ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1020 ที่ดิน (2)
“โถงเก้าชีวิตก็มีส่วนหรือ”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“หรือว่าจะเป็นแผนการเมื่อก่อนหน้านี้ของตระกูลไป๋”
แขกที่อยู่รอบๆ กระซิบกระซาบ สายตาที่มองไปยังพวกลู่เซิ่งมีความหวังขึ้นเล็กน้อย
มนุษย์นั้นชอบเรื่องสนุกสนาน ต่อให้พวกเขาจะเป็นนักธุรกิจร่ำรวยก็ตาม
ไป๋อันหมินตอบสนอง ทำหน้าขรึมไปทางลู่เซิ่ง ขณะกำลังจะเอ่ยปากให้พวกเขารีบไป ผู้ใช้พลังจิตไม่ใช่คนที่องค์กรเอก กชนอย่างโถงเก้าชีวิตจะเทียบเคียงได้
แต่ก็ถูกไป๋จวิ้นเฉิงตัดบทเสียก่อน
“โถงเก้าชีวิตก็เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนของที่ดินผืนนั้นเช่นกัน อาจารย์ของผมจึงมีสิทธิ์คุยเรื่องการแลกเปลี่ยนโอนย ย้ายที่ดิน”
สีหน้าที่เดิมทีผ่อนคลายของติงหนิงค่อยๆ แสดงความสนใจเล็กน้อย
เขาเลิกคิ้วมองลู่เซิ่ง พบว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไรสักคำ ผุดสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะมองไปยังพวกไป๋จวิ้นเฉิงกับเว่ ยหานตงที่อยู่ด้านข้าง
เขาเห็นความกระเหี้ยนกระหือรือจากใบหน้าหนุ่มสาวเหล่านี้
“น่าสนใจ” ติงหนิงหัวเราะ
“โถงเก้าชีวิต ดูเหมือนพวกคุณเหมือนจะเป็นสถาบันที่ฝึกการต่อสู้ใช่ไหม เป็นสายธรรมชาติหรือเป็นสายชุดเกราะล่ะ”
ไม่รอให้ลู่เซิ่งตอบ เขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกรอบ
“ในเมื่อพวกคุณมีหุ้นเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ผมเคยฝึกฝนวิชาต่อสู้มาก่อน เอาอย่างนี้ ศิษย์สองคนของผมล้วนได้รับ การถ่ายทอดวิชาต่อสู้จากผม ในเมื่อพวกคุณเป็นสถาบันการต่อสู้ อย่างนั้นพวกเรามาประลองกันสักรอบดีไหม”
แม้ติงหนิงจะพูดแบบนี้ แต่กลับมองไปยังตัวพี่น้องตระกูลไป๋ โจวอิงที่อยู่ด้านข้างก็มองไปยังไป๋อันหมิงด้วยสีห หน้าคุกคามเช่นกัน
แผนการของพวกเขาชัดเจนมาก นี่เป็นการลงมือกับสองพี่น้องตระกูลไป๋อย่างผ่าเผย ถ้าหากไป๋อันหมินไม่ตอบรับ พวกเขา ก็จะเล่นงานลูกของพวกเขาโดยตรง
“ฉัน…” ไป๋อันหมินอ้าปากจะพูดบางอย่าง
แกร๊ก
ไป๋อันอี้ก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง
รองเท้าเหยียบพื้นไม้จนแหลก กล้ามเนื้อทั่วร่างรวมพละกำลังทั้งหมดในตัวไว้บนแขนขวาอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับกระแส คลื่น
“วิชาแบกภาระ ดาวมรณะทะยานฟ้า!”
ตูม!
แขนขวาของไป๋อันอี้เหมือนขยายใหญ่ในพริบตา ก่อนจะต่อยออกไปเหมือนลูกระเบิด
พอต่อยหมัดออกไป อากาศชั้นสองก็เหมือนเกิดการบิดเบี้ยวในพื้นที่เล็กๆ ขึ้น พายุขนาดย่อมๆ มากมายกระชากให้แขก ที่อยู่รอบๆ ถอยหลังออกไปอย่างไม่อาจควบคุมได้
ทุกคนอ้าปากตาค้างขณะมองไป๋อันอี้ต่อยหมัดใส่ติงหนิงโดยตรง
ลู่เซิ่งยืนกอดอกอยู่ด้านหลังไป๋อันอี้ สายตาเย็นชา กล้ามเนื้อบนตัวพองขึ้นน้อยๆ ร่างกายใหญ่กว่าเดิมหนึ่งรอบ บวง
กลิ่นอายที่เบาบางแต่ทรงพลังกระจายออกