ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1008 ระดับพลังงานสุดยอด (2)
“อสูรอินทรีย์ราชสีห์แปดเศียรหรือ” ลู่เซิ่งกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้วว่าต้นเหตุมาจากที่ไหน
“ส่งคนไปแจ้งซีตีว่า ถ้าไม่เชื่อฟัง ครั้งหน้าข้าจะไปเยี่ยมด้วยตัวเอง” เขาเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เอ่อ…เต่ายักษ์พันขาเป็นผู้เข้มแข็งระดับดาวมรณะนะขอรับ…” หลี่ซุ่นซีเอ่ยอย่างลังเล
“ไม่เป็นไร ส่งคนไปเถอะ มันไม่ได้เป็นตัวแทนเผ่าสัตว์โบราณ ตอนนี้สัตว์โบราณเสียหายอย่างสาหัส และเพิ่งยุติสงครามกับวิญญาณดาว พวกมันไม่อยากก่อสงครามเพื่อเรื่องเล็กๆ พรรค์นี้หรอก” ลู่เซิ่งมองทะลุ
“ถ้ากดดันกันข้าจะเข้าร่วมวิญญาณดาว แม้มารดาแห่งความเจ็บปวดจะเป็นคู่แค้นของข้า แต่ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณดาวทั้งหมดจะเป็นศัตรูของข้า พันธมิตรดาวใหญ่โตมโหฬาร ข้าสามารถเข้ากับฝ่ายอื่นที่เป็นศัตรูกับฝ่ายที่มารดาแห่งความเจ็บปวดอยู่ได้”
หลี่ซุ่นซีพยักหน้า
“เข้าใจแล้วขอรับ พลังของท่านในตอนนี้ไปถึงขั้นที่สองขุมกำลังใหญ่ไม่อาจดูแคลนได้ง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติยืนพูดบนเวที”
“เป็นอย่างนั้นแหละ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ครั้งก่อนกำจัดร่างแปลงไปกลุ่มหนึ่ง พวกมันเหมือนจะตกใจ”
โลกมารสวรรค์ไม่ได้ไร้ขอบเขต สัตว์โบราณและวิญญาณดาวก็ไม่ได้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นกัน ผู้เข้มแข็งดาวมรณะคนหนึ่งในหมู่พวกเขากล่าวได้ว่าเป็นเสาหลักของเสาหลักอีกที
นั่นคือตัวตนน่ากลัวที่ทำลายระบบดาวฤกษ์หลายระบบได้อย่างง่ายดายเพียงยกมือ รวมถึงสามารถปกครองอาณาเขตหนึ่งและสร้างความมั่นคงให้สถานการณ์ได้อย่างผ่อนคลาย
แต่ว่าเสาหลักที่แข็งแกร่งแบบนี้กลับถูกลู่เซิ่งทำลายร่างแปลงไปสี่ห้าร่างในคราวเดียว นี่ทำให้พวกเขาตกใจกลัวบ้างแล้ว
นอกจากนี้ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง
ครั้งนี้ลู่เซิ่งได้ยินเฒ่าดาวม่วงเปิดเผยเรื่องหนึ่งออกมาตอนอยู่ที่สหพันธ์ดาวม่วง
นั่นก็คือการต่อสู้กับพลังแห่งความรกร้าง
โลกมารสวรรค์มีผู้เข้มแข็งมากมาย แต่ตายไปเป็นจำนวนมากในศึกใหญ่ครั้งนี้ ที่สัตว์โบราณกับพันธมิตรดาวหยุดสงครามอย่างกะทันหันเมื่อก่อนหน้านี้ก็เพราะได้สติอย่างฉับพลัน พวกเขาพบว่าในสงครามมีมือมืดกำลังช่วยขยายความวุ่นวายอย่างเต็มที่ ทำให้พวกเขายิ่งสู้กันยิ่งเสียหาย
