ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1011 รับจ้างสอน (1)
เวลาพลบค่ำ
ลู่เซิ่งปิดประตูห้องสมุดอย่างเอื่อยๆ แล้วพูดคุยกับยามชราสักพัก ก่อนจะมองดูเขาหิ้วตะกร้าหมากออกไปเล่นหมากกั บคนอื่น
ส่วนเขาปลดกระดุมแขนเสื้อออกแล้วเดินไปยังที่ว่างด้านหลังห้องสมุด
เดิมทีลานโล่งตรงนี้ใช้จอดรถ แต่น่าเสียดายหลังจากมีเงินทุนไม่พอ ห้องสมุดก็ตกยุคกว่าเดิม มีแต่หนังสือเก่าๆ ไ ได้แต่ประคับประคองกิจการไว้
ลานโล่งผืนใหญ่ด้านหลังที่เหลืออยู่จึงรกร้าง ไม่มีรถจอดสักคัน
ลู่เซิ่งวางขวดน้ำที่เตรียมไว้ลงใกล้ๆ จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงมุมที่มีเงาบังของลานโล่ง
วิชาเกลียวเก้าชีวิตหมายถึงเกลียว
เป้าหมายสุดท้ายของเก้าชีวิต คือการเพิ่มระดับห่วงโซ่ยีน เพื่อทำให้ชีวิตวิวัฒนาการ
ลู่เซิ่งดื่มน้ำ ก่อนจะยืนอยู่ตรงมุมลานโล่ง ปล่อยสองแขนห้อยตก หลับสองตาแน่น
หลังจากผ่อนลมหายใจสักพัก
เพียะๆๆๆ!
เขาก็ดีดนิ้วสิบนิ้วทิ่มใส่ตำแหน่งบนหน้าอก ท้อง และสองบ่าของตัวเองหลายสิบครั้งดุจสายฟ้าฟาด
จุดไหลเวียนของเลือดและกล้ามเนื้อบนตัวเขาถูกการทิ่มแทงด้วยความเร็วสูงทิ่มจนกระตุก
กล้ามเนื้อเริ่มสั่นไหวเหมือนเป็นตะคริว เลือดไหลเวียนเร็วยิ่งขึ้น
กล้ามเนื้อของเขาเกร็งหดเหมือนกับสปริง แม้แต่หัวของเขาก็หดลงเล็กน้อย
เหงื่อซึมออกจากรูขุมขนบนผิวหนัง ทำให้เสื้อของเขาเปียกโชกทันที
“แฮ่กๆๆ!”
ลู่เซิ่งหอบหายใจคำโต ทนอยู่อย่างนี้หลายสิบวินาที ผลลัพธ์ของการทิ่มแทงเมื่อครู่จึงค่อยๆ หายไป ถูกกล้ามเนื้อ และเลือดชะล้างทิ้ง
เขาหลับตาพักผ่อนอยู่สิบกว่าวินาที จากนั้นค่อยเริ่มการฝึกฝนรอบที่สอง
นี่เป็นวิธีการฝึกฝนที่แท้จริงของวิชาเกลียวเก้าชีวิต ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวเหมือนชักกระตุกผ่านการกระตุ้นข้อต่อ อของกล้ามเนื้อ ปล่อยให้ตัวเองสู้กับตัวเองเพื่อเพิ่มพละกำลัง
เหมือนกับใช้มือซ้ายมือขวาดันกันไว้ หลักการวิชานี้ก็คล้ายๆ กัน
ทำอย่างนี้เก้าครั้ง ลู่เซิ่งก็เหนื่อยแทบล้ม
เหงื่อข้างใต้เท้าทำพื้นเปียกไปส่วนหนึ่ง
เขาหอบหายใจพักผ่อนสักครู่หนึ่ง ค่อยหยิบขวดน้ำมาจิบคำเล็กๆ
รออีกสิบกว่านาที ลมหายใจเริ่มคงที่ เขาค่อยเก็บของแล้วลุกขึ้นจากไป
ไม่นานนัก เสียงของรถจักรยานไฟฟ้าก็ค่อยๆ ห่างออกไป
บนลานโล่งกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ผ่านไปเกือบสองสามนาที
เด็กอ้วนที่กำลังกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังดิบคนหนึ่ง ก็เดินออกมาจากมุมหนึ่งอย่างงงงัน สายตาจ้องมองตำแหน น่งที่ลู่เซิ่งเพิ่งฝึกวิชา ไม่พูดอะไรสักคำ สองตาเบิกค้าง
“พ่อแก้วแม่แก้ว…”
ข้างๆ รั้วที่อยู่ไม่ไกลจากเขา ร่างร่างหนึ่งมองผ่านกระจกหน้าต่างห้องของยามมาทางนี้ไกลๆ
ร่างนั้นคือหลิ่วเฉิงนั่นเอง
‘เป็นอย่างที่คิด…ผู้ดูแลคนนี้ซ่อนความลับไว้จริงๆ ด้วย…’ หลิ่วเฉิงรู้สึกสนใจบ้างแล้ว
