ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1017 ชุมนุม (1)
ฟ้าใสหลังฝนตก แสงอาทิตย์สาดลำแสงลำหนึ่งลงมาจากหลังชั้นเมฆ
ไป๋จวิ้นเฉิงนั่งบนล้อเลื่อน ปล่อยให้น้องชายไป๋อันอี้ผลักอยู่บนสนามหญ้าในสวนสาธารณะ
ในสวนสาธารณะมีคนไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นคู่รักกับเด็กๆ ทั้งสองมองเด็กคนหนึ่งวิ่งเอาว่าวขึ้นฟ้าด้วยสีหน้าผ่อนคลา าย แต่สายตากลับเหม่อลอย
“อันอี้”
“อะไรเหรอครับพี่ ยังเจ็บหน้าอกอยู่อีกเหรอ” ไป๋อันอี้รีบถาม
“ไม่ใช่” ไป๋จวิ้นเฉิงส่ายหน้า “ช่วงนี้ตอนนายไปเรียน อาจารย์หวังได้เปลี่ยนท่าทีกับนายไหม”
“ไม่นี่ครับ ยังเหมือนเดิม” ไป๋อันอี้ทบทวนก่อนตอบ
“นายว่าถ้าฉันกราบอาจารย์หวังเป็นอาจารย์ จะสำเร็จไหม” ไป๋จวิ้นเฉิงหวั่นไหวจริงๆ แล้ว
แม้วันนั้นเขาจะไม่ได้สวมชุดเกราะอัลลอยด์ แต่น้องชายก็ไม่ได้สวมเหมือนกัน ทว่ากลับต่อยตนเองจนพิการได้ ถ้าใส่ ชุดเกราะอัลลอยด์ที่เพิ่มพละกำลังได้ นั่นจะไม่สุดยอดไปเลยหรือ
“สำเร็จสิครับ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แค่จ่ายเงินก็พอ แต่ถ้าอยากจะกลายเป็นศิษย์แกนหลัก ต้องดูว่าอาจารย์หวังจะย ยอมรึเปล่า” ไป๋อันอี้กล่าวอย่างลังเล
“ฉันพูดถึงความเป็นไปได้ที่อาจารย์หวังจะรับฉันต่างหาก...” ไป๋จวิ้นเฉิงยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นชายฉกรรจ์หลายคน ที่พันผ้าสีแดงไว้บนแขนเดินออกมาจากส่วนลึกของสวนสาธารณะที่อยู่ไกลออกไป
ชายฉกรรจ์พวกนี้พันผ้าสีแดงไว้บนแขนขวา คนที่เป็นผู้นำมีผมสีทอง ทาหน้าผากเป็นสีขาว ดูแล้วไม่สุภาพและมีควา ามดุร้ายอยู่
“ได้ยินมาว่าคุณได้รับบาดเจ็บ พี่ไป๋ พอได้รับข่าวผมก็เดินทางหลายพันกิโลเมตรมาที่นี่ทันที” คนผมทองเอ่ยด้วยร รอยยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มดูชั่วร้ายเป็นอย่างมาก
“จินเลี่ยนจื่อ…ข่าวไวดีนี่นา…ฉันเพิ่งได้รับบาดเจ็บแกก็แจ้นมาเลยเหรอ” ไป๋จวิ้นเฉิงผุดสีหน้าตกใจเล็กน้อย ย
“ใช่แล้วๆ นับตั้งแต่พี่สาวผมถูกพี่ทำให้สองมือพิการ ผมก็จับตาดูพี่มาโดยตลอด…แปลกเหรอ พอได้ยินว่าพี่ได้รั บบาดเจ็บ ผมก็รีบมาทันที” จินเลี่ยนจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
คนที่เหลือเริ่มกระจายตัวล้อมสองพี่น้องตระกูลไป๋เอาไว้
ไป๋จวิ้นเฉิงผุดสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมเอ่ยเบาๆ
“ระวัง เป็นคู่แค้นของฉันเอง พวกมันสวมชุดเกราะอัลลอยด์กันทุกคน นายลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยหนี!”
