ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1005 พบเจออีกครา (1)
เรือเหาะยักษ์สีดำสนิทที่เหมือนกับปลาดาบพุ่งผ่านจักรวาล เข้าสู่ความเร็วเหนือดาว
ความเร็วเหนือดาว เป็นนิยามหนึ่งที่แพร่หลายเข้ามาจากสายธารนอกเขตเมื่อนานมาแล้ว
วัตถุใดๆ ต่างก็เข้าสู่มิติชั้นประหลาดที่ไม่อาจบรรยายได้ในเวลาสั้นๆ ด้วยการผลักดันจากพลังงานพิเศษในระดับหนึ่ง
โครงสร้างของมิตินี้ไม่ซ้อนทับกับจักรวาลในความเป็นจริง ระยะห่างของจักรวาลในมิตินี้เป็นเหมือนกระดาษที่พับทบกัน มันสามารถเปลี่ยนแปลงตามความแปรปรวนของพลังได้เรื่อยๆ
ขอแค่มีพลังงานมากพอและแข็งแกร่งพอ พร้อมกับใช้เกณฑ์วัดพิเศษ ก็จะเข้าสู่มิติความเร็วเหนือดาว แล้วหดระยะห่างในการเดินทางไปยังเขตดาวระยะไกลภายในเวลาสั้นๆ ได้อย่างใหญ่หลวง
นี่คือการกระโดดข้ามมิตินั่นเอง
กิ๊ง
ลู่เซิ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่างบริเวณกราบเรือ สุราสีเขียวอ่อนกระเพื่อมในจอกไวน์บนมือตอนชนกับบันไซเบาๆ
ทั้งสองจิบกันคนละนิด
ดาวสีเงินนอกหน้าต่างพร่างพราว ระบบดาวที่เป็นวังวนก้นหอยสีรุ้งหมุนวนอย่างช้าๆ อยู่ไกลออกไป ด้านหลังมีเรือเหาะขนาดยักษ์หลายลำบินแซงเรือเหาะลำนี้เป็นระยะ
“ความจริงข้าไม่อยากจะมาหรอก แต่คิดว่านายท่านไปต่างถิ่นแล้วจะไม่ชิน ข้าก็เลยยอมลำบากใจมาเป็นเพื่อนท่านสักครั้ง” บันไซอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“จักรพรรดิดีแลนซ์เป็นคนไม่เลว มีน้ำใจและเอาใจใส่ ทั้งยังเปิดเผยตรงไปตรงมา ครั้งล่าสุดที่ข้าไป ได้รับการตอนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทีเดียว” เขาอธิบายต่อ “ผลไม้ทางนั้นมีรสชาติไม่เลวยิ่ง”
“นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จ้าขอไปกับข้าใช่ไหม” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว ตอนนี้บันไซยุ่งจนหัวหมุน เหตุใดต้องตามเขามาเที่ยวเพื่อของกินด้วย
“แน่นอนว่าไม่ใช่” บันไซพยักหน้า “เพียงแต่…ถือโอกาสแวะไปเยี่ยมเท่านั้น…องค์หญิงจีนาร์เป็นสหายของข้า ที่ข้าไปในครั้งนี้ก็เพราะสัญญาไว้ว่าจะเอาของที่จำเป็นไปให้นาง”
“องค์หญิงจีนาร์หรือ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างแปลกใจ มองบันไซด้วยท่าทางพิกลอยู่บ้าง “ดูเหมือนเจ้าจะได้รู้แจ้งแล้วสินะ…”
“พูดอะไรของท่าน ข้าไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงเหมือนกับท่านนี่ ข้าเป็นแค่คนธรรมดา ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย อย่างมากสุดอยู่ได้มากกว่าพันปีก็บุญแล้ว” บันไซส่ายหน้า “นี่จะต้องใช้โอสถบำรุงและยืดอายุขัยระดับสุดยอดมากมายด้วยถึงจะไหว”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้ข้าพิจารณาไว้นานแล้ว มากกว่าพันปีหรือ เป็นบริวารของข้าอยู่แค่พันปีก็พอใจแล้วหรือ ปณิธานของเจ้ายังต้อยต่ำเกินไปนะ” ลู่เซิ่งตบบ่าของเขา “ข้ามีความคิดขั้นต้นแล้ว…”
ครืน!