ตอนนี้แม้เทคโนโลยีในสังคมจะพัฒนาไปไกล แต่ในพื้นที่ที่เป็นดินแดนชายขอบแห่งนี้ นอกจากสถานีติดต่อข้ามดวงดาว ท ที่อื่นกลับไม่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีมากสักเท่าไหร่
พื้นที่หลายแห่งยังคงมีการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แม้แต่การเปลี่ยนรุ่นผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยี ที่แห่งนี้ก็ช้าที่สุดเช ช่นกัน
หลิ่วเฉิงเคยได้ยินมาก่อนว่า ยุคโบราณมียอดคนที่เหมือนผู้เร้นกายอยู่กลุ่มหนึ่งชอบซ่อนตัวอยู่ในเมือง คอยปร รับตัวไปตามอัตตภาพและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
คนกลุ่มนี้มีทักษะเลิศล้ำเกือบทุกคน ไม่ใช่คนธรรมดา…
‘หรือว่าฉันอยู่มาสิบหกปี ในที่สุดก็ได้เจอปาฏิหาริย์ของจริงเข้าแล้ว!?’ หลิ่วเฉิงตื่นเต้นเล็กน้อย
เวลานี้คนสองคนที่อยู่นอกและในลานโล่งอารมณ์พลุ่งพล่านเหมือนกัน
…
หลายวันให้หลัง
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ประตูรักษาความปลอดภัยของห้องสมุด มองดูคนสองสามคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านในด้วย ยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อคนพวกนี้หยิบหนังสือจากห้องอ่านหนังสือมารวมตัวอ่านที่นี่ จะมีระบบจัดเก็บอัตโนมัติ ขอแค่วางหนังสือเข้าไป ป ก็จะทำให้หนังสือกลับไปอยู่ที่เดิมได้อย่างง่ายดาย
นี่เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้หวังมู่ดูแลห้องสมุดเพียงคนเดียวได้ ทั้งยังเป็นจุดเดียวที่ทำให้ลู่เซิ่งรู้สึกว่ าโลกนี้เป็นโลกแห่งวิทยาการ
เพียงแต่…
ลู่เซิ่งมองดูเวลา 6 โมง 31 นาที ใกล้ถึงเวลาปิดห้องสมุดแล้ว
ในโถงใหญ่ยังมีหนุ่มสาวหลายคนเดินไปเดินมา
แต่ไม่ทราบว่าทำไมเด็กอ้วนคนหนึ่งและนักเรียนหญิงที่มายืมหนังสือบ่อยๆ ถึงได้มองมาทางเขาอย่างกระวนกระวายอยู่ บ้าง
แต่ลู่เซิ่งย่อมรู้ว่าพวกเขามองมาทางตัวเองบ่อยๆ ทำไม
เวลาฝึกวิชาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาสัมผัสได้ว่าสองคนนี้คอยชมดูอยู่ใกล้ๆ เพียงแต่เขาทำเป็นไม่สนใจเท่ านั้น
คนสองคนนี้ เป็นสองคนที่เขาคัดกรองออกมาจากพวกคนยืมหนังสือ ซึ่งฐานะทางบ้านน่าจะดีที่สุด
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ วันนี้หลิ่วเฉิงนั่นพาเพื่อนสนิทมาด้วยคนหนึ่ง
ลู่เซิ่งยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แม้สองวันมานี้เขาจะกินจุขึ้นเพราะการฝึกวิชา ทำให้เงินเหลือน้อยลงทุกทีๆ แล ละคาดว่าคงจะทนได้แค่หนึ่งสัปดาห์
พอใกล้ถึงเวลาปิดห้องสมุด ในที่สุดเด็กอ้วนคนนั้นก็ทนไม่ไหว เป็นฝ่ายเดินมาหาเขาเอง
ห้องสมุดในเวลานี้เหลือเพียงเขากับพวกหลิ่วเฉิง ส่วนคนอื่นๆ ทยอยกลับไปหมดแล้ว
ด้านนอกฟ้าครึ้มสลัวอยู่บ้าง มีเสียงฟ้าร้องดังมาเป็นระยะ เหมือนฝนใกล้ตกแล้ว
เด็กอ้วนตัวกลมมาก เวลาเดินสองขาสั้นๆ จะโยกเยกไปมา เหมือนรับน้ำหนักไม่ไหว กล้ามเนื้อใบหน้าเบียดตาจนเหลือแค่ เส้นเล็กๆ จุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเขาเกรงว่าจะเป็นผิวที่ขาวผิดธรรมดา
เด็กคนนี้อายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี เท่ากับหลิ่วเฉิง สวมเสื้อยืดสีดำเนื้อบาง ตรงหน้าอกปั๊มลายการ์ตูนหุ่นยนต์ตั วใหญ่
กางเกงเป็นกางเกงขาสั้นแบบปกติ ลักษณะเหมือนเด็กทื่มคนหนึ่ง
เขาเดินไปถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง
“คือว่า…คุณลุง…ความจริงเมื่อวานผมเห็นคุณฝึกวิชา…” เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี สุดท้ายก็เล ลือกบอกตามตรง
ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาจากหนังสือตรงหน้าขึ้นไปอยู่บนใบหน้าของเด็กอ้วน
“…”
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่แค่มองด้วยสายตาก็ทำให้เด็กอ้วนตัวสั่นน้อยๆ แล้ว
“ผม…ผมๆ…” เด็กอ้วนบ้านรวยมาก เขาเคยเห็นพี่ชายของตัวเองจ้างเทรนเนอร์เล่นกล้ามและเทรนเนอร์ต่อสู้มาสอน แต่ พวกนั้นแตกต่างจากยอดคนตรงหน้านี้
เขาแอบมองลู่เซิ่งมาหลายวัน พบว่าวิธีที่แค่ใช้วิชาดัชนี ก็ทำให้ร่างกายหดลงเล็กน้อยนั้น น่าอัศจรรย์ขนาดไหน
บวกกับครั้งหนึ่ง เขาเห็นลู่เซิ่งฝึกฝนวิชาหมัดตามลำดับขั้นตอน อานุภาพที่อ่อนจางนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากเหล่า าคนที่เขาเคยพบเห็นมาก่อน
นับตั้งแต่นั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่า เทรนเนอร์ต่อสู้ทั่วไปที่เคยเจอมาไม่มีทางสู้คนคนนี้ได้เด็ดขาด
เด็กอ้วนอ่านนิยายถึงขั้นธาตุไฟเข้าแทรก แต่งเติมพล็อตต่อจากนี้นับไม่ถ้วนให้แก่ลู่เซิ่งในชั่วเสี้ยววินาที
เช่นยอดฝีมือผู้เร้นกายที่ถูกขับออกจากสำนัก ยอดคนไร้เทียมทานที่เกษียณอยู่ในเมือง และผู้อาวุโสที่จนหนทาง งเพราะความรัก…
“คุณลุง! ผมอยากกราบคุณเป็นอาจารย์ครับ!” เด็กอ้วนก้มหน้าลงและกล่าวเสียงจริงใจนอบน้อม
ท่าทีของเขาจริงจังอย่างไม่เคยมีมาก่อน แม้แต่ตอนที่ขอให้พ่อซื้อหุ่นจำลองให้เมื่อก่อนหน้านี้ก็ยังไม่จริงจังขน นาดนี้
เขาสาบานว่า นี่เป็นเวลาที่จริงจังและจริงใจที่สุดในชีวิต
“กราบฉันเป็นอาจารย์หรือ” ลู่เซิ่งชี้ไปบนผนังตรงมุมด้านขวาด้วยสีหน้าเมินเฉย
เด็กอ้วนมองตามไป
บนนั้นติดกระดาษเขียนด้วยลายมือไว้เอียงๆ
บนกระดาษเขียนอย่างชัดเจนว่า ‘รับสมัคร – กวดวิชาและสอนวาดรูป หนึ่งวิชาเก็บค่าเรียนเดือนละหนึ่งพัน วาดภาพเดื อนละสามพัน’
ข้างใต้กระดาษแผ่นนั้นมีร่างเยาว์วัยสองร่างยืนอยู่แล้ว เป็นพวกหลิ่วเฉิงนั่นเอง
“อาจารย์ รีบมาเร็วสิคะ! วันนี้จะเริ่มสอนอย่างเป็นทางการไม่ใช่เหรอ” หลิ่วเฉิงตะโกน
“…” เด็กอ้วนเหมือนโดนฟ้าผ่าใส่
ยอดคนไร้เทียมทานล่ะ
ความลับที่เป็นของเขาคนเดียวล่ะ
ปาฏิหาริย์ของเขาล่ะ?!
