ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1019 ที่ดิน (1)
หากบอกว่าติงหนิงเพียงมาระดมทุนคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับโถงเก้าชีวิตยังดี แต่ปัญหาในตอนนี้คือ สถาบันความคิด ส่งผลต่อการรับรู้ที่ทุกคนมีต่อโถงเก้าชีวิตอย่างชัดเจน
นักธุรกิจส่วนหนึ่งที่เดิมอาจจะลงเงินสนับสนุนโถงเก้าชีวิต เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะไม่ลงทุนเพราะมอบเงินให้แก่สถ ถาบันความคิดแทน
อย่างไรสถาบันความคิดก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ต้องการค่าใช้จ่ายไม่น้อย
ไป๋จวิ้นเฉิงมองอาจารย์ ลู่เซิ่งมีสีหน้าไร้อารมณ์ คล้ายไม่สนใจแม้แต่น้อย
เขาไม่ทราบว่าเพราะอดทนอยู่หรือไม่สนใจจริงๆ แต่ตอนนี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่า สายตาที่แขกรอบๆ มอง มาทางตนเองเริ่มเปลี่ยนไปบ้างแล้ว
มีสายตาไม่น้อยที่ฉายแววยิ้มเยาะ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เมื่อเทียบโถงเก้าชีวิตที่ไร้ชื่อเสียงกับสถาบันความคิดที เป็นทางการ นี่เป็นความแตกต่างระหว่างมหาวิทยาลัยดังกับมหาวิทยาลัยบ้านนอก
ไป๋จวิ้นเฉิงเพิ่งเรียนกับลู่เซิ่งได้ไม่นาน แต่เขามีประสบการณ์โชกโชน แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ เขาคือคนที่ออกไป ปท่องโลกมาแล้ว จึงรู้ว่าความสามารถของลู่เซิ่งร้ายกาจขนาดไหน
ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมรับ
ในตอนนี้เอง ติงหนิงเริ่มแนะนำหนุ่มสาวสองคนที่เพิ่งเข้ามาในห้องให้ทุกคนรู้จัก
หนุ่มสาวสองคนนั้นเหมือนจะเป็นลูกของนักธุรกิจที่มาเป็นแขก พวกเขาเดินออกมาจากฝูงชน แล้วหยุดอยู่ข้างตัวติง หนิงอย่างมีมารยาท
“ต่อจากนี้ผมขอแนะนำศิษย์สองคนของผม” ติงหนิงชี้หนุ่มสาวด้านข้างด้วยรอยยิ้ม
“พวกเขาสองคน เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการที่ผมรับเอาไว้ตอนที่เข้าเป็นผู้ใช้พลังจิตอย่างเป็นทางการเมื่อสองปีก่อ อน คนหนึ่งชื่อโจวเสียง อีกคนชื่อโจวหมิงเซียง คิดว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่คงมีหลายคนที่เคยเห็นพวกเขามาก่อน”
“ที่แท้ก็เป็นเด็กสองคนจากตระกูลโจวนี่เอง ผมเห็นเด็กสองคนนี้ตั้งแต่เด็กๆ คาดไม่ถึงเลย” ไป๋อันหมินยิ้มขณ ณะกล่าวเสริม
“ตระกูลโจวผูกสัมพันธ์กับคุณติงเงียบๆ หรือนี่ ถึงว่าทำไมคุณติงถึงได้มาเปิดสถาบันความคิดที่เมืองนี้ ที่แท้ ก็เพราะเหตุผลนี้เอง”
หญิงสาวท่าทางสง่างามคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้ม
“มีเหตุผลทางนี้อยู่จริงๆ ครับ ความจริงผมมีอิสระเลือกสถานที่หลายแห่งตั้งแต่เริ่ม ตอนนั้นผมก็ลังเลอยู่นานเห หมือนกัน…” ติงหนิงยิ้มพลางพูดกับคนรอบๆ ที่เดินเข้ามาใกล้