ทันใดนั้นเรือเหาะทั้งลำก็ส่ายโคลงเคลง เหมือนชนกับอะไรสักอย่างเข้า
เรือเหาะรีบแจ้งเตือน เสียงแหลมเสียดหูสะท้อนไปทั่วห้องทุกห้องบนเรือเหาะ
ลู่เซิ่งผุดสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกระจายจิตวิญญาณออกไปอย่างรวดเร็ว
“ขออภัยอย่างยิ่ง” ทันใดนั้นข้อความสั่นสะเทือนทางจิตก็ส่งเข้าสมองของเขา
“ที่รั้งตัวท่านไว้ในสถานการณ์แบบนี้”
เสียงแจ้งเตือนแหลมสูงสะท้อนไปมา ร่างโลหะที่สูงใหญ่ร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากกลางจักรวาลด้านนอกหน้าต่างด้านข้างเรือเหาะ
ชิ้นส่วนโลหะมากมายเคลื่อนย้ายและปกปิดบนร่างนั้นอย่างต่อเนื่อง ดูไม่เหมือนกับชีวิต หากเหมือนมนุษย์จักรกลมากกว่า
“เจ้าเป็นใคร” ลู่เซิ่งสั่งความคิด เสียงแจ้งเตือนในเรือเหาะเงียบลงทันที รอบข้างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
บนตัวมนุษย์โลหะคนนั้นเต็มไปด้วยหนาม พันผ้าสีดำจำนวนมากไว้บนส่วนหัว เผยให้เห็นดวงตาเรืองแสงสีแดงเลือดข้างเดียวเท่านั้น
“ในฐานะผู้ครอบครองหลักฐานแห่งราชันเหมือนกัน ท่านจะเรียกข้าว่าเจิน ก็ได้”
ผ้าคลุมสีเทาที่เหมือนกับริบบิ้นมากมายปลิวไสวอยู่ด้านหลังมนุษย์โลหะ พวกมันเต้นระบำและเกี่ยวพันกันขณะถูกพายุรังสีอานุภาครุนแรงดึงไว้ เหมือนกับส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
แม้ในจักรวาลจะส่งคลื่นเสียงสั่นสะเทือนแบบนี้ออกมาไม่ได้ก็ตาม
“เจินหรือ” ลู่เซิ่งดึงตัวบันไซที่อยู่ด้านข้างไปยังตำแหน่งที่อยู่ห่างจากกระจก
จากนั้นเขาก็ยกสุราองุ่นบนมือขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
“จากนั้นเล่า เจ้าอยากจะบอกอะไรข้า” เขาบีบแก้วจนแตกแล้วคลายมือ แก้วถูกพลังไร้รูปร่างบดขยี้เป็นผุยผงก่อนโปรยปรายลงพื้นอย่างช้าๆ
เวลานี้ด้านนอกเรือเหาะมีร่างคนเรืองแสงซึ่งลอยอยู่กลางความว่างเปล่าปรากฏตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ร่างพวกนี้ประกอบขึ้นจากโลหะล้วนๆ เหมือนกับมนุษย์โลหะ
แต่จุดหนึ่งที่ไม่เหมือนก็คือ บนหลังของพวกเขาต่างมีเนื้องอกสีเขียวที่คล้ายหัวใจ สิ่งนั้นกำลังเต้นและเรืองแสงสีเขียวเข้ม
“ข้ามาเพราะต้องการให้ท่านมอบหลักฐานแห่งราชันแก่ข้า” เจินตอบอย่างราบเรียบมีมารยาท “ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”
“เจ้าคิดจะแลกเปลี่ยนโดยล้อมเรือเหาะข้าไว้อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งมองเจินที่อยู่ด้านหน้าอย่างสนอกสนใจ
นับตั้งแต่เขาครอบครองหลักฐานแห่งราชัน นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนที่ครอบครองหลักฐานแห่งราชันอีกคน
ตัวตนที่ครอบครองหลักฐานแห่งราชันได้ ต่างก็เป็นบุตรแห่งจักรวาลที่มีจักรวาลคอยดูแลอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
คนผู้นี้จะต้องไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ เด็ดขาด