ไป๋อันอี้กระวนกระวาย ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีเรื่องมาก่อน ตอนนี้เห็นคนมากมายล้อมเอาไว้ เขาก็เคร่งเครียดอย่างไม ม่อาจควบคุม
“ผม…ผม…” ไป๋อันอี้กำหมัด
“ลุย!” จินเลี่ยนจื่อโบกมือ คนทั้งกลุ่มโถมใส่สองพี่น้อง
…
พี่น้องตระกูลไป๋เจอคู่แค้นมาหาเรื่อง ไป๋อันอี้มาเรียนโดยได้รับบาดเจ็บ ลู่เซิ่งเห็นบาดแผลบนกำปั้นของเขาในคาบ บ่าย จึงถามสถานการณ์ดู
ไป๋อันอี้เล่าความจริง บาดแผลบนมือเขายาวเท่านิ้วและพันปิดเอาไว้แล้ว
ไป๋อันอี้ยังเล่าถึงผลการต่อสู้อันเจิดจรัสของตัวเองกับจ้าวกั่วโยวอย่างภูมิอกภูมิใจ
การลดไขมันของจ้าวกั่วโยวเห็นผลอย่างชัดเจนแล้ว น้ำหนักลดลงเหลือหกสิบกิโลกรัมโดยประมาณ เธอที่สูงหนึ่งเมตรเ เจ็ดสิบเซนติเมตร และมีน้ำหนักห้าสิบหกสิบ เพียงแค่ดูอวบไปบ้างเท่านั้น
จ้าวกั่วโยวในตอนนี้หน้าเรียวขึ้นบ้างแล้ว มีบุคลิกหมดจดเล็กน้อย
“จริงสิครับอาจารย์ พี่ผมบอกให้อาจารย์ระวังตัวในช่วงนี้ด้วย ไม่แน่ว่าจะมีคนมาหาเรื่องอาจารย์เพราะผม แต่ผมจ จะจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด ไม่ให้อาจารย์โดนลูกหลงไปด้วย” ไป๋อันอี้ฉุกนึกอะไรได้ จึงรีบเตือนลู่เซิ่ง
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งดูความก้าวหน้าในการฝึกฝนที่บันทึกไว้บนโทรศัพท์ “เอาล่ะ วันนี้เรียนถึงเท่านี้ ไป๋อันอี้ เธ ธอเล่าให้ฟังหน่อยว่าเธอบาดเจ็บได้ยังไง”
ไป๋อันอี้รับคำแล้วเริ่มทบทวนอย่างละเอียด
“ตอนนั้นผมสู้กับคนหลายคน รู้สึกว่าพวกเขามีความเร็วและพละกำลังเยอะกว่าคนธรรมดามาก เทียบเท่ากับพละกำลังครึ่งห หนึ่งของผมโดยประมาณ แต่พวกเขาหมัดแข็งแกร่ง ผมถูกมือที่ต่อยใส่สะท้อนกลับจนบาดเจ็บ พี่ผมบอกว่า เป็นชุดเกรา าะอัลลอยด์ที่สามารถเพิ่มพละกำลังสองถึงสามเท่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านความเร็วเพิ่มได้สามเท่า แต่ก็มีขีดจำกั ดของมันอยู่เช่นกัน”
“สองถึงสามเท่าเหรอ” ลู่เซิ่งนึกเฉลียวใจ
“จริงสิคะอาจารย์ ชั้นเรียนกวดวิชาของพวกเราในตอนนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะคะ แถมยังมีอีกหลายคนอยากสมัครเข้าม มาด้วย ควรตั้งชื่ออย่างเป็นทางการสักชื่อไหมคะ” จ้าวกั่วโยวที่อยู่ด้านข้างแนะนำเบาๆ
“ชื่อเหรอ” ลู่เซิ่งได้สติ “ถูกแล้ว ควรจะทำให้เป็นงานเป็นการสักที”
ชื่อหลายชื่อไหลผ่านสมองของเขา ไม่นานก็ตัดสินใจได้
“ชื่อ เก้าชีวิตก็แล้วกัน” เขาว่า “โถงเก้าชีวิต”
“นี่มันชื่ออะไรกันครับ” ไป๋อันอี้แสดงสีหน้าพิลึก
“ทีหลังถ้ามีโอกาส เธอจะรู้เอง” ลู่เซิ่งเอ่ยเรียบๆ “ตอนนี้ฝึกเพิ่มซะ!”
เอ๋!?
