ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1009 ระดับขั้น (1)
ในยุคเดินทางข้ามดวงดาว หนังสือส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์
ดิสก์เก็บข้อมูลเล็กๆ อันหนึ่งรองรับหนังสือได้ทั้งห้องสมุด
นอกเสียจากผู้อ่านที่มีความผูกพันกับหนังสือเล่มจริงอย่างล้ำลึก คนธรรมดาจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดหรือร้านหนังส สือไม่บ่อยนัก
ห้องสมุดเหวินต๋อที่ลู่เซิ่งอยู่เจอสภาพจนตรอกนี้อยู่
จักรวรรดิมอธมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อาณาเขตมหึมาของหลายแกแลกซีต่างถูกมนุษย์ชาติในจักรวรรดิยึดครองทั้งหมด
เผ่าพันธุ์อื่นถ้าไม่ถูกทำลาย ก็ตกเป็นประชากรและหลอมรวมเข้ากับจักรวรรดิมอธ
ภายใต้ฉากหลังที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ วัฒนธรรมและความรู้ของชนชาตินับไม่ถ้วนได้ผสมผสานกัน คลังความรู้จึงอุดมสมบูรณ์ถึ งขั้นสูงสุด
ลู่เซิ่งใช้ปราณปฐพีและพลังอาวรณ์จำนวนมากซ่อมแซมความเสียหายของร่างกายอยู่ในบ้าน สำหรับเขาแล้ว การใช้ปราณปฐพี กับพลังวิญญาณไม่ได้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
ขอแค่เจอระบบสายหลักของโลกใบนี้ ดีปบลูจะช่วยเขายกระดับตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วไต่ระดับไปถึงขั้นสูงสุดอีกคร รั้ง
เพียงแต่เขาต้องใช้พลังวิญญาณและปราณปฐพีมากกว่าครึ่งของร่างหลัก ถึงพอจะรักษาโรคหัวใจของร่างร่างนี้ได้
นี่ทำให้ลู่เซิ่งไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้การแปลงพลังงานจะใช้พลังอย่างสาหัสเพราะความแตกต่างของกฎ แต่การผลาญพลังแบบนี้กลับแลกมาด้วยผลลัพธ์เพียง น้อยนิด นี่จึงถือเป็นความสิ้นเปลืองอย่างยิ่งยวดสำหรับเขา
เขาถอดเสื้อแล้วไปอาบน้ำ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า กินอาหารอย่างเร่งรีบ หลังยัดทุกอย่างลงท้อง ก็ค่อยๆ เข้าสู่ ห้วงนิทราบนเตียงนอน
เช้าตรู่วันต่อมา ลู่เซิ่งหยิบเครื่องแบบทำงานพิเศษออกจากตู้เสื้อผ้า มันคือเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวสีเทา เขาเปล ลี่ยนเสร็จค่อยส่องกระจก
สิ่งที่สะท้อนอยู่ในกระจกคือชายวัยกลางคนที่ผิวขาวจนซีดอยู่บ้างคนหนึ่ง
เขามีบุคลิกมืดมน สองตาหยีตลอดเวลา สีหน้าเรียบเฉย แต่หลังตั้งตรง ไม่ได้เป็นโรคกระดูกสันหลังคดงอ
เครื่องหน้าพอจะนับได้ว่าหมดจด แต่ไม่ถึงกับหล่อเหลา
‘เป็นผู้ดูแลห้องสมุดต่อไปโดยที่มีหน้ามีตา และไม่ธรรมดาเหมือนเดิม…ถ้านี่เป็นความปรารถนาของฉันในโลกนี้ อย่างน นั้นฉันก็ทำให้นายได้’ ลู่เซิ่งยิ้มให้กับตัวเองในกระจก
เขาสางเส้นผม บนร่างยังคงรักษาความเป็นระเบียบของหวังมู่เอาไว้เหมือนเดิม
กระดุมเสื้อเชิ้ตติดอย่างเรียบร้อยเป็นพิเศษ
เปลี่ยนรองเท้าเดินออกจากบ้าน ลู่เซิ่งผลักรถจักรยานไฟฟ้ายี่ห้อหงฟางออกมาจากใต้บันได ก่อนจะขี่ไปยังห้องสมุด
ห้องสมุดเหวินต๋าห่างจากห้องเช่าของเขาเพียงสองกิโลเมตร ใช้เวลาแค่สิบนาที ลู่เซิ่งก็ไปถึงตึกเล็กๆ ที่เย็นเย ยียบของห้องสมุด
แสงอาทิตย์งดงามอ่อนโยน แต่นอกจากยามแก่ๆ ที่งีบหลับอยู่ในห้องสมุดแล้ว ก็ไม่เห็นคนอื่นอีก
ลู่เซิ่งจอดรถไว้ในมุมด้านข้างพร้อมกับล็อกไว้ จากนั้นก็จัดคอเสื้อก่อนจะหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูห้องสมุด
ห้องสมุดตั้งอยู่ในเขตห่างไกลแถวชานเมือง ดังนั้นจึงเหมือนเป็นห้องสมุดส่วนตัว คนมีชื่อเสียงในท้องที่จำนวนไม่น้อ อยบริจาคเงินเพื่อสร้างมันขึ้น ดังนั้นพอเปิดแล้วจึงไม่ได้กำไรอะไรนัก
ตึกนี้เป็นตึกเล็กๆ สองชั้นที่เศรษฐีคนหนึ่งซื้อไว้เพราะนึกถึงความหลัง มีทั้งหมดหกห้องใหญ่ ใช้เป็นห้องเก็บ หนังสือหลักๆ ของห้องสมุด
“เสี่ยวหวัง วันนี้มาเร็วมากเลยนี่” ชายชราเฝ้าประตูสะดุ้งเพราะเสียงกุญแจ ขยี้ตามองไปยังลู่เซิ่ง
“ครับ วันนี้ตื่นเร็วน่ะ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย” ลู่เซิ่งตอบพลางพยักหน้า
เขาผลักประตูใหญ่เดินเข้าไป
ฝุ่นขมุกขมัวจากด้านในพุ่งมาปะทะหน้า
‘คนน้อยเกินไปแล้ว…แม้แต่สุขอนามัยพื้นฐานก็รักษาได้ยาก...’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าอย่างละเหี่ยใจ
ห้องสมุดแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นแรกมีห้องเก็บหนังสือสามห้อง ชั้นสองมีห้องเก็บหนังสือสองห้อง เก็บนิตยสารและหนังสื อพิมพ์หนึ่งห้อง
ลู่เซิ่งไล่เปิดหน้าต่างระบายอากาศให้ห้องทั้งหมด
จากนั้นก็เริ่มตรวจสอบสภาพของห้องสมุดห้องนี้อย่างตั้งใจ
หนังสือมีไม่เยอะมาก ห้องสมุดห้องหนึ่งเก็บหนังสือไว้ราวสองพันเล่ม ห้องสมุดห้าห้องรวมกันได้ทั้งหมดหนึ่งหมื่น นเล่ม ส่วนห้องเก็บนิตยสารและหนังสือพิมพ์ไม่ได้เปลี่ยนนานแล้ว เท่ากับไม่มีประโยชน์
หรือก็หมายความว่า ห้องสมุดแห่งนี้เก็บหนังสือไว้ทั้งหมดหนึ่งหมื่นกว่าเล่ม
เขาลองพลิกๆ ดู ส่วนใหญ่แล้วเป็นหนังสือทักษะอาชีพที่ล้าสมัยไปแล้ว
ปีที่ตีพิมพ์ล้าหลังกว่าความรู้ส่วนหนึ่งในความทรงจำของหวังมู่ไม่น้อย
‘มิน่าถึงไม่มีใครมา’ ลู่เซิ่งหมดคำพูดอีกครั้ง
ความปรารถนาของหวังมู่เป็นความหวัง ทั้งเป็นผู้ดูแลห้องสมุดต่อไปได้ ทั้งมีหน้ามีตาและไม่ธรรมดาอีกต่อไป
ลู่เซิ่งเข้าใจความทะเยอะทะยานในใจเขาได้
การช่วยหวังมู่ตอบสนองความปรารถนาพร้อมตามหาลูกชาย ถือเป็นการยกระดับพลังวิญญาณของตัวเองเช่นกัน
แม้ตอนนี้เขาจะแข็งแกร่งถึงขีดจำกัดของมนุษย์แล้ว แต่วิธีดูดซับวิญญาณของตัวเองในโลกคู่ขนานก็ไม่แน่ว่าจะยังมี ผลนี่
‘ลองดูได้’
ลู่เซิ่งนั่งลงที่จุดยืมหนังสือของห้องเก็บหนังสือ ชงชาให้ตัวเองแก้วหนึ่ง จากนั้นก็เปิดคอมพิวเตอร์ตัวเก่าบน โต๊ะ
แกร๊กๆ…
มีเสียงแทรกเบาๆ ดังมาจากในกล่องคอมพิวเตอร์เป็นระยะ เหมือนกับรถแทรคเตอร์พ่นควันดำช้าๆ พร้อมกับเคลื่อนที่ไปด้าน นหน้าอย่างอุ้ยอ้าย
คอมพิวเตอร์เปิดแล้ว จากนั้น…
เขาค่อยพบว่าไม่มีอินเตอร์เน็ต
ห้องสมุดขัดสนเงินทุนอย่างมาก พ่อค้าร่ำรวยคนสุดท้ายที่เคยสนับสนุนห้องสมุดเพราะว่าถังแตกจึงได้ตัดการติดต่อไป แล้ว
จนถึงตอนนี้ หวังมู่อาศัยกำไรเล็กๆ น้อยๆ ของห้องสมุดในการรักษาค่าใช้จ่ายของตนเองและยามเฝ้าชรา
จึงไม่มีเงินจ่ายค่าอินเตอร์เน็ต
และโดยทฤษฎีแล้วอำนาจทั้งหมดของที่นี่เป็นของเศรษฐีถังแตกคนนั้น แต่ข่าวคราวหายไปนาน ไม่ทราบว่าคนคนนั้นเป็ นอย่างไรบ้าง
ลู่เซิ่งมองข้อมูลที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์
นอกจากต้นขั้วของหนังสือจำนวนมากแล้ว ยังมีหนังสืออีกมหาศาลที่ได้รับการบันทึกเอาไว้
มีทุกสาขาอาชีพและทุกประเภท
เขาไล่สายตาอ่านดู โดยเฉพาะด้านการพัฒนาร่างกายมนุษย์
น่าเสียดายที่ปีของข้อมูลผ่านมานานแล้วเช่นกัน มิหนำซ้ำส่วนใหญ่ยังเป็นความรู้ด้านทักษะอาชีพธรรมดา ไม่ค่อยมีคุณ ณค่าให้อ้างอิงมากนัก
หลังจากพลิกอ่านสักพัก ลู่เซิ่งก็ยังไม่ได้อะไร นอกจากความรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้จะล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย ก็ไม่มีเนื อหาอื่นอีก
ไม่นานนัก เวลาช่วงเช้าก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
ลู่เซิ่งอ่านระบบยืมหนังสือบนคอมพิวเตอร์
แม้ระบบนี้จะเก่า แต่ยังใช้งานได้ตามปกติ มันระบุว่า มีคนสามคนเข้ามาในห้องสมุด กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องเก ก็บหนังสือที่สอง
ระบบยืมหนังสือเชื่อมต่อกับระบบเฝ้าระวังและประตูรักษาความปลอดภัย เมื่อมีคนเข้าออกจะทราบได้อย่างชัดเจน
‘มีคนเข้ามาอ่านจริงๆ เหรอเนี่ย’ ลู่เซิ่งแปลกใจเล็กน้อย ขณะใช้ปราณปฐพีกับพลังวิญญาณของร่างหลักฟื้นฟูร่างกาย นี้ไปพลาง ทำความรู้จักจักรวาลระดับพลังงานสุดยอดที่เพิ่งเข้ามาเป็นครั้งแรกแห่งนี้ไปพลาง
นั่งอีกสักพักก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากประตูห้องเก็บหนังสือฝั่งตรงข้ามลู่เซิ่ง
เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่ง มัดผมหางม้า สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์แบบง่ายๆ เดินเข้ามา
เธอถือหนังสือเล่มหนึ่งไว้ในมือ เหมือนจะเป็นบทกวี
“ยืมเล่มนี้ค่ะ” เธอวางหนังสือบนโต๊ะด้านหน้าลู่เซิ่ง
“ครับ” ลู่เซิ่งกวาดตามองชื่อหนังสือ ‘ลาก่อน ฤดูใบไม้ร่วงของฉัน’
แค่ชื่อก็ฟังดูน่าเบื่อแล้ว คงจะแต่งให้พวกเด็กวัยรุ่นที่โดดเดี่ยวไม่มีอะไรทำ
“หนึ่งเล่มสามหยวน อ่านได้หนึ่งอาทิตย์ เงินประกันหนึ่งร้อยครับ” ลู่เซิ่งบอกกฏการยืมหนังสือตามนิสัยของหวังมู่ อย่างคุ้นเคย
“ค่ะ” เด็กสาวหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายด้วยสีหน้าราบเรียบ ลู่เซิ่งสแกนบาร์โคดบนหนังสือให้ จากนั้นก็ม มองดูเธอหมุนตัวจากไป
หลังจากมีคนแรกก็มีคนที่สอง คนที่สาม
เป็นเพราะค่ายืมถูก คุณภาพเทียบกับราคาสูง ตอนเช้าจึงมีคนยืมหนังสือออกไปถึงแปดเล่ม
มีคนยืมหนังสือทั้งหมดสามคน สองคนหลังเป็นเด็กผู้ชาย พวกเขายืมเอกสารด้านประวัติศาสตร์ไปทั้งชุด เห็นได้ชัดว่าย ยืมกลับไปหาข้อมูล
ตอนบ่าย ลู่เซิ่งยังคงฟื้นฟูปัญหาหัวใจของร่างกายต่อ จากนั้นก็ทำงานของหวังมู่ที่ค้างอยู่
กิจการช่วงบ่ายคึกคักกว่าช่วงเช้า มีคนมาห้าคน ยืมทั้งหมดยี่สิบเล่ม ได้เงินมาเกือบร้อย
ตอนที่กำลังจะปิดประตูตอนเย็นนั่นเอง
ตู้ด…
เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
หวังมู่กำลังเช็ดโต๊ะ พอได้ยินเสียงก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋ากางเกง
ด้านบนระบุชื่อว่า
‘สวีเฉ่ากง’
นี่เป็นเพื่อนสมัยเรียนเพียงคนเดียวของหวังมู่ และเป็นคนที่ไม่จงใจตีตัวออกห่างหลังจากเขากลายเป็นผู้ดูแลห้องสมุด ดเงินเดือนต่ำต้อย
พอกดปุ่มรับสาย เสียงสดใสร่าเริงก็ดังมาจากในโทรศัพท์ทันที
“มู่มู่ ช่วงนี้เป็นไงบ้าง สองสามวันก่อนหน้านี้ฉันไปเมืองหวงเจียมา น้ำทะเลที่นั่นใสแจ๋ว บนหาดทรายมีแต่สาวๆ นุ่ งชุดว่ายน้ำ นายไม่ได้เห็นภาพนั้น มีคนถอดท่อนบนอาบแดดด้วยนะ จุ๊ๆ…ฉันบอกแล้วให้ไปด้วยกันแต่นายดันไม่ฟังซะ ะนี่…”
เสียงพูดโหวกเหวกของสวีเฉ่ากงดังมาจากปลายสายไม่หยุด
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง เจ้าหมอนี่ใช้เวลายี่สิบนาทีพูดตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่หยุดพัก
สภาพทางบ้านของสวีเฉ่ากงธรรมดา แต่ตัวเขามุมานะ ได้เป็นผู้จัดการสาขาในบริษัทชาวต่างชาติ เงินเดือนไม่เลว บวกกั บมีน้ำใจ ไม่นานก็หาแฟนได้คนหนึ่ง
เขาแตกต่างจากหวังมู่ตรงที่คอยติดต่อกับเพื่อนเก่าอยู่ตลอด เลยมีเส้นสายมาก
เพียงแต่เขาไม่ชอบใจความไม่เอาถ่านของหวังมู่ และแนวคิดการใช้ชีวิตที่ไร้ความทะเยอทะยานของเขา จึงมักเกลี้ยกล่อม ให้เขาทิ้งงานนี้ออกไปหางานใหม่
การเสียเวลาอยู่ในห้องสมุดเก่าๆ มีแต่จะเสียช่วงหนุ่มสาวไปเปล่าๆ
ลู่เซิ่งคุยกับสวีเฉ่ากงเกือบครึ่งชั่วโมงค่อยวางสาย ความจริงเขาเป็นฝ่ายฟังเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย
หันไปมองเห็นอาทิตย์อัสดงที่ค่อยๆ ลาลับด้านนอก
เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วหายใจออกยาวๆ
‘พอจะเข้าใจแล้ว…ที่นี่ไม่มีพลังพิเศษ เป็นโลกสายวิทยาการธรรมดาๆ’
เขาขมวดคิ้ว
‘ดูเหมือนจะได้แต่เริ่มจากการฝึกฝนกายเนื้อขั้นพื้นฐานแล้ว’
แม้วิธีนี้จะช้าที่สุด แต่ใช้ได้ดีกับทุกที่
‘จากข้อมูลที่ได้ตรวจสอบมาแล้ว วิธีการฝึกฝนของที่นี่แตกต่างจากสิ่งที่เราเคยฝึกฝนเมื่อก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่ ส่วนพื้นฐานที่หยาบที่สุดล้วนเป็นเหมือนกัน กลับใช้ได้พอดี’
ส่วนพื้นฐานได้แก่การฝึกฝนร่างกายตำแหน่งเดียว ทำให้ตำแหน่งนั้นได้รับสารอาหารมากกว่าเดิมจนแข็งแกร่งขึ้น
กฎนี้เป็นเหมือนกันในทุกจักรวาล
นี่เป็นรูปแบบการพัฒนาและคุณสมบัติปรับตัวของสิ่งมีชีวิต
ลู่เซิ่งนึกทบทวนในสมองว่า วิชาไหนที่เหมาะจะให้ตนในตอนนี้ฝึกฝนบ้าง