หลังจากตรวจสอบ ก็พบว่าเป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเป็นมือมืดผู้มีพลังแห่งความรกร้างซึ่งมาจากขุมกำลังความว่างเปล่า
และเป็นเพราะสาเหตุนี้เอง สองฝ่ายที่เดิมเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดจึงจำเป็นต้องอดกลั้น แล้วร่วมมือกันตรวจสอบพลังแห่งความรกร้างของมือมืด
โลกมารสวรรค์มีคนบาดเจ็บล้มตายไปมากพอแล้ว
“ไม่ต้องไปคิดมากหรอก จัดการค่ายกลจุติให้ข้าที อยู่ที่นี่เฉยๆ ไม่มีความหมายอะไร” ลู่เซิ่งกำชับ
“นอกจากนี้ติดต่อขอให้ทางพันธมิตรดาวตรวจสอบที่อยู่ของมารดาแห่งความเจ็บปวดด้วย ดูว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างสันติได้หรือไม่” ลู่เซิ่งกล่าวเสริมอีกประโยคหลังใคร่ครวญเสร็จ
“ไม่มีปัญหาขอรับ”
ลู่เซิ่งลุกขึ้นพร้อมมองฝนดาวตกกลุ่มใหญ่ที่ลอยผ่านหน้าต่างไปช้าๆ
“อีกไม่นาน อีกไม่นานข้าจะส่งบริวารอีกส่วนของข้ามาติดต่อกับพวกเจ้า เจ้าอย่าเข้าใจผิด ตรวจสอบเครื่องยืนยันด้วย”
“เครื่องยืนยั? บริวารอีกส่วนหรือ” หลี่ซุ่นซีถามอย่างฉงน
“เครื่องยืนยันคือพลังวิญญาณของข้า พวกเขาก็เหมือนกับพวกเจ้า เป็นบริวารแข็งแกร่งที่กระจายอยู่ตามโลกต่างๆ ของข้า ถ้าพวกเจ้าติดต่อกันจะจัดการอะไรๆ ได้สะดวกขึ้น แน่นอนว่าสมาคมวิจัยยังเป็นเอกเทศ ไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเจ้ามากนัก” ลู่เซิ่งพูดเสริม
เมื่อบริวารจากโลกใบอื่นมาถึงโลกมารสวรรค์ พลังจะถูกลดทอนลงเท่าหนึ่ง แต่นี่เป็นแผนการที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ
เขาจะต้องปรับกองกำลังใต้บังคับบัญชาให้เข้ากันโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นจะมีขุมกำลังน้อยเกินไปในการเผชิญหน้ากับพันธมิตรดาวและสัตว์โบราณ ยิ่งอย่าว่าแต่อาจจะมีพลังแห่งความรกร้างที่รุกรานเข้ามาในตอนต่อสู้ได้เหมือนกัน
เขาได้ฉีกหน้ากับพลังแห่งความรกร้างตอนอยู่บนโลกพลังวิญญาณไปแล้ว
“ตกลงขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่ซุ่นซีพยักหน้า
“บันไซจะแต่งงานแล้ว เจ้าจะได้ลูกชายเมื่อไหร่” ลู่เซิ่งยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อ
“ยังเร็วไปๆ…เรื่องนี้ไม่รีบขอรับ” ใบหน้าชราของหลี่ซุ่นซีแดงก่ำ
“เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ต้องรีบๆ หน่อย หรือจะรอจนข้าได้หลานแล้วเจ้าค่อยลงมือ” ลู่เซิ่งว่าพลางส่ายหน้า
“ไม่รีบขอรับ…” หลี่ซุ่นซีเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “รอเจอลูกชายท่านคิดว่าน่าจะถึงเวลาพอดี”
“ใกล้แล้วๆ” ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม เขามองดาวตกกลุ่มหนึ่งวาดผ่านท้องฟ้าราตรีอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย
ใกล้แล้ว…ครั้งนี้รวบรวมพลังอาวรณ์อีกนิดแล้วเลื่อนระดับก็จะแก้แค้นได้แล้ว ถึงเวลานั้นเขาจะกำจัดมารดาแห่งความเจ็บปวดทิ้ง ตามหาลูกชายและครอบครัวให้เจอ จากนั้นหาที่อยู่เพื่อพักผ่อน
นี่เป็นชีวิตอันสมบูรณ์แบบที่เขาเฝ้าฝันปรารถนา
ถ้ากลับโลกเดิมได้ก็จะยิ่งดี…
…
ติ๋ง
ติ๋ง
ติ๋ง
หยดน้ำหยดลงจากก๊อกน้ำในห้องครัวทีละหยด
หยดน้ำแวววาวหลุดออกจากหัวก๊อกแล้วตกใส่อ่างล้านจานโลหะสีเงินที่เรียบลื่นอย่างอิสระ ก่อนจะมีละอองน้ำเล็กๆ กระจายออกมา
ลู่เซิ่งได้สติจากความสับสนอย่างช้าๆ
เขานอนตะแคงอยู่บนพื้นหินเย็นเยียบของห้องครัว มือหนึ่งกุมหน้าอก ตรงนั้นยังมีความเจ็บปวดรุนแรงหลงเหลืออยู่
ความทรงจำทะลักเข้าสมองเขาแล้วหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขาอย่างรวดเร็ว
เป็นเพราะนี่คือความทรงจำส่วนตัวของตัวเขาที่อยู่บนโลกใบนี้
หวังมู่ อายุ 30 ผู้ดูแลห้องสมุดเหวินต๋า
ตายเพราะโรคหัวใจกำเริบเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัว หายใจไม่ออกตอนกลับมาทำข้าวเย็นที่บ้าน จึงล้มลงแล้วเสียชีวิตในห้องครัว
ข้อมูลอื่นๆ คือ โสด ไม่มีลูก พ่อแม่ตัดความสัมพันธ์ หลังจากเรียนจบ เป็นเพราะสาขาที่เรียนธรรมดา มีนิสัยเก็บตัว และไม่ถนัดการเข้าสังคม ทำงานมาหลายที่ แต่ถูกไล่ออกเพราะเกิดความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานทั้งสิ้น
ภายหลังจับพลัดจับผลูได้มาทำงานเป็นผู้ดูแลห้องสมุดด้วยความจนใจ
แต่กลับทำมาสี่ปีแล้ว
‘จุ๊ๆ…ขอดูหน่อยว่านายมีความต้องการอะไร’ ลู่เซิ่งจัดระเบียบข้อมูลของสถานะ แล้วเริ่มดูผลกรรมความปรารถนาที่เหลืออยู่ในร่างกายร่างนี้
ไม่ยอมรับ ผิดหวัง อึดอัด ปนด้วยความสิ้นหวังที่ไร้ความคาดหวังต่ออนาคต
นี่คือกลิ่นอายที่ซากวิญญาณของหวังมู่แสดงออกมาให้เห็น
‘ถ้าบนโลกนี้มีอาชีพที่ดูแลห้องสมุดโดยที่มีหน้ามีตาและตำแหน่งขึ้นพรวดพราดได้ก็คงดี…’
หวังมู่เป็นคนน่าสนใจมาก
ลู่เซิ่งรับรู้ถึงจุดนี้หลังจากจุติ
หวังมู่หวังว่าตัวเองจะไม่ธรรมดาอีกต่อไป ตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และคิดจะใช้ชีวิตราบเรียบอย่างสงบสุข
เขาไม่อยากถูกรบกวน ไม่อยากเปลี่ยนแปลงเพราะสังคม และอิจฉาพวกร่ำรวยมีอำนาจที่มีหน้ามีตาเหล่านั้น