ทั้งสองร้องโหยหวนทันที
โถงเก้าชีวิต อาจจะเข้าใจได้ยากสำหรับคนอื่นๆ แต่ลู่เซิ่งก็แค่ตั้งชื่อตามวิชาเกลียวเก้าชีวิตที่ตนเองฝึกฝนเท ท่านั้น
วิชานี้ถูกสร้างขึ้นโดยอิงตามร่างกายมนุษย์ของโลกใบนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะเก็บไว้กับตัว หากคิดจะหาเมล็ ดพันธุ์ดีๆ มาถ่ายทอดให้อย่างเป็นทางการ
เขาไม่เคยกลัวความลับรั่วไหลอยู่แล้ว อย่างไรต่อให้คนอื่นฝึกฝนก็เร็วไม่เท่าเขาอยู่ดี
เวลาเรียนคาบบ่ายจบลง ลู่เซิ่งปิดประตูห้องสมุด ตอนกำลังจะกลับก็เจอยามชราเข้าพอดี
“เสี่ยวหวัง ทางเจ้าของห้องสมุดจะยกห้องสมุดให้คนอื่นแล้ว เธอรู้เรื่องไหม”
ยามเฒ่าผิวหน้าบูดบึ้ง กล่าวอย่างขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง
เขานั่งอยู่ทางขวาของประตู ถือบุหรี่ราคาถูกไว้ในมือ เผลอยกขึ้นอัดอย่างแรง ทั้งที่ยังไม่ได้จุดไฟ
“ให้คนอื่นเหรอครับ” ลู่เซิ่งงุนงง “จริงสินะ ห้องสมุดนี้เป็นสถานที่ที่มีแต่จะขาดทุน”
“มันก็ถูกแหละ มีเงินเดือนพอให้เราสองคนเท่านั้น เธอว่าถ้ามีคนรับห้องสมุดนี้ไว้แต่ไม่ต้องการเราสองคนแล้ว.. ..จะทำยังไงดี…” ยามเฒ่ากล่าวอย่างเป็นทุกข์
ลู่เซิ่งไม่ได้ตอบ ความปรารถนาของหวังมู่คือการเป็นผู้ดูแลห้องสมุดที่ไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้อาจเกิดตัวแปรแล้ว
เขาเดินกลับบ้าน ในใจเริ่มคำนวณเงินของตัวเองที่ได้รับในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา
ตั้งแต่จุติ เริ่มจัดชั้นเรียน จนมาถึงตอนนี้ เขามีเงินเก็บอยู่สองล้านกว่าๆ แต่หากคิดจะซื้อห้องสมุด แค่ที่ดิน นกับตัวตึกก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ
ร่างกายยังอยู่ในช่วงปรับตัวและปรับปรุงของชีวิตที่สาม ยังไม่สามารถพัฒนาต่อได้ชั่วคราว
และเรื่องพลังอาวรณ์ก็ต้องล้อมคอกก่อนวัวหายเช่นกัน
ลู่เซิ่งคาดคำนวณในใจคร่าวๆ ถึงเวลารวบรวมคนที่เหมาะจะช่วยเหลือตนแล้ว
คนอย่างพี่น้องตระกูลไป๋เป็นได้แค่ศิษย์ฉากหน้าเท่านั้น เวลาเส้นทางสว่างเกิดเรื่อง สามารถตามตัวพวกเขามาแก้ไขปัญ ญหาได้ทุกเวลา
แต่ในเส้นทางมืด เรื่องราวสีเทาๆ มากมาย หากไม่มีใครคอยช่วยอยู่ข้างกาย ก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
อย่างไรลู่เซิ่งก็ไม่อยากจะวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ทั้งวัน
‘เราต้องการคนหลายคน ทางที่ดีคือเป็นคนอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีภาระผูกพัน เคารพอาจารย์ ให้ความสำคัญกับหลักการ ซึ่ งดีกว่าไม่มีอะไรเลย…’
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า สายตาจับอยู่ที่เด็กวัยรุ่นชายหญิงร่างมอมแมมสองคนที่กำลังป้อนไอศกรีมให้กันอยู่ข้างถนน น
เด็กวัยรุ่นสองคนนี้เป็นเด็กเร่ร่อนที่อยู่ใกล้ๆ ห้องเช่าของหวังมู่
ลู่เซิ่งรู้จากความทรงจำของหวังมู่ว่า เด็กสองคนนี้เสียพ่อแม่ไปนานมากแล้ว ภายหลังไม่ได้กลับบ้าน ที่บ้านมีแต ต่ตาที่คอยเลี้ยงดูพวกเขา
ต่อมาตาจากไปเพราะเจ็บป่วย เด็กสองคนไม่มีที่พักพิง บ้านเพียงหลังเดียวกับเงินฝากก็ถูกหลอกไปจนหมดตัว ทั้งสอง งเลยออกมาเร่ร่อนเก็บขยะขาย
ก่อนหน้านี้เขาเห็นเด็กวัยรุ่นชายหญิงสองคนนี้แอบฟังอยู่นอกหน้าต่างตอนเขาสอนภาษาต่างประเทศให้พวกไป๋อันอี้
พอเด็กวัยรุ่นเห็นลู่เซิ่งมองมาก็กระวนกระวายอยู่บ้าง