เด็กอ้วนตะโกนในใจ
แต่ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจกิจกรรมทางจิตใจของเขา หากลุกขึ้นตบเสื้อผ้าแล้วเดินไปหาพวกหลิ่วเฉิง
เด็กสาวสองคนนี้มาหาเขาเมื่อวานเพื่อขอติวภาษาต่างประเทศ เขาลองใคร่ครวญดูก่อนจะเขียนใบประกาศรับสมัครชั้นเรียน กวดวิชาออกมา
ค่าเรียนยึดตามราคาตลาด
ด้วยความสามารถของเขาเอง การสอนความรู้ถือว่าง่ายมาก
แม้ว่าพอมาอยู่ที่นี่ วิชาจิตโน้มนำจะถูกสะกดไม่มีความสามารถพิเศษอะไรจนน่าสงสาร แต่การหลอกเหล่านักเรียนถือว่า าง่ายเหมือนปลอกกล้วย ผลของวิชาจิตโน้มนำจะทำให้พวกเขาทุ่มเทกับการเรียนทั้งกายและใจจนถอนตัวไม่ขึ้น นี่เป็นเรื องง่ายๆ
ลู่เซิ่งเดินไปถึงหน้าใบประกาศแล้วพิจารณาพวกหลิ่วเฉิง
หลิ่วเฉิงและ…เฉินหงยวน เด็กสาวทั้งสองมีหน้าตาอยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางสูง รูปร่างถือว่าพอผ่านได้ ไม่อ้วน ไม่ผอม แต่ไม่สมบูรณ์ มีหลายจุดที่มองออกว่า วันหน้าหากโตขึ้นจะอ้วนจนรูปร่างเปลี่ยนแน่นอน
“อาจารย์ พวกเราจะเรียนภาษาละตินกับภาษาเคนค่ะ” หลิ่วเฉินเอ่ยอย่างจริงจัง
“ได้สิ เวลาเรียนในแต่ละวันคือก่อนสองทุ่มหลังห้องสมุดปิด หนึ่งสัปดาห์เรียนสามครั้ง พวกเธอเตรียมตัวไว้ กินข้า าวมาด้วย หรือจะเรียนยังไงดี” ลู่เซิ่งกล่าว
“ตอนนี้พวกเราเอาของกินมาแล้วค่ะ เอาตามที่ว่าก่อนก็ได้ อาจารย์อยากกินอะไรสักหน่อยก่อนไหมคะ” หลิ่วเฉิงถามอย่ างเอาใจใส่
“ไม่ล่ะ”
“อาจารย์! ผมอยากเรียนกวดวิชาเหมือนกันครับ!” เด็กอ้วนที่อยู่ด้านนั้นรีบวิ่งเข้ามา
“จ่ายเงิน รับสมัคร” ลู่เซิ่งเดินไปยังชั้นสองโดยไม่หันหลังกลับ
ทั้งสามรีบตามไป
เด็กสาวที่ตามหลิ่วเฉิงมาด้วยดูกลัวๆ อยู่บ้าง ระหว่างทางจับมือเพื่อนสนิทแน่น
ลู่เซิ่งพาพวกเขาไปถึงในห้องเก็บนิตยสารชั้นสอง แล้วเปิดหน้าต่างระบายอากาศ จากนั้นก็ให้ทั้งสามหาที่นั่งนั่งลง
ต่อมาเขาเปิดคอมพิวเตอร์และเริ่มแจกแบบเรียนฉบับที่ถ่ายเอกสารมา
“การเรียนภาษาละตินอยู่ในเนื้อหาของหลักสูตรมาตรฐาน แต่ภาษาเคนไม่ได้อยู่ในขอบเขตการสอน ดังนั้นจะคิดแยกนะ”
“ได้ค่ะอาจารย์” หลิ่วเฉิงรีบตอบ
ลู่เซิ่งรีบจัดระเบียบโครงสร้างไวยากรณ์โดยรวมของภาษาละติน ขณะเดียวกันก็คัดคำศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดออกมา แล้วอธิบ บายระบบโครงสร้างของภาษาละตินทั้งหมดให้พวกเขาฟังตั้งแต่เริ่มต้น
คาบเรียนจบลงอย่างราบรื่น ทั้งสามรู้สึกว่าตนไม่ได้รักการเรียนธรรมดา ปรารถนาจะกลับบ้านไปทุ่มกับการเรียนทั้งกาย ยและใจ
พอสอนจบ พวกหลิ่วเฉิงก็กลับกันก่อน พวกเธออยากจะกลับไปเรียนตลอดทั้งคืนอย่างแทบจะอดใจไม่ไหว เพราะผลของวิชา จิตโน้มนำ