ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1006 พบเจออีกครา (2)
ณ จักรวรรดิซุนลัน
สิ่งก่อสร้างทรงวงแหวนสีขาวบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งใต้ท้องฟ้าสีครามดูเคร่งขรึมงดงามเหมือนกับโบสถ์
บนยอดสิ่งก่อสร้างมีผลึกที่เหมือนกับหนามแหลมแทงสูงสู่ฟากฟ้า
รอบๆ มีเถาวัลย์หนามยักษ์สีเทาที่ไม่รู้จักอยู่เป็นจำนวนมาก พวกมันเกี่ยวกระหวัดนูนขึ้นมา เส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ถึงหลายสิบเมตรเหมือนกับงูยักษ์ในยุคโบราณ
“ฮ่าๆๆๆ!”
ชายชราผมขาวที่มีร่างกำยำเงยหน้าหัวเราะด้วยสีหน้าปลอดโปร่งอยู่กลางวังสีขาวในกลุ่มสิ่งก่อสร้างทรงวงแหวนตรงใจกลาง
ลู่เซิ่งกับบันไซนั่งอยู่ด้านข้าง รอบๆ ตัวมีเหล่าชายาหน้าตาอ่อนเยาว์หลายนางร่วมหัวเราะเป็นเพื่อน
บนแท่นที่อยู่ต่ำลงไปด้านล่างเล็กน้อย มีองค์ชายกับองค์หญิงแห่งจักรวรรดิซุนลันนั่งอยู่หลายคน มองออกจากสีหน้าของพวกเขาว่าเคร่งเครียดจริงจังยิ่ง
ยังมีเหล่าขุนนางใหญ่น้อยนั่งร่วมกับพวกเขา คุยกันอย่างออกรสด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
เสียงดนตรีสำหรับร่ายรำดังคลออ้อยอิ่ง
ลู่เซิ่งแย้มยิ้มขณะฟังจักรพรรดิดีแลนซ์แห่งซุนลันแนะนำวัฒนธรรมของที่นี่
“…ซุนลันของพวกเรามีอายุมากกว่าหมื่นปี จะว่าไปกลับจัดพิธีก่อตั้งประเทศแบบนี้ไม่บ่อยนัก โดยเฉพาะวันนี้ยังจัดพิธีฉลองใหญ่พร้อมกันถึงสองพิธี ยิ่งมีหนึ่งไม่มีสอง ไม่มีใครเหมือน!” ดีแลนซ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หัวหน้าลู่ รองหัวหน้าบันไซ การมาเยือนของพวกท่านเป็นเกียรติต่อซุนลันของพวกเรานัก พอดีที่วันนี้เป็นวันที่พวกเราจะร่วมลงนามในสัญญาสันติภาพกับจักรวรรดิกูลันพอดี ข้าอยากขอให้พวกท่านทั้งสองเป็นสักขีพยานด้วย”
“ไม่มีปัญหาแน่นอน” ลู่เซิ่งว่าพลางพยักหน้า
แม้งานเลี้ยงจะน่าเบื่อมาก แต่จำเป็นต้องยอมรับว่าดีแลนซ์เป็นจักรพรรดิที่มีเสน่ห์ไม่เลว พูดจามีไหวพริบและอารมณ์ขัน จิตใจเปิดกว้าง ไม่ได้ถือเนื้อถือตัว
“แขกทั้งสองท่าน โปรดพักผ่อนสักครู่ หลังจากข้าลงนามในสัญญาแล้ว จะมาอยู่เป็นเพื่อนต่อ” ดีแลนซ์เอ่ยอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร พวกเราก็อยากจะไปเห็นพิธีลงนามในสัญญาอยู่เหมือนกัน” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงวนท่าที
“อย่างนั้นก็ได้” ดีแลนซ์ก็ไม่บังคับ ปล่อยให้พวกลู่เซิ่งคอยชมดูอยู่ใกล้ๆ
ตัวเขาขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ที่สูงที่สุดพร้อมก้มมองด้านล่าง มือถือคทาทองคำที่ฝังทับทิมไว้อันหนึ่ง