คนส่วนหนึ่งสงวนท่าที พอเห็นคนที่เข้าไปมีเยอะ ก็มองอยู่ไกลๆ ไม่ได้เข้าไปด้วย
แต่มีบางคนไม่สนใจหน้าตา พวกทำธุรกิจที่หน้าด้านก็มีไม่น้อย พวกเขาอาจแค่รู้ว่าโอกาสยากกว่าจะได้มา การได้ผู กสัมพันธ์กับผู้ใช้พลังจิตเป็นเรื่องที่สวยงามไร้ที่ติจริงๆ
แค่เสียหน้านิดหน่อยจะเป็นไร
สักพักหนึ่งก็มีคนสี่ห้าคนเข้าไปรุมล้อมติงหนิง คนที่อยู่ด้านนอกเบียดเข้าไปไม่ได้
ทางนี้โหวกเหวกโวยวาย ทางลู่เซิ่งกลับหงอยเหงา ไม่มีใครสนใจ
เดิมทีทางชั้นเรียนลดน้ำหนักของเขาน่าจะมีคนมาถามไถ่ไม่น้อย แต่ตอนนี้ถูกความโดดเด่นของสถาบันความคิดกลบมิด ทุก กคนต่างอยากจะผูกสัมพันธ์กับผู้ใช้พลังจิตอย่างติงหนิงให้ทันเวลา
“วางมาดจริงๆ คนพวกนั้นเองก็ไม่มีความละอายใจ เข้าไปรุมล้อมกันหมด อย่างกับสัตว์รุมแทะกระดูก” ไป๋อันอี้ถากถาง งอย่างอดไม่ได้
ไป๋จวิ้นเฉิงสังเกตสีหน้าของลู่เซิ่ง
“อาจารย์ ควรจะ…แสดงความสามารถดูหน่อยไหมครับ” นี่เป็นงานชุมนุมที่เดิมทีตระกูลไป๋จัดให้อาจารย์หวัง ตอนนี้กลั บถูกผู้ใช้พลังจิตอย่างติงหนิงชิงความโดดเด่นไปแล้ว
คนที่ฝึกวรยุทธ์จนร่างกายแข็งแรงอย่างพวกเขามีความฮึกเหิมเปี่ยมล้นที่สุด ตอนนี้ถูกคนเหยียบหน้าไม่ให้ค่า คนอื นยังนึกว่าโถงเก้าชีวิตของพวกเขาข่มเหงง่ายจริงๆ อย่างงั้นหรือ
ไป๋จวิ้นเฉิงตัดสินใจแล้วว่าจะจัดหนักสักรอบ
ลู่เซิ่งมองไปทางติงหนิง รู้สึกเบื่อหน่าย เขาไม่สนใจเรื่องแย่งความเด่นดัง
แค่ได้เงินทุนสามสิบล้านมาก็พอ อย่างอื่นไม่สำคัญ เป็นเพราะเขาไม่มีความคิดจะสร้างสาขาของสถาบันอยู่แล้ว ดังนั้ นจึงไม่มีความรู้สึกอะไรต่อการชิงความเด่น
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก ในเมื่อรวบรวมเงินได้ครบ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับพวกเขา ทางพวกเขาเองก็ไม่ได้ยั่วยุพ พวกเราเสียหน่อย” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา
“พี่ ผู้ใช้พลังจิตแข็งแกร่งมากเลยเหรอครับ” ไป๋อันอี้ถามขึ้นเบาๆ ด้านข้าง
ไป๋จวิ้นเฉิงเห็นคนหลายคนมองมาทางตน ก็ทราบว่าทุกคนอาจจะไม่รู้ จึงพยักหน้าและกล่าวยืนยันว่า
“แข็งแกร่งมาก แต่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน แค่ได้ยินคนเล่าให้ฟังว่า ผู้ใช้พลังจิตที่แท้จริงมีพลังแข็งแกร ร่งเป็นพิเศษ หากแค่สวมชุดเกราะอัลลอยด์ ฉันกับอันอี้น่าจะ…”
“ไม่…” เสียงที่แทรกขึ้นอย่างกะทันหันตัดบทไป๋จวิ้นเฉิง
หลายคนเงยหน้ามอง เป็นไป๋อันหมิน
เวลานี้หัวเรือใหญ่แห่งตระกูลไป๋ขมวดคิ้วมองลูกชายทั้งสอง
“พ่อขอห้ามพวกแกไม่ให้ก่อเรื่องเด็ดขาด ความแข็งแกร่งของผู้ใช้พลังจิตอยู่เหนือจินตนาการของพวกแก! พวกแกห้าม ก่อเรื่อง!”