พี่คนโตลุกขึ้นแล้วยิ้มให้ลู่เซิ่งอย่างระมัดระวัง
“อาจารย์หวังสวัสดีครับ” เขาทักทายอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาสองพี่น้องไม่เคยขอทาน ดังนั้นจึงยังยึดอกได้โดยไม่รู้ สึกต้อยต่ำ
“ฉันต้องการคนสองคนมาช่วยงาน ค่าทำงานชั่วโมงละสิบหยวน เอาไหม” ลู่เซิ่งเสนออย่างราบเรียบ
“ได้สิครับ อาจารย์ต้องการให้ทำอะไรบอกมาได้เลย พวกเราไม่ต้องการเงิน ขอแค่อาจารย์ไม่ไล่พวกเราไปในเวลาปกติก็ พอ!” ตัวพี่ชายตาเป็นประกายก่อนรีบตอบรับ
น้องสาวที่อยู่ด้านข้างเขาลุกขึ้น แล้วยิ้มประจบลู่เซิ่งตามพี่ชายเช่นกัน
เพียงแต่รอยยิ้มนั้นทำให้ลู่เซิ่งรู้สึกสดใสอย่างอธิบายไม่ถูก
ลู่เซิ่งนิ่งไปเล็กน้อย
“ฉันต้องการจ้างงานระยะยาว ให้ช่วยฉันจัดการเรื่องในชีวิตประจำวัน ฉันกำลังจะเปิดสอนอย่างเป็นทางการน่ะ”
“ไม่มีปัญหาครับ พวกเราจัดการเอง!” ชายหนุ่มที่อายุมากกว่ายิ้มพลางตบอก
“อย่างนั้นก็ตามฉันมา” ลู่เซิ่งหมุนตัวเดินไปยังที่อยู่ของตัวเอง
ระหว่างทางกลับ ด้านซ้ายคือเขตภูเขาขยะของสิ่งก่อสร้างที่กว้างขวาง ด้านขวาคือตึกสูงหลายหลังที่เก่าทรุดโทรม
ลู่เซิ่งเดินอยู่บนทางเดินปูด้วยหินสีดำที่แตกร้าว เด็กวัยรุ่นชายหญิงทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังลังเลเล็กน้อย สุ ดท้ายก็ติดตามไป
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้างกายลู่เซิ่งก็มีเด็กวัยรุ่นที่คอยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้ เพิ่มมาสองคน
ความจริงทั้งสองคนอายุสิบสี่สิบห้าแล้ว พี่ชายชื่อเว่ยหานตง น้องสาวชื่อเว่ยเจินอวี๋ มองออกได้จากชื่อของพวกเข ขาว่าพ่อแม่ไม่ใช่คนที่มีการศึกษา ทั้งยังโชคร้ายและชีวิตลำบาก
ลู่เซิ่งเช่าโกดังแห่งหนึ่งใกล้ๆ ห้องสมุด ใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกในเวลาปกติของโถงเก้าชีวิต
จากนั้นก็ให้เว่ยหานตงรับผิดชอบวางแผนและแจ้งโปรแกรมการฝึกฝน รวมถึงภารกิจของนักเรียน ส่วนน้องสาวเว่ยเจินอวี๋รั บผิดชอบเรื่องผู้หญิงและธุระที่ลู่เซิ่งไม่สะดวกจะจัดการ
เมื่อมีคนเพิ่มมาสองคน ลู่เซิ่งก็สบายขึ้นมาก แต่ละวันนอกจากสอนนักเรียนไม่กี่คน ก็สอนศิษย์แกนหลักอีกเพียง สองคน จัดการธุระเสร็จโดยใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง
เวลาที่เหลือเขาจัดสรรเองทั้งหมด
พอนักเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ ชั้นเรียนรอบนอกของโถงเก้าชีวิตก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นในเมือง คนอ้วนที่ไม่พอใจในตัว วเองจำนวนไม่น้อยต่างก็มาเพราะได้ยินข่าว
แม้ค่าเรียนเดือนละแสนจะดูเกินไปหน่อย แต่ถ้าสามารถกำจัดความอ้วนได้โดยสิ้นเชิง ใช้เวลาสองเดือนก็เห็นผลแล้ว
เงินสองแสนแลกกับการกำจัดความอ้วนอย่างสมบูรณ์ นี่เป็นความยั่วยวนที่อยู่เหนือจินตนาการสำหรับคนอ้วนทุกคน
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยอย่างช้าๆ พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสองเดือน
นักเรียนในชั้นเรียนรอบนอกมาแล้วก็ไป ไปแล้วก็มาเหมือนกับสายน้ำ เปลี่ยนหน้ามาเรื่อยๆ จำนวนคนเริ่มลดน้อยลง อย่างไร คนอ้วนที่มีเงินก็มีไม่กี่คน
บวกกับไม่มีการป่าวประกาศเป็นพิเศษ คนย่อมลดลงอย่างช้าๆ เป็นเรื่องธรรมดา