เขาคิดว่าตนเองใช้ชีวิตตามใจแบบที่ไม่มีใครเหมือน อาศัยอยู่บนโลกใบนี้อย่างตรงไปตรงมา แต่ละวันเพ้อฝันว่าตัวเองเป็นยอดคน เพียงแต่รังเกียจสังคมทั่วไป เลยมาซ่อนตัวขัดเกลาจิตใจอยู่ในห้องสมุด
น่าเสียดายที่เมื่อถึงคราววาระสุดท้าย ความเพ้อฝันก็ถูกทำลายไปด้วย
แม้หวังมู่มักจะเสแสร้งเป็นยอดคนลึกลับ เพื่อตอบสนองความภูมิใจปลอมๆ ของตัวเอง
แต่เพราะเขาจน ไร้อำนาจ ไร้ตำแหน่ง และรายได้ของผู้ดูแลห้องสมุดก็ต่ำเตี้ย สิ่งที่รักษาความทระนงตนแบบเกินพิกัดของตัวเองได้เพียงหนึ่งเดียว ก็คือบุคลิกยอดคนผู้เร้นกาย
ดังนั้น หวังมู่จึงตัดขาดการติดต่อกับเพื่อนเกือบทุกคน นอกจากเพื่อนๆ แค่ไม่กี่คน คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาอีก
จากนั้นเขาก็จะหยิบหนังสือฝึกวิชากำลังภายในส่วนหนึ่งออกมาจากห้องสมุดด้วยความปรารถนาที่จะเป็นคนพิเศษ แล้วฝึกฝนกำลังภายในเป็นระยะ
น่าเสียดายที่…หนังสือพวกนั้นเป็นวิชาปลอมๆ พอฝึกนานเข้า ไม่เพียงไม่ได้กำลังภายใน หัวใจยังเกิดปัญหา
หวังมู่ไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็เกิดโรคหัวใจอย่างเฉียบพลันตอนกลับบ้าน ตายอยู่ในห้องครัวบ้านเช่าของตนเอง
‘บนโลกใบนี้ไม่มีปราณภายในนี่…’ ลู่เซิ่งลุกขึ้นแล้วส่ายหน้าน้อยๆ
ตอนนี้หัวใจของหวังมู่ยังคงเจ็บอยู่ ถ้าไม่ใช่ลู่เซิ่งใช้พลังวิญญาณมหาศาลชะล้างเส้นเลือดหัวใจของเขาตอนจุติลงมา คาดว่าตอนนี้คงลุกไม่ขึ้น
‘สมกับเป็นโลกพลังงานสุดยอด กฎของที่นี่ครอบคลุมจนน่าโมโหทีเดียว…’ลู่เซิ่งใช้พลังวิญญาณ ไม่นานก็สัมผัสจุดเด่นของสภาพแวดล้อมรอบๆ ได้
กฎของที่นี่มีการสะกดรุนแรงมาก เรื่องนี้พบเห็นได้บ่อย
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หากคิดจะขยับสสารและพลังงานของที่นี่ ระดับพลังงานที่จำเป็นจะสูงมากๆ
หากเทียบโลกใบนี้กับโลกมารสวรรค์ โลกมารสวรรค์จะเหมือนอยู่ในน้ำ แม้มีแรงต้าน แต่ก็ว่ายน้ำขยับตัวได้
ทว่าที่นี่เหมือนฝังอยู่ในหิน หากคิดขยับตัว แรงต้านในสภาพแวดล้อมรอบๆ จะมากจนน่าเหลือเชื่อทีเดียว
‘ต้องเป็นมารสวรรค์ที่แข็งแกร่งระดับเราถึงจะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระตอนจุติลงมา หากเป็นมายาพิศวงทั่วไป แม้แต่ร่างกายของตัวเองก็น่าจะเบียดเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำไม่ได้แม้แต่จะสิงร่าง’
ลู่เซิ่งไอสองสามที หมายจะขยับพลังวิญญาณเพื่อทำให้สภาพในตัวมั่นคง
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลของเขาต้องปรับตัวเข้ากับกฎที่มีระดับสูงกว่าและครอบคลุมกว่านี้เสียก่อน ปริมาณที่ใช้ได้ในตอนนี้อาจจะถือว่าแข็งแกร่งสำหรับโลกใบอื่นมากแล้ว แต่เมื่ออยู่ที่นี่ อย่างมากสุดก็ได้แค่หล่อเลี้ยงระบบประสาทของร่างกายร่างนี้เท่านั้น
พลังวิญญาณจะเชื่อมต่อกับกายเนื้อผ่านโครงข่ายเส้นประสาทและสนามแม่เหล็กชีวภาพ แต่ตอนนี้แม้แต่กฎการเชื่อมต่อส่วนนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย
ผลที่พลังวิญญาณแสดงออกมาได้ก็ถูกลดให้อ่อนแอลงถึงขีดจำกัดเช่นกัน
‘แม้แต่เรายังถูกสะกดขนาดนี้ ที่นี่คงไม่น่ามีใครกล้าจุติลงมา…’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ
เขาเป็นมารสวรรค์อนธการระดับสุดยอดในโลกมารสวรรค์ และนับเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดามารสวรรค์ แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่แม้แต่พลังเพียงน้อยนิดก็ใช้ออกมาไม่ได้
หากเปลี่ยนเป็นมารสวรรค์ตนอื่น คนที่อ่อนแอหน่อยเกรงว่าจะเข้ามาในโลกนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้เข้ามาได้ ผู้ที่สิงร่างสำเร็จก็น่าจะเป็นผู้ที่เข้มแข็งถึงขีดสุดซึ่งมีเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่น่าจะถูกแรงกดดันในอากาศของที่นี่บีบอัดจนตายระหว่างทาง
‘ช่างเถอะ พลังวิญญาณใช้ไม่ได้ งั้นลองปราณปฐพีดู’
ลู่เซิ่งเริ่มทดสอบพลังหลายชนิดที่ตนครอบครองอยู่ ปราณปฐพีเลียนแบบพลังงานได้หลากหลายอย่าง
น่าเสียดายที่ยังคงล้มเหลว
ที่แห่งนี้ไม่ใช่แค่กฎไม่สอดคล้องกันอย่างเดียว ประเด็นสำคัญคือมันมีระดับพลังงานสูงเกินไป พลังงานที่ทำลายดาวเคราะห์ได้ในโลกใบอื่น เมื่อมาอยู่ที่นี่กลับเทียบได้กับพัดลมเท่านั้น
ความแตกต่างทางระดับพลังงานอย่างนี้ไปถึงขั้นอลังการเป็นอย่างมาก
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจแล้วเดินไปเปิดก๊อกน้ำ ก่อนใช้สองมือวักน้ำใส่หน้า
‘ถ้ามารสวรรค์ที่อ่อนแอกว่าเราจุติลงมา คิดจะฆ่าคน เกรงว่าต่อให้จะใช้พลังทั้งหมด อย่างมากก็ได้แค่สร้างภาพหลอนขึ้นในหัวสมองของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นี่เท่านั้น ไม่สามารถสร้างสิ่งที่จับต้องได้ออกมา ปีศาจ มาร ผีจะกลายเป็นภาพลวงตา ใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย พอเป็นแบบนี้ ขอแค่จิตแข็งหน่อย ก็จะมองข้ามภาพหลอนและอันตรายได้’
อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็นึกถึงข่าวลือบางส่วนที่ตนเคยเห็นบนโลกใบเดิม
มันบอกว่าคนเรียนหนังสือที่มีความยุติธรรมจะตะโกนไล่สิ่งลี้ลับได้ด้วยคำพูดเดียว
ตอนนี้ดูเหมือนอาจจะมีความเป็นไปได้นี้จริงๆ
……………………………………….