“ข้ายอมรับว่าวิธีการตรงไปตรงมาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ท่านอยู่ในช่วงอ่อนแอหลังสงครามอุบัติ คงไม่อยากจะมีความขัดแย้งกับพวกเราหรอกกระมัง” เจินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ไม่นานนัก มนุษย์จักรกลสีขาวบริสุทธิขนาดยักษ์สองตัว ซึ่งดูเหมือนมนุษย์จักรกลในภาพยนต์แนววิทยาศาสตร์ที่ร่างกายมีเกราะป้องกันสีขาวอ่อน โผล่ขึ้นสองฟากข้างของเจินเหมือนองครักษ์ พร้อมจับจ้องลู่เซิ่งอยู่ไกลๆ
“พวกเรารู้ว่าท่านมีพลังไม่ธรรมดา แต่สหายข้างกายท่านไม่ได้มีความสามารป้องกันตัวร้ายกาจขนาดนั้น” เจินว่าต่อ
“เจ้าคิดจะข่มขู่ข้าหรือ” ลู่เซิ่งหัวเราะ
“ท่านจะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้” เจินตาเปล่งประกาย
บันไซที่อยู่ข้างตัวลู่เซิ่งอ้าปากอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ลู่เซิ่งยกมือปรามไว้
“อย่างนั้นเจ้าก็ลองลงมือดู” ลู่เซิ่งไม่สะทกสะท้าน กล่าวอย่างราบเรียบ
เขาในตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนแข็งแกร่งขนาดไหน
พลังน่ากลัวที่เหนือกว่าอนธการเจ็ดพันกว่าเท่าทำให้ลู่เซิ่งสัมผัสขีดจำกัดของตนไม่เจอ แม้แต่ตอนสังหารพวกที่รุมโจมตีสมาคมวิจัยเมื่อครั้งก่อน
เขาก็เพียงแค่เพิ่งอบอุ่นร่างกายเท่านั้น สิ่งที่เอามาใช้ก่อนไม่ใช่พลัง หากเป็นจิตใจ เขาสะกดจิตตัวเองเพื่อกระตุ้นจิตใจให้ตื่นเต้นถึงขีดสุด
ผลลัพธ์คือเหมือนตบยุงสุดแรงเกิด
เจินหัวเราะเย็นชา
“กะแล้วว่าท่านไม่ตอบรับง่ายๆ หรอก แต่แบบนี้ก็ดี พวกเราจะได้มีโอกาสแสดงความแข็งแกร่งและความกล้าหาญของเผ่าพวกเรา”
เขายกมือขึ้น
“ฆ่า!”
ฟิ้วๆๆ!
ลำแสงเลเซอร์และจรวดคลื่นพลังหลายลูกถูกยิงออกมารอบๆ เรือเหาะ
จรวดจำนวนมากที่ลากควันขาวมองหาจุดอ่อนของตัวเรือที่เหมือนปลาขนาดยักษ์ แล้วพุ่งเข้าใส่อย่างแม่นยำ
แสงเลเซอร์สาดส่องพื้นผิวเรือเหาะเหมือนกับเสาแสงสีแดงและสีขาวหลายต้น
เจินกับหุ่นยนต์สองตัวค่อยๆ ชักดาบโลหะผสมตรงเอวขึ้นมา พลางพ่นไอพ่นสีรุ้งมากมายออกมาจากด้านหลังเพื่อพุ่งใส่เรือเหาะด้านหน้าอย่างดุดัน
แต่เพิ่งพุ่งไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ร่างสูงใหญ่ของมนุษย์หัวกระเรียนสีดำสนิทร่างหนึ่งก็โผล่ขึ้นด้านหน้าทุกคน
มนุษย์หัวกระเรียนถือดาบสีดำขนาดยักษ์ที่ยาวกว่าตัวเองหลายเท่าแล้วฟันออกไป
ตูมๆๆๆ!
มีเสียงดังขึ้นหลายรอบ จรวดกลุ่มใหญ่ที่อยู่รอบๆ เหมือนกับถูกสนามพลังไร้รูปร่างกระตุ้น ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ระเบิดไปเอง
ก้อนกลมสีดำสนิทที่มีหนามแหลมงอกติดอยู่หลายก้อนลอยออกจากแสงสายฟ้าสีน้ำเงินจากการระเบิดของจรวดพุ่งตรงไปยังเรือเหาะ
“ระเบิดมูลฐานสุญตา! ไปตายซะ!” เจินคว้าฝ่ามือ
ตูม!
ก้อนกลมทั้งหมดระเบิดออกอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
สิ่งที่ระเบิดออกมาจากด้านในไม่ใช่เปลวไฟ หากเป็นความบิดเบี้ยวสีรุ้งหลายกลุ่ม
ความบิดเบี้ยวเหล่านี้กระทบถูกสิ่งใด ก็จะกลืนกินสิ่งนั้นจนหลอมละลาย
ทว่าสิ่งที่ประหลาดก็คือ ตอนที่ความบิดเบี้ยวสีรุ้งทั้งหมดกระทบถูกชั้นนอกของเรือเหาะ กลับถูกสนามพลังไร้รูปร่างขัดขวางเอาไว้โดยอัตโนมัติ
เจินงุนงงเล็กน้อย ไม่รอเขาตอบสนอง ร่างสีดำของมนุษย์หัวกระเรียนก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว
ต่างฝ่ายต่างฟันใส่กันคนละดาบ
เคร้ง!