“พ่อ พวกเราแค่ทนดูต่อไปไม่ได้เท่านั้น!” ไป๋จวิ้นเฉิงเอ่ยเสียงเย็น
“ทางรัฐสนับสนุนเบี้ยเลี้ยงที่ถูกต้องตามกฎหมายให้ผู้ใช้พลังจิต ตำแหน่งเท่ากับข้าราชการระดับกลาง! ยังมีระบบที่ใ ใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกหลายอย่าง ไม่ใช่พ่อดูถูกพวกแกนะ แต่โถงเก้าชีวิตอยู่คนละระดับกับสถาบันความคิดจริงๆ” ไป๋อัน นหมินเอ่ยเสียงทุ้ม
“รู้จักมาตรฐานการทดสอบระดับต่ำสุดของผู้ใช้พลังจิตไหม” เขารีบกล่าวเสริมเบาๆ
ไป๋จิ้วเฉิงกับไป๋อันอี้ส่ายหน้า เพียงแต่ยังคงแสดงสีหน้าไม่ยอมรับ
“มาตรฐานต่ำสุดคือควบคุมยานรบขนาดเล็กลำหนึ่งได้ด้วยตัวเอง” ไป๋อันหมินกล่าวเสียงทุ้ม
“นั่นก็แค่ทักษะการควบคุมเท่านั้นเองนี่ครับ” ไป๋อันอี้กล่าวอย่างไม่สนใจ
“ยานรบทั่วไปที่เบาที่สุดมีน้ำหนักสิบตัน เป็นยานรบขนาดเล็กคล้ายกับเครื่องบินรบที่มีคนขับคนเดียว แต่แกลอง คิดดีๆ สิว่า ถ้าผู้ใช้พลังจิตที่ควบคุมเรือรบสิบตันได้ ควบคุมอุปกรณ์การบินที่มีขนาดเล็กสุดขีดบางส่วน จะเกิด ผลลัพธ์แบบไหนขึ้น” ไป๋อันอี้เอ่ยเสียงเย็น
ทันทีที่คำพูดของเขาหลุดออกไป ทุกคนพากันตกตะลึง
ไป๋จวิ้นเฉิงหน้าเปลี่ยนสีทันที
ถ้าเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์การบินโลหะที่มีขนาดเล็กถึงขีดสุด อย่างนั้นพลังทำลายล้างของผู้ใช้พลังจิตจะเพิ่มขึ้นหลายเท่ าตัว
ใช้พลังในการควบคุมยานรบมาควบคุมอุปกรณ์การบินโลหะขนาดเล็กแทน…
“จงอย่าวู่วาม” คำพูดของไป๋อันหมินบอกต่อลูกชายตัวเอง แต่ความจริงพูดให้ลู่เซิ่งฟัง
ลู่เซิ่งเข้าใจความหมาย
เขาแปลกใจอยู่บ้าง เดิมทีเขาไม่คิดจะใช้อารมณ์ ทำไมผู้นำตระกูลไป๋ถึงได้ร้อนใจแบบนี้
ไป๋อันหมินรั้งอยู่ทางนี้สักพักจึงค่อยจากไป
งานชุมนุมดำเนินไปได้ครึ่งทาง ไป๋อันหมินก็แอบเอาเช็คสามสิบล้านให้ไป๋จวิ้นเฉิงไว้ก่อน เพื่อให้เขาส่งต่อแก่ ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งเซ็นต์หลักฐานการยืมส่งไปก่อน จากนั้นเขาก็เตรียมจะลุกจากไปโดยไม่สนใจเรื่องอื่นอีก
แต่ทันใดนั้นไป๋จวิ้นเฉิงก็ถูกเพื่อนสนิทที่อยู่ในงานเรียกตัวไปคุยด้วยหลายประโยค หลังกลับมา สีหน้าของไป๋จวิ้นเ เฉิงก็บูดบึ้งอยู่บ้าง
เขาไม่บอก ลู่เซิ่งก็ไม่ถาม ลุกขึ้นพาศิษย์กลับ
“อาจารย์ บ้านผมมีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย อาจารย์ให้น้องผมกลับไปกลับอาจารย์ก่อนได้หรือไม่…” ไป๋จวิ้นเฉิงพู ดกับลู่เซิ่งเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ลู่เซิ่งมองออกว่าเขามีปัญหา เพียงแต่ไม่ยอมบอก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ อาจารย์ไม่ต้องห่วง แค่ปัญหาเล็กๆ อีกเดี๋ยวก็จัดการได้” ไป๋จวิ้นเฉิงเอ่ยอย่างจริงจัง
