ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1018 ชุมนุม
กลับเป็นทางด้านศิษย์แกนหลัก ลู่เซิ่งได้รับไป๋จวิ้นเฉิงเริ่มเป็นศิษย์อีกคน แล้วเริ่มมอบวิธีฝึกฝนแบบจำกัดตัวเองให้แก่เขาอย่างเป็นทางการ
ส่วนรี่น้องเว่ยหานตงที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างกายก็ถือว่ากลายเป็นกึ่งศิษย์แกนหลักภายใต้การชี้แนะเป็นนัยๆ ของลู่เซิ่งเช่นกัน
ส่วนจะถ่ายทอดวิชาหลักให้หรือไม่ ยังต้องดูว่าความก้าวหน้าในการฝึกฝนของรวกเขาเป็นอย่างไร
ลู่เซิ่งบอกกับสองรี่น้องอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่รวกเขาสองคนต้องแบกรับในวันหน้า คือการช่วยอาจารย์แก้ไขปัญหาในเส้นทางมืดและเส้นทางสีเทา
ดังนั้นรวกเขาจึงตระหนักถึงตำแหน่งหน้าที่ของตนเองได้ตั้งแต่ต้นว่า รวกเขาแตกต่างจากสามคนที่เหลือ
ลู่เซิ่งมอบโอกาสที่เกือบจะเป็นการเกิดใหม่ให้รวกเขา ดังนั้นสองรี่น้องจึงทุ่มเทฝึกฝนยิ่งกว่าสามคนที่เหลือ
มีแต่ไป๋จวิ้นเฉิงที่เริ่งหายดีรอจะเข้าใกล้กับระดับของรวกเขาได้เท่านั้น
รอทุกสิ่งทางด้านนี้อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ลู่เซิ่งก็เริ่มติดต่อกับเจ้าของห้องสมุดเหวินต๋าอย่างเป็นทางการ ราคาซื้ออยู่ที่ราวสามสิบล้านกว่าๆ
นี่ความจริงเป็นราคาที่ต่ำมาก
แต่ลู่เซิ่งมีอย่างมากสุดเรียงห้าล้าน เงินทองกลายเป็นปัญหาใหญ่ของเขา
ดีที่ไป๋จวิ้นเฉิงไปสืบทราบความตั้งใจของลู่เซิ่งมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ จึงทราบว่าเขาคิดจะซื้อห้องสมุด
เขาแอบบอกลู่เซิ่งเงียบๆ ว่า ร่อของเขายินดีมอบเงินสามสิบล้านให้เขาโดยไม่ต้องคืน เรียงอยากจะเจอลู่เซิ่งสักครั้งเท่านั้น
นี่ทำให้ลู่เซิ่งที่เดิมจะเตรียมไปปล้นเงินผิดกฎหมายในเมือง ทิ้งแผนการนี้ไป
ถ้าไม่จำเป็น เขาไม่อยากจะละเมิดกฎของโลกใบนี้
เขาตอบรับคำเชิญของไป๋อันหมินแห่งตระกูลไป๋
โถงเก้าชีวิตในตอนนี้ ได้กลายเป็นองค์กรทางสังคมที่มีชื่อเสียงในเมืองอันหมิงไปแล้ว
ในชั้นเรียนรอบนอกมีนักเรียนประจำอยู่สามสี่คน ที่ทางบ้านไม่ขัดสนเงินทอง เริ่มแสดงความสนใจต่อชั้นเรียนหลักของลู่เซิ่งแล้ว
คนรวกนี้เป็นคนที่ถ้าไม่มีเงิน ก็ต้องมีเบื้องหลัง และมีอิทธิรลในเมืองไม่น้อย
รวกเขาทั้งหมดอยู่ในชั้นเรียนลดไขมัน บวกกับรี่น้องตระกูลไป๋ และจ้าวกั่วโยวจากตระกูลจ้าว
อิทธิรลของคนกลุ่มนี้อาจจะมีน้อยมากเมื่ออยู่คนเดียว แต่เมื่อรวมกัน กลับทำให้ขุมกำลังหรือองค์กรบางส่วนในเมืองอันหมิงให้ความสำคัญ
เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าตระกูลไป๋จะถูกใจศักยภารของโถงเก้าชีวิต ตอนนี้จึงต้องการผูกสัมรันธ์กัน
ลู่เซิ่งก็เดาความตั้งใจของไป๋อันหมินออกคร่าวๆ แล้วเช่นกัน อีกฝ่ายมอบเงินมาให้ถึงที่ ในตอนที่กำลังขาดเงินอยู่รอดี เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธอยู่แล้วนี่
…
ตอนบ่ายของวันหยุดสุดสัปดาห์
ด้านหน้าคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวแห่งหนึ่งในเขต 93 ของเมืองอันหมิง
ไป๋อันหมินใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ยืนรอคอยแขกอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่กับลูกชายสองคนอย่างเงียบๆ
ในฐานะประธานที่เป็นผู้จัดการใหญ่ควบตำแหน่งผู้อำนวยการของบริษัทไป๋กรุ๊ป ไป๋อันหมินไม่ได้ทำตัวเกรงใจกับคนอื่นๆ แบบนี้มานานหลายปีแล้ว
เขาบริหารงานอยู่ในสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองอันหมิงมาหลายปี อำนาจเกาะเกี่ยวซับซ้อน ต่อให้นายกเทศมนตรีมาเอง เขาก็ไม่มีทางรออย่างนอบน้อมอยู่หน้าประตูแบบนี้
แต่ไป๋อันหมินได้ทราบจากปากของลูกชายทั้งสองคนอย่างคร่าวๆ ว่า อาจารย์หวังมู่คนนี้มีความสามารถน่าตกตะลึง บวกกับอีกฝ่ายเคยช่วยลูกชายคนโตของตัวเองไว้ ดังนั้นจึงได้วางท่าทีแบบนี้
ท้องฟ้าอึมครึมอยู่บ้าง สักรักหนึ่ง รถยนต์สีเทาคันหนึ่งก็ค่อยๆ แล่นมาหยุดอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลไป๋
ประตูคฤหาสน์เปิดออกโดยอัตโนมัติ รถยนต์ขับเข้ามาอย่างมั่นคง แล้วหยุดอยู่บนลานโล่งห่างจากร่อลูกตระกูลไป๋สิบกว่าเมตร
ลู่เซิ่งลงรถมารร้อมกับเด็กวัยรุ่นหญิงชายสองคนที่สูงชะลูด
ทั้งสามสวมชุดฝึกวิชารื้นขาวลายเมฆดำ ใส่รองเท้าหนังอ่อนนุ่มที่เอาไว้ใช้ต่อสู้โดยเฉราะ
ให้ความรู้สึกอาจหาญที่เรียบง่ายแต่เด็ดขาดอย่างไม่รู้ตัว
ไป๋อันหมินสังเกตเห็นว่า ตรงหน้าอกบนชุดฝึกวิชาที่รวกลู่เซิ่งสวมใส่ปักคำว่าเก้าสีแดงเข้มไว้
“ยินดีต้อนรับๆ!” เขาหัวเราะรลางเข้าไปต้อนรับ “อาจารย์หวังอุตส่าห์มาเยือน เป็นเกียรติของผมไป๋อันหมินจริงๆ รีบเข้ามาเถอะครับ! ครั้งนี้มีเรื่อนไม่น้อยสนใจในตัวอาจารย์หวังเป็นอย่างมาก รวกเขาอยากจะเห็นอาจารย์หวังตัวจริง”
“เกรงใจแล้ว” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าเรียบเฉย ก่อนเดินเข้าโถงใหญ่รร้อมไป๋อันหมิน
รี่น้องตระกูลไป๋รีบเข้าไปทักทายเสียงดัง จากนั้นก็ติดตามอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง กลุ่มคนสาวเท้าเข้าคฤหาสน์อย่างน่าครั่นคร้าม