เตาปฎิกรณ์ในตัวเจินระเบิดอานุภาพพลังงานอันยิ่งใหญ่ออกมา หุ่นยนต์สองตัวด้านหลังเขายื่นอุปกรณ์เชื่อมต่อตรงอกมาติดกับแผ่นหลังของเขา ทั้งสามรวมเป็นหนึ่ง เปลี่ยนร่างเป็นหุ่นยนต์สีขาวขนาดใหญ่ที่สูงมากกว่าร้อยเมตรตัวหนึ่ง
“กระสุนทำลายล้างดาวสีเงิน!” ลำกล้องปืนสีขาวกลุ่มใหญ่ดีดออกมาจากด้านหลังเจินอย่างฉับพลัน ทั้งหมดเล็งไปที่ลู่เซิ่งและเรือเหาะ
แสงสีรุ้งนับไม่ถ้วนสว่างขึ้นจากในลำกล้องปืน
ตูม!
ลำแสงสีรุ้งพุ่งออกมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ก่อนจะไปถึงด้านหน้าลู่เซิ่งในพริบตา
กระจกหน้าต่างแตกร้าวเล็กน้อย ลู่เซิ่งที่อยู่ด้านในกลับมองดูลำแสงสีรุ้งอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเมินเฉย
ลำแสงหยาบใหญ่หดเล็กและมืดสลัวลงอย่างรวดเร็วขณะเข้าใกล้ลู่เซิ่ง รอจนอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งเมตร ลำแสงก็กลายเป็นเส้นด้ายแล้ว
ลู่เซิ่งยื่นนิ้วชี้ออกไปดีดเบาๆ
เส้นด้ายสีรุ้งพลันระเบิดและสิ้นสูญ
“เป็นการแสดงที่ไม่เลว” เขามองเจินที่ทำท่าตกตะลึงอยู่ไม่ไกลออกไป
“ยังมีอะไรอยากพูดอีกไหม”
เจินนิ่งไป ก่อนจะยกสองแขนขึ้นโดยไม่พูดไม่จา ลำแสงสีรุ้งอีกกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอีกครั้ง…
หลายนาทีต่อมา
เรือเหาะเริ่มกระโดดข้ามมิติอีกรอบ ทิ้งขยะอวกาศไว้กระจัดกระจาย
ทัพจักรกลจำนวนหลายร้อยที่เจินพามาด้วยกลายเป็นขยะจักรวาลมูลฐานทั้งหมด กำลังถูกจักรกลทำความสะอาดที่มุ่งหน้ามาเก็บกวาดขยะ
มนุษย์จักรกลยักษ์ที่มีอานุภาพระดับอนธการของเขาก็ถูกระเบิดกลายเป็นเศษซากนับไม่ถ้วนอย่างง่ายดายเหมือนปลอกกล้วยเช่นกัน
เรือเหาะค่อยๆ พุ่งเข้าไปในระลอกคลื่นโปร่งใสแล้วหายวับไปในพริบตา
ก้อนโลหะทรงกลมสีดำสนิทลูกหนึ่งปรากฏออกมาจากมุมอันมืดมิดอย่างเงียบเชียบท่ามกลางขยะจักรวาล
“เป็นพลังที่น่ากลัวจริงๆ…ร่างแยกสองร่างของข้าต่างมีพลังระดับอนธการทั้งคู่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับไม่ต่างจากเด็กทารก แม้แต่การป้องกันก็ทะลวงไม่ได้”
ในก้อนกลมมีเสียงของเจินดังมา
เดิมทีเขาเพียงแค่ลองหยั่งเชิงดูเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ของการหยั่งเชิง ต่อให้เขาเป็นบุตรที่จักรวาลดูแลก็รู้สึกตึงมืออย่างมาก
แม้จะเป็นดาวมรณะ พลังของคนผู้นี้ก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว
พึงทราบว่าอานุภาพการการยิงลำแสงที่หุ่นยนต์ร่างประกอบซึ่งเป็นร่างแยกของเขาระเบิดออกมาในตอนสุดท้าย ต่อให้เป็นดาวมรณะก็ไม่แน่ว่าจะต้านไหว
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นั้น แค่การสะท้อนการโจมตีโดยสัญชาตญาณจากสนามพลังรอบๆ ตัวอีกฝ่าย ก็ทำลายร่างประกอบของร่างแยกที่มีพลังเป็นครึ่งหนึ่งของเขาทิ้งได้อย่างสมบูรณ์
“ขุมพลังของสมาคมวิจัยเป็นรูปเป็นร่างแล้ว…ไม่อาจสั่นคลอนได้อีก...ดูเหมือนต้องกลับไปถอนตัวออกจากภารกิจของสัตว์ประหลาดเฒ่านั่นแล้วสิ” เจินจนใจเล็กน้อย
พลังของลู่เซิ่งแข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก ความรู้สึกไม่อาจสั่นคลอนนั้นรุนแรงกว่าผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดทุกๆ คนที่เขาเคยเจอจากขุมกำลังอื่นๆ
……………………………………….