“แน่ใจนะ” ลู่เซิ่งถาม
“แน่ใจครับ” ไป๋จวิ้นเฉิงยืนยัน
ลู่เซิ่งพยักหน้า ขณะกำลังจะลุกเดินไปที่ประตูนั่นเอง
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องดังมาจากมุมโค้งของชั้นสองเบาๆ เหมือนกำลังมีคนทะเลาะกัน อาจจะลงไม้ลงมือกันแล้ว
ลู่เซิ่งหันไปมองชั้นสอง
“เกิดอะไรขึ้น” เขามองสีหน้าของไป๋จวิ้นเฉิงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขารู้เรื่องอะไรสักอย่าง เพียงแต่ไม่ยอมบอก
“ไปดูเถอะ” ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรมากอีก หมุนตัวตรงดิ่งขึ้นชั้นสองทันที
ไป๋อันอี้กับเว่ยหานตงสองพี่น้องตามไปติดๆ ต่างคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือ หากใครก็ตามที่ฝึกฝนมาหลายเดือนได้เจ จอสถานการณ์แบบนี้ ต่างก็อยากลงมือเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองมีความสามารถและผลสำเร็จระดับไหนกันทั้งนั้น
“อาจารย์!” ไป๋จวิ้นเฉิงไม่ทันห้ามปราม รีบตามไป แต่สายไปแล้ว
ลู่เซิ่งพาคนเร่งฝีเท้าขึ้นถึงชั้นสองแล้ว
ไป๋อันหมินยืนประจัญหน้ากับประมุขตระกูลโจว โจวอิงอยู่ตรงปากบันไดชั้นสอง
โจวอิงแสดงสีหน้าลำพองขณะส่ายพัดในมือช้าๆ ติงหนิงและลูกๆ สองคนของตระกูลโจวยืนอยู่ด้านหลังเขา ถึงขั้นแขก กที่มาร่วมงานก็มีส่วนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเช่นกัน
หากตัดคนที่เป็นกลางออกไป มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างไป๋อันหมิน
นี่ทำให้ฝั่งไป๋อันหมิงดูอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด
ไป๋อันหมินมีสีหน้าเหยเกและอับอายเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าเจอปัญหาอะไร
“สหายไป๋ ในเมื่อคุณติงต้องการที่นั่นแล้ว การที่พวกเราจะซื้อต่อจากคุณตามราคาตลาดก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้วนี่ ตอนนี้คุณแสดงท่าทางไม่ยอมถอยทำไมกัน” โจวอิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม
แม้แต่ฝันไป๋อันหมินก็นึกไม่ถึงว่า ติงหนิงจะเป็นไพ่ตายที่ตระกูลโจวเรียกมาเล่นงานเขา
เขาจ่ายเงินพันล้านกว่าๆ ลงทุนในที่ดินผืนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เมืองกับพรรคพวกทางธุรกิจหลายคน
ในเวลาปัจจุบันที่อสังหาริมทรัพย์ซบเซา การลงทุนในที่ดินย่อมไม่นับว่าทำกำไรได้มาก ทว่าสิ่งที่ไป๋อันหมินให้ควา ามสำคัญไม่ใช่ที่ดิน แต่เป็นแร่ธาตุที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ที่ดินผืนนั้นต่างหาก
โลหะชำระล้างคือหนึ่งในโลหะผสมที่เป็นที่นิยมที่สุดในยุคสมัยเดินทางข้ามดวงดาว มักจะใช้ในการป้องกันรังสีจักรวาล ลและรังสีพลังงานสูง
ราคาแพงมาก แต่ปริมาณการผลิตกลับต่ำมาก
ตอนนี้ดูเหมือนทางตระกูลโจวน่าจะได้ข่าวแล้ว ไม่รู้ว่าเขาไปได้ข่าวมาจากช่องทางไหน จึงอาศัยสภาวะของติงหนิงมาก กดดันให้เขาโอนที่ดินให้
และดูจากท่าทางของติงหนิง ก็เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องวงในเช่นกัน
“สหายโจวกล่าวมีเหตุผล แต่ตระกูลไป๋ของฉัน ลงทุนเงินเกือบทั้งหมดไปกับที่ดินผืนนี้เหมือนกัน ตอนนี้ปรับปรุงที่ด ดินเรียบร้อยแล้ว แต่คุณจะบอกให้โอนในราคาเดิม มิเท่ากับทำให้การเตรียมตัวที่เหลือของฉันสูญเปล่าเหรอ นี่…ไ ไม่ถูกต้องมั้ง” ไป๋อันหมินฉีกยิ้มพลางกล่าวเสียงแผ่วต่ำ
“ก็ไม่ถูกต้องจริงๆ นั่นล่ะ…” ติงหนิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขึ้นด้านข้าง
“ไม่งั้นเอาอย่างนี้ พวกเราขอซื้อที่ดินผืนนั้นของคุณในราคา 130 เปอร์เซ็นต์ของราคาตลาด ขอไม่ปิดบัง ผมชอบตรงน นั้นจริงๆ อยากให้ตระกูลไป๋แบ่งให้”
“ผม…” ดวงตาของไป๋อันหมินฉายแววลำบากใจ
เพื่อที่ดินผืนนั้น เขาไม่ได้ทุ่มเงินเข้าไปแค่หนึ่งร้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์ของราคาตลาด…สายสัมพันธ์มากมายไม่อาจใ ใช้เงินประเมินได้
และในตอนนี้เอง คนของโถงเก้าชีวิตก็สาวเท้าขึ้นมาถึงปากบันไดด้านข้างแล้ว เป็นการเคลื่อนไหวที่เด็ดเดี่ยวเฉียบ บขาดชวนให้รู้สึกน่ายำเกรง
ลู่เซิ่งนำอยู่ด้านหน้า หลังขึ้นมาถึงก็มองไปยังไป๋อันหมินทันที
ไป๋อันหมินงุนงง เห็นไป๋จวิ้นเฉิงกระซิบอธิบายอะไรสักอย่างอยู่ข้างลู่เซิ่ง เขาพลันหนักใจ รู้ว่าเสียเรื่องแล ล้ว
หลังจากลู่เซิ่งเข้าใจต้นสายปลายเหตุ ก็อ้ำอึ้งงงงันเล็กน้อย เว่ยหานตงที่อยู่ด้านหลังเขา พลันก้าวขึ้นหน้าก้าวห หนึ่ง และกล่าวเสียงดังว่า
“อะไรกันๆ ที่ดินตรงนั้นโถงเก้าชีวิตของเราก็มีส่วนเหมือนกัน ทำไม พวกคุณอยากจะซื้อที่ดินเหรอ ใช้คนตั้งมากมาย ขนาดนี้ล้อมตระกูลไป๋ไว้ โถงเก้าชีวิตของเราทนดูต่อไปไม่ได้จริงๆ”
เว่ยหานตงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวองอาจ ชิงกำหนดสภาวะก่อน