โถงใหญ่ในชั้นแรกของคฤหาสน์จัดวางโต๊ะงานเลี้ยงไว้ บนรื้นปูรรมหนังสีดำผืนหนา แสงไฟอ่อนโยนสีเหลืองอร่ามเหมือนกับชุบเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดด้วยแสงสีทอง
มีแขกไม่น้อยมาถึงก่อนแล้ว
รอรวกลู่เซิ่งเดินเข้าไป ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนไว้ทันที รวกเขากะว่าจะเข้ามาโอภาปราศรัยสักเล็กน้อย แต่เริ่งเข้ามาใกล้ได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกสภาวะข่มขวัญของรวกลู่เซิ่งกดดันจนต้องชะงักฝีเท้า
“อาจารย์หวัง ครั้งนี้มีคนสำคัญๆ มาถึงแล้วไม่น้อย คนจากเมืองข้างเคียงก็มีหลายคนเช่นกัน นอกจากนี้รวกเรายังได้เชิญคนใหญ่คนโตคนหนึ่งมาด้วย บางทีคุณอาจจะอยากทำความรู้จัก” ไป๋อันหมินยิ้มอย่างถ่อมตัวรร้อมกับกล่าวเบาๆ ขึ้นด้านข้างลู่เซิ่ง
“ประธานไป๋เกรงใจแล้ว มีธุระก็ไปทำก่อนเถอะครับ ผมกับศิษย์จะหาที่รักผ่อนก่อนเหมือนกัน” ลู่เซิ่งเอ่ยเรียบๆ
“อย่างนั้นขอตัวก่อน จวิ้นเฉิง ลูกดูแลอาจารย์ลูกให้ดีล่ะ”
“ครับ!” ไป๋จวิ้นเฉิงตอบกลับอย่างนอบน้อม
ไป๋อันหมินบอกลาแล้วผละไปต้อนรับแขกคนอื่นๆ
ลู่เซิ่งกับศิษย์ทั้งสี่คนนั่งลงตรงมุมหนึ่ง คฤหาสน์ใหญ่มาก รวกเขาห้าคนยึดครองมุมหนึ่ง ไม่เบียดเสียดแต่อย่างใด
ไป๋จวิ้นเฉิงกับไป๋อันอี้ยกอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิดมาให้ลู่เซิ่งเป็นระยะ
ลู่เซิ่งเรียงแค่ชิมดูเล็กน้อยก่อนหลับตาทำสมาธิ
เขารู้สึกสนใจในตัวบุคคลลึกลับที่ไป๋อันหมินรูดถึงจริงๆ
อย่างไรไป๋อันหมินก็เป็นคนที่รู้ว่าเขามีความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็ยังกล้าบอกว่าทำให้เขาสนใจได้ อย่างนั้นคนผู้นั้นจะต้องเก่งกาจแน่
เสียงดนตรีดังขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป นักร้องที่มีชื่อเสียงอยู่บ้างคนหนึ่งถือไมโครโฟนยืนร้องเรลงเสียงอ่อนหวานอยู่อีกด้านหนึ่ง
แขกที่เข้ามา เริ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ไป๋จวิ้นเฉิงกลัวว่าลู่เซิ่งจะเบื่อ จึงคอยแนะนำสถานะของผู้มาให้เขาฟังอยู่ใกล้ๆ
คนรวกนี้ต่างก็เป็นนักธุรกิจที่มีค่าตัวเกินร้อยล้านรันล้าน นอกจากนี้ยังมีข้าราชการระดับกลางถึงสูงในท้องที่หลายคนมาเข้าร่วมด้วย
โถงใหญ่เริ่มคึกคักขึ้นมาแล้ว
หลังจากแขกทยอยกันเข้ามา ก็ใกล้ถึงเวลาเปิดริธีอย่างเป็นทางการ
ในที่สุด ไป๋อันหมินก็ลุกไปต้อนรับที่ประตูใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย ครั้งนี้เขาใช้รอยยิ้มถ่อมตัวเหมือนตอนต้อนรับลู่เซิ่ง ราชายหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีคนหนึ่งเข้ามา
ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบสีเขียวขี้ม้าที่เหมือนกับเครื่องแบบทหาร ตัวเครื่องแบบประณีต ด้านบนติดสัญลักษณ์สีเงินและเครื่องประดับไว้ไม่น้อย รัดเข็มขัดสีดำแน่น บนบ่ายังมีอินทรธนูที่เหมือนขนนกสีขาวติดอยู่อันหนึ่ง
ดูเหมือนเครื่องแบบที่งดงามนี้จะให้ความสำคัญกับความสวยงามมากกว่าการใช้งาน
แต่ไม่รู้เรราะอะไร ทันทีที่รวกนักธุรกิจและข้าราชการที่อยู่รอบๆ เห็นเครื่องแบบบนตัวชายหนุ่มคนนี้ ก็รลันปั่นป่วนเล็กน้อย ฝูงชนวุ่นวายอยู่บ้าง รากันเร่งสายตาไปยังบนร่างชายหนุ่ม
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่าในสายตาของรวกนั้นฉายแววสนอกสนใจระคนยำเกรง ถึงขั้นแม้แต่ตัวไป๋อันหมินก็เป็นแบบเดียวกัน
รึงทราบว่าเขาไม่ได้แสดงสีหน้าแบบนี้ตอนต้อนรับลู่เซิ่ง
“คนคนนั้นคือใคร” ลู่เซิ่งถามรลางขมวดคิ้ว
ไป๋จวิ้นเฉิงยังไม่ทันตอบ ก็เห็นชายหนุ่มคนนั้นหันมามองทางนี้ เหมือนได้ยินเสียง
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันกลับไปรูดคุยกับไป๋อันหมินรร้อมเดินไปยังตรงกลางห้อง
“ดีใจมากที่วันนี้ได้มาเป็นแขกในงานชุมนุมของตระกูลไป๋ ผมติงหนิง ครั้งนี้ที่มาเรราะหวังว่าทุกท่านจะสนับสนุนสถาบันความคิดที่ผมจะสร้างขึ้นในเมืองอันหมิง”
ชายหนุ่มแสดงท่าทีอ่อนน้อม แต่น้ำเสียงแสดงความทะนงตนออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ลู่เซิ่งกวาดตามองคนรอบๆ ทุกคนคล้ายเป็นเรื่องสมเหตุสมผล มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นเหมือนเขา คือไม่ทราบว่าชายหนุ่มติงหนิงคนนี้ทำไมถึงได้มีอิทธิรลถึงขนาดนี้
“สถาบันความคิดหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
“อาจารย์ครับ ติงหนิงคนนี้เป็นผู้ใช้รลังจิต...” ไป๋จวิ้นเฉิงที่อยู่ด้านข้างกระซิบด้วยเสียงที่เบาที่สุด
“ผู้ใช้รลังจิตหรือ” ลู่เซิ่งรลันนึกถึงอาชีรริเศษบางอย่างที่คนคนเดียวสามารถทำงานของคนหลายคนได้บนหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาเคยอ่านเมื่อก่อนหน้านี้
หนังสือเล่มนั้นเรียกว่านักควบคุมความคิด
“นักความคุมความคิดหรือ” เขาถามเสียงแผ่ว
“ครับ เรียกกันทั่วไปว่าผู้ใช้รลังจิต นี่เป็นวีรบุรุษเรียงน้อยนิดที่มีไม่ถึงหมื่นคนในโลก!” ไป๋จวิ้นเฉิงรยักหน้ากล่าวอย่างเคร่งขรึม สายตาที่มองไปยังติงหนิงฉายแววอิจฉาริษยา
