ไม่ทราบว่าถูกปลอบประโลมจนมาถึงใกล้ๆ สถานีอวกาศตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ยังคงร้องคำรามไม่ยอมเลิ ก
หลี่ซุ่นซีทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงรีบเข้าร่วมวงช่วยเหลือ
เป็นเพราะว่าลู่เซิ่งรักษาสติที่จะไม่ฆ่าพวกเดียวกันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาเข้าไปเท่าไหร่ก็มีแต่ตายเปล่า
เสาแสงสีดำที่มีอำนาจทำลายล้างหลายลำ พุ่งเฉียดสถานีอวกาศไปมา ทุกคนที่เห็นต่างใจเต้นระทึก
สุดท้ายบันไซพยายามเข้าไปใกล้ อาศัยช่องว่างที่ลู่เซิ่งระเบิดพลังจนเหน็ดเหนื่อย ใช้อินเอ้อสือเจียวิเคราะห์และ คำนวณสภาพจิตของเขาในตอนนี้ จากนั้นใช้วิชาพิเศษขจัดสภาพสะกดจิตออกไปได้สำเร็จ
นี่ค่อยทำให้ลู่เซิ่งสงบลง ก่อนถูกเหล่าสมาชิกหามเข้าไปในสถานีอวกาศ
ในที่สุดก็ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
อันซีถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มองดูบันไซกับหลี่ซุ่นซีที่เดินออกมาจากด้านในทางเชื่อม
ทั้งสามอดยิ้มฝืดเฝือไม่ได้
“ครั้งนี้นับว่าปลอดภัยแล้ว เพียงแต่…สถานการณ์ของนายท่านไม่น่าดูชมนัก…” บันไซกล่าวอย่างจนปัญญา
“เมื่อครู่ตอนที่นายท่านคุ้มคลั่ง ได้กำจัดเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งได้ในพริบตา ถึงแม้ว่านี่จะเป็นร่างแปลง ง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นร่างจริงของพวกเขา ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานการอาละวาดของนายท่านได้ ดังนั้นก่อนที่จะคิดหาวิธี รับมือนายท่านได้ พวกเขาไม่น่าจะลงมืออีก” อันซีกล่าวพลางถอนใจ
“อย่างนั้นทางนายท่าน...” หลี่ซุ่นซีถือโอกาสถามโดยใช้คำเรียกของอันซีพร้อมมองไปยังบันไซ
“สภาพของนายท่านต่างจากเดิมเล็กน้อย ข้าไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบร่างกายของเขาได้ สภาพด้านในซับซ้อนเกินไปและมี ปริมาณการคำนวณมากไป อินเอ้อสือเจียความสามารถไม่ถึง ในตัวเขาเหมือนมีพลังงานหลายอย่างปะปนกัน การที่ตอนนี้ร่าง ยังไม่ระเบิดตายก็ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้ว” บันไซอธิบาย
“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี” หลี่ซุ่นซีถาม
เวลาอยู่ด้วยกันทุกคนจะให้บันไซเป็นเสาหลัก
เด็กหนุ่มธรรมดาที่ในวันวานเอาแต่ทำตามคนอื่น คอยฟังเพียงคำสั่งของลู่เซิ่ง มาบัดนี้ได้เติบโตเป็นผู้นำที่โดดเด ด่นแล้ว
“นายท่านยังไม่ได้สติ รอเขาอาการดีขึ้น พวกเราจะต้องรีบจัดการต้นเหตุความกระทบกระทั่งกับสัตว์โบราณและวิญญาณดา าวโดยเร็วที่สุด” บันไซกล่าวเสียงขรึม
“นอกจากนี้ เมื่อครู่ข้ายังสัมผัสได้ด้วยว่า มีคนซุ่มอยู่ในที่ลับเพื่อเล่นงานสมาคมวิจัยของพวกเรา แต่เป็นเพรา าะการระเบิดพลังอย่างฉับพลันของนายท่าน ดูเหมือนจะทำให้พวกเขาหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วคราว ดังนั้นพวกเราจะต้องตรวจ จสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างว่าเป็นฝ่ายไหนลอบลงมือกันแน่”
“อีกเรื่องหนึ่ง” บันไซยื่นมือไปตบไหล่อันซี “ถ้าท่านยินดี พวกเราต่างเป็นสหายท่าน อย่าได้จมดิ่งกับความทรงจำก ก่อนหน้าแล้ว คนเราต้องมองไปด้านหน้า”
อันซีเงยหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ
“ขอโทษด้วย ข้าไม่ใช่คน แต่จะว่าไป หากนำจุลินทรีย์ในตัวออกมาก็เป็นคนเหมือนกับเจ้านั่นแหละ”
“ยังกังวลอยู่อีกหรือ” บันไซไม่เห็นด้วย “เห็นนายท่านพวกเราหรือยัง ไม่คิดว่าเขาพึ่งพาได้หรือ”
“…” อันซีก้มหน้าลง เขาสังหารสหายไปไม่น้อย ทุกๆ คน ขอแค่เขาสู้กับอีกฝ่ายอย่างเอาจริง สิ่งที่จะเกิดขึ้นมีแต ต่โชคร้าย…
“นายท่านของพวกเราใจกว้างขนาดโอบรับฟ้าดินได้ สุดที่ตัวตนทั่วไปจะเทียบเคียง จะว่าไป ยังมีประโยคที่เขามักจะพ พูดตอนฝันซึ่งใช้พิสูจน์ได้ด้วย” บันไซเอ่ยยิ้มๆ
“ประโยคอะไร”
“จักรวาลใหญ่เพียงนั้น แต่ข้ากินได้ในคำเดียว”
“…” อันซีหน้าคล้ำ ปณิธานสุดยอดจริงๆ…