“วันนี้เวลานี้ สงครามใกล้จะยุติ สันติภาพกำลังจะมาถึง อย่างนั้น ทูตผู้มาจากกูลันและอีทียาเอ๋ย จงบอกคำตอบของพวกท่านมาเถอะ”
“องค์ราชาซุนลันที่เคารพ ตามสัญญา ดาวทรัพยากรที่สิบสามและดาวกองหนุนที่สิบเอ็ดต่างก็น่าจะเป็นอาณาเขตของจักรวรรดิกูลัน นอกจากนี้พวกเรายังได้กวาดล้างกองกำลังต่อต้านกลุ่มสุดท้ายของเวนทูราทิ้งไปได้ ดังนั้นที่นั่นควรจะแบ่งให้จักรวรรดิของเราอย่างชอบด้วยเหตุผล”
“ชายแดนของอีทียาอยู่ติดกับชายแดนของเวนทูราและสหพันธ์ ยังคงยึดตามข้อตกลงแรกสุด พวกเราควรจะได้รับดินแดนสามส่วนของที่นั่น”
“นี่ไม่สมเหตุสมผล ตามข้อตกลงก่อนสงคราม จักรวรรดิซุนลันของเราลงแรงและทรัพยากรไปมากที่สุด อีกทั้งยังสูญเสียไปไม่น้อยเพราะบุกโจมตีป้อมปราการแห่งความตายของสหพันธ์ ดังนั้นดาวกองหนุนตั้งแต่ดวงที่เจ็ดควรจะเป็นของพวกเราทั้งหมด…”
ตัวแทนของประเทศสามประเทศเริ่มโต้เถียงกันบนพระราชวังใหญ่
ลู่เซิ่งฟังอย่างออกรสอยู่ด้านข้าง
ประเทศที่แข็งแกร่งสามแห่งกำลังดำเนินการแบ่งประเทศที่แพ้ศึกหลังกลายเป็นฝ่ายชนะ
ซุนลัน เป็นประเทศมหาอำนาจ
ตัวดีแลนซ์เป็นผู้ครองอำนาจที่ได้รับความนับถืออย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานเป็นเพราะแรงกดดันด้านประชากร พวกเขาจึงต้องรุกรานจักรวรรดิรอบๆ ชาติมหาอำนาจสามชาติที่อยู่ใกล้กันกลายเป็นแนวร่วม ดำเนินการกวดล้างสหพันธ์ร้อยประเทศที่เล็กกว่า
ทุกๆ วันจะเกิดสงครามขึ้นนับไม่ถ้วน เหมือนกับตอนที่สำนักนทีครามสู้กับมารดาแห่งความเจ็บปวด
บันไซที่อยู่ด้านข้างลู่เซิ่ง อาศัยจังหวะที่เขากำลังเบื่อๆ ส่งกระแสเสียงคุยกับลู่เซิ่งเบาๆ
เป็นเพราะไม่มีใครกล้าติดตั้งเครื่องดักฟังหรือเครื่องบันทึกเสียงใกล้ๆ ลู่เซิ่ง ดังนั้นรอบตัวเขาจึงปลอดภัยที่สุด
จักรพรรดิดีแลนซ์เป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจักรพรรดิที่รู้ถึงความเหมาะสมด้วย
ลู่เซิ่งมองเขาหัวเราะอย่างปลอดโปร่ง พร้อมทั้งคอยสร้างบรรยากาศและดูแลฝั่งตนเป็นระยะอยู่ด้านข้าง
ไม่นานนัก ดินแดนของประเทศแพ้สงครามอันเป็นดาวสิบกว่าดวงก็ถูกแบ่งสันปันส่วนเรียบร้อย
พวกทูตกลับไปพักผ่อน เปลี่ยนเป็นนักเต้นรำกับนักดนตรีมาแทน
แม้นักดนตรีจะสวมใส่ชุดเป็นงานเป็นการ แต่ล้วนผ่านการคัดเลือกรูปโฉมโนมพรรณมาแล้ว ต่างเป็นคนหน้าตาดี
ในนี้มีทั้งบุรุษทั้งสตรี
ประตูวังค่อยๆ ปิดลง เหล่าผู้รับใช้ถือจานผลไม้ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังแขกผู้ทรงเกียรติเหมือนผีเสื้อเกาะดอกไม้ คอยปรนนิบัติพัดวีตลอดเวลา
“มาลิ้มรสผลแห่งชัยชนะกันเถอะทุกท่าน!” ดีแลนซ์กางแขนออกพลางส่งเสียงหัวเราะดุจสิงโต
“ซุนลันจงเจริญ!”
“ซุนลันจงเจริญ!”
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ!”
เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านล่างพากันชูแก้วตาม
ลู่เซิ่งเห็นดีแลนซ์ชูแก้วมาทางเขา เขาจึงยกแก้วขึ้นแล้วจิบเบาๆ สองคำตอนบรรยากาศกำลังคึกคัก
บันไซที่อยู่ด้านข้างคุยกับองค์หญิงผู้งดงามที่มีใบหน้าบริสุทธิ์แต่มีรูปร่างยั่วยวนร้อนแรงคนหนึ่งตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ
เห็นบันไซหน้าแดงหูแดง ทำท่าอยากเงยหน้ามองแต่ก็ไม่กล้า ลู่เซิ่งก็ส่ายหน้าน้อยๆ อย่างละเหี่ยใจอยู่บ้าง
“ท่านต่างจากพวกเขา” เสียงอ่อนหวานดังมาจากด้านข้างเขา
ลู่เซิ่งไม่ต้องมอง ก็ทราบว่าเป็นโฉมสะคราญที่ซุนลันจัดมาให้เขาฆ่าเวลา
“ย่อมต้องต่างอยู่แล้ว” เขาตอบอย่างไม่นำพา
“ท่าน...ไม่ชอบสตรีอย่างข้าหรือ”
โฉมสะคราญสวมกระโปรงยาวสีทองคำขาว ชายกระโปรงฉีกออกด้านข้าง เผยให้เห็นขางามเรียวยาวด้านในที่ไม่ใส่อะไรเลย
นางแต่งหน้าอย่างงดงาม เอวกิ่วขนาดแขนโอบ ผมสีทองยาวสยายอยู่บนแผ่นหลังเหมือนน้ำตก
ดูมีบุคลิกสูงส่งอย่างไม่อาจบรรยาย
“ไม่ ข้าไม่ใช่ไม่ชอบ เพียงแต่…” ลู่เซิ่งยังพูดไม่ทันจบ ที่ประตูเล็กบานหนึ่งด้านข้างทางเข้าตัวพระราชวังซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปก็มีกลุ่มคนที่สวมชุดคลุมสั้นเดินลายทอง และใส่เครื่องประดับหลากสีสี่ชนิดจนดูเหมือนนักกายกรรมเดินเข้ามา
“ทูตจากอาวีลา จินพานสหายของข้า ข้านึกว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว! มาพอดีทีเดียว! ฮ่าๆๆๆ!” จักรพรรดิแห่งซุนลันดีแลนซ์หัวเราะร่าพลางลุกเข้าไปต้อนรับ
เขาลากบุรุษผมสั้นที่เป็นผู้นำคนพวกนั้นมาถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง
“ท่านผู้นี้คือ…”
“ไม่ต้องแนะนำหรอก หัวหน้าสมาคมวิจัยลู่เซิ่งผู้มีบารมีขจรขจาย ใต้เท้าแสงทมิฬทำลายล้าง ข้ารู้จัก”
บุรุษผมสั้นที่มองแวบแรกเหมือนมีบุคลิกอ่อนโยนเฉลียวฉลาด แต่เมื่อพินิจพิจารณา จะสัมผัสได้ว่าภายใต้เปลือกนอกที่อ่อนโยนของเขามีความเฉยชาอยู่จางๆ
เขายื่นมือออกมาหาลู่เซิ่ง
“ดีใจมากที่ได้พบท่าน หัวหน้าลู่เซิ่งผู้แข็งแกร่ง ท่านเรียกข้าว่าจินพานหรือพานก็ได้ ข้าขอเป็นตัวแทนอาวีลาอวยพรให้ท่านด้วยความจริงใจ”
“อาวีลาหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว
นี่เป็นชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ดูจากท่าทางของอีกฝ่าย เหมือนไม่ได้มาอย่างปัจจุบันทันด่วน และจากท่าทางของจักรพรรดิซุนลัน ลู่เซิ่งก็สงสัยว่า การที่เขาได้รับเชิญมาในครั้งนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นฝีมือของทูตแห่งอาวีลาผู้นี้