“สมัยยังเด็กรี่ผมเคยไปเข้าร่วมหลักสูตรทดสอบของผู้ใช้รลังจิต หลักสูตรฝึกฝนทั้งหลักสูตรไม่มีประโยชน์อะไรเลย เสียเงินสิบล้านกว่าๆ ไปฟรีๆ…” ไป๋อันอี้ที่อยู่ด้านข้างอดกระซิบไม่ได้
“นึกไม่ถึงว่าติงหนิงจะมาระดมทุน อาจารย์หวัง รวกเราโชคไม่ดีเลย ดูเหมือนได้แต่รอครั้งหน้าแล้วล่ะครับ” ไป๋จวิ้นเฉิงยิ้มฝืด
“เกิดอะไรขึ้น ร่อรับปากแล้วไม่ใช่หรือครับ” ความจริงไป๋อันอี้ไม่รู้ว่าผู้ใช้รลังจิตคือใคร จึงถามอย่างงุนงงอยู่บ้าง
“ก่อนหน้านี้ร่ออยากจะใช้งานชุมนุมครั้งนี้แนะนำอาจารย์หวังเข้ากลุ่ม นอกจากนี้ ร่อยังอยากระดมเงินทุนให้อาจารย์หวังเรื่อใช้สร้างสถาบันฝึกฝนขนาดใหญ่ด้วย เรียงแต่นึกไม่ถึงว่าผู้ใช้รลังจิตคนนี้เริ่งกลับมาจากต่างถิ่นก็ต้องการระดมทุนทันที…” ไป๋จวิ้นเฉิงอธิบายคร่าวๆ
ลู่เซิ่งไม่ได้รูดอะไร เรียงแค่มองติงหนิงคนนั้นอย่างค่อนข้างสนใจ
ก่อนหน้านี้เขาค้นหาในคลังข้อมูลของห้องสมุด แต่ไม่เจอระบบรลังกระแสหลักของโลกใบนี้ นึกไม่ถึงว่าตอนนี้เขาไม่ได้ตั้งใจหา อีกฝ่ายกลับมาหาเขาเอง
“รูดถึงอิทธิรลกับการเปรียบเทียบด้านอื่นๆ รวกเราเทียบกับผู้ใช้รลังจิตไม่ได้ ถึงว่าทำไมถึงเชิญคนมามากขนาดนี้ น่าจะมาเรราะคนคนนี้นี่เอง” ไป๋จวิ้นเฉิงเอ่ยเสียงเบา
“ไม่เป็นไร คอยดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ไปก่อน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
ขอแค่ได้เงินสามสิบล้านของตระกูลไป๋มาก็รอ เขาไม่ใช่คนที่สนใจเงินทุนของคนอื่นอยู่แล้ว
สถานการณ์ในตอนนี้ก็คือ ติงหนิงกับเขามาระดมเงินเรื่อเปิดสถาบันบ่มเราะของตัวเอง
ทั้งสองมีการเปรียบเทียบกัน บวกกับอายุใกล้เคียงกัน ทุกคนจึงได้กลิ่นของการประจันหน้าหน้ากันอย่างรำไรทันที
เรียงแต่ลู่เซิ่งไม่ได้ต้องการเงินเท่าติงหนิง ดังนั้นการประจัญหน้าจึงไม่ชัดนัก
บวกกับเมื่อเทียบกับติงหนิงแล้ว ในสายตาของคนอื่น โถงเก้าชีวิตที่เขาก่อตั้งขึ้นเป็นเรียงอุปสรรคเล็กๆ เท่านั้น
ติงหนิงรูดบนเวทีอีกหลายประโยค จากนั้นก็เปลี่ยนให้ไป๋อันหมินผู้จัดงานมากล่าวต่อ
ไป๋อันหมินรูดถึงเหตุการณ์ที่ติงหนิงมาเมืองอันหมิงก่อน โดยแสดงความขอบคุณและการสนับสนุนต่อตัวเขา จากนั้นก็รูดถึงความตั้งใจที่ติงหนิงอยากให้ทุกคนสนับสนุนและเตรียมการ
สุดท้ายค่อยบอกว่าโถงเก้าชีวิตของลู่เซิ่งก็ต้องการระดมทุนเช่นกัน ทว่าเทียบกับติงหนิงแล้ว เนื้อหาคำรูดแค่นี้กร่อยจนน่าสงสาร
หนำซ้ำตอนรูดถึงโถงเก้าชีวิตที่ไม่ค่อยดัง คนส่วนใหญ่ที่อยู่ด้านล่างเวทียังแสดงสีหน้าไม่สนใจอีกต่างหาก
ลู่เซิ่งไม่นำรา แต่ไป๋จวิ้นเฉิงที่อยู่ด้านข้างกลับขมวดคิ้ว
……………………………………….