“อย่างนั้น ท่านมาพบข้าเพราะจุดประสงค์ใด” ลู่เซิ่งเลิกคิ้วมองจินพานอย่างสงบ
“อาวีลาเป็นสถานที่ที่พิเศษมากแห่งหนึ่ง บรรพบุรุษของเราเคยบุกตะลุยอยู่ในสมาคมธวัชเหล็กมาหลายปีจนก่อตั้งกิจการขึ้นได้ ดังนั้นจึงรู้จักจักรวาลแห่งนี้ดี” จินพานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ราชาของพวกเราเจอชื่อของท่านในสมาคมธวัชเหล็กสาขาโลกมารสวรรค์ ดังนั้นจึงใช้โอกาสนี้ส่งข้ามาติดต่อกับท่าน”
“หื? สมาคมธวัชเหล็กหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง เจอจากในความทรงจำว่าตนเคยใช้เวทีประหลาดนี้มาก่อน
“ถูกต้อง พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเราอาวีลาเป็นหนึ่งในสาขาของสมาคมธวัชเหล็กบนโลกมารสวรรค์” ทูตจินพานอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าพูดให้ข้าฟังแบบนี้ไม่กลัวหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา “ผู้อ่อนแอปกป้องอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น”
“พวกเรา…มาด้วยเจตนาดี” จินพานยืนกราน เพียงแต่เหงื่อกาฬซึมออกมาจากแผ่นหลังเขาแล้ว
สมาคมธวัชเหล็กลี้ลับและแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าอาวีลาจะแข็งแกร่งเหมือนกัน อย่างน้อยอาวีลาที่มีเพียงผู้เข้มแข็งระดับมายาพิศวงปกครองก็อ่อนแอกว่าจักรวรรดิซุนลัน ยิ่งอย่าว่าแต่ขุมกำลังยิ่งใหญ่อย่างสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับ
“เจ้า มีความกล้ามาก” ลู่เซิ่งจ้องมองจินพานสักพัก ในที่สุดก็เอ่ยปากตอนอีกฝ่ายใกล้จะยอมแพ้
“ขอบคุณที่ชม” ร่างของจินพานผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“อย่างนั้นจงบอกเจตนาของเจ้ามา” ลู่เซิ่งเอ่ย
“พวกเราต้องการได้รับไมตรีจากท่าน มีคนมายังอาณาเขตขุมกำลังของพวกเราอย่างกะทันหัน และทิ้งสิ่งนี้ไว้ในศูนย์ใหญ่ของเรา ต้องการให้พวกเราส่งมอบให้ท่าน” จินพานหยิบเครื่องประดับสีทองเข้มทรงรีที่สลักลวดลายเถาวัลย์และกิ่งไม้อันหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อแล้วส่งให้ลู่เซิ่ง
“นี่มัน…” เขาค่อยๆ ลืมตาโต
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหูเขา
“ข้า…อยากพบท่าน...” เป็นเสียงของหวังจิ้ง
ลู่เซิ่งลุกขึ้นทันที
“เจ้าอยู่ไหน” เขาแปลงการสั่นสะเทือนจิตเป็นเสียงแล้วส่งออกไปผ่านของในมือ
“ข้า…อยู่ที่ประตูพิภพ…” หวังจิ้งตอบเสียงแผ่ว
ลู่เซิ่งนิ่งไป ก่อนจะเข้าใจความหมายอย่างรวดเร็ว
“รอข้าก่อน!”
จากนั้นเขาก็ไม่มองดูคนอื่นๆ อีก หากหลับตาลง ควันดำสายหนึ่งพุ่งออกจากศีรษะขึ้นสู่ฟากฟ้า พริบตาเดียวก็เจาะชั้นบรรยากาศหลายชั้น มิติสั่นไหว ถูกควันดำแทงเข้าไปในทันที
มิติค่อยๆ แตกออก เผยให้เห็นช่องขนาดเท่าเม็ดข้าว
ควันดำยังคงทะลวงเข้าไป เคลื่อนไปตามอุโมงค์วกวนสีรุ้ง ก่อนจะพุ่งเข้าไปในสายน้ำสีรุ้งอันเชี่ยวกราก
ร่างงามที่สงบนิ่งร่างหนึ่งลอยเงียบๆ อยู่กลางสายน้ำข้างใต้ลำธาร มองดูควันดำอยู่ไกลๆ
ควันดำเปลี่ยนแปลงเป็นร่างของลู่เซิ่งที่สูงใหญ่กำยำในชั่วกะพริบตา
“ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะมาเร็วขนาดนี้” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงอ่อนโยนและแผ่วเบา
“ข้ามีเวลาไม่มาก ได้แต่มายังที่นี่ชั่วคราว” หวังจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นางค่อยๆ ว่ายเข้ามาซบกับอ้อมอกของลู่เซิ่ง
“รักข้า”
ลู่เซิ่งขยับตัวกลายร่างเป็นนกเพลิงสามหัวที่มีหางยาวมหึมาตัวหนึ่ง ปากใหญ่สีดำสามปากจูบตามตำแหน่งต่างๆ บนร่างของหวังจิ้งจากสามทิศทาง
เลือดเนื้อและเกล็ดกลุ่มใหญ่ๆ ถูกฉีกกระชากและกลืนกิน ลู่เซิ่งกินหลายคำอย่างไม่อาจควบคุม แต่ก็หยุดอย่างกะทันหัน
ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็ไม่อดทนต่อไปอีก คำรามขึ้นครั้งหนึ่งแล้วพาหวังจิ้งพุ่งไปด้านหลัง
สัตว์ประหลาดสองตัวขยายร่างด้วยความเร็วสูง ในที่สุดก็พุ่งเข้าไปในทางเข้าจักรวาลขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว
เพิ่งจะเข้าไป ดาวเคราะห์น้อยที่ขวางทางพวกเขาดวงหนึ่งก็โดนพุ่งใส่ ถูกพลังกระแทกอันรุนแรงของลู่เซิ่งชนจนยุบเป็นหลุมใหญ่
ด้านในดาวเคราะห์แตกเป็นรอยร้าวสีแดงเข้มผืนใหญ่ จากนั้นก็ระเบิดออกอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า
ลู่เซิ่งกับหวังจิ้งเกี่ยวกระหวัดกันและพลิกกลิ้งอยู่ท่ามกลางแสง พร้อมส่งเสียงคำรามอย่างน่ากลัวออกมาเป็นระยะ
อ๊ากซ์!
ลู่เซิ่งกัดคอของหวังจิ้งอย่างไม่อาจควบคุม เลือดมากมายพุ่งกระฉูดออกมาจากคอ แต่ปากแผลสมานตัวด้วยความเร็วสูง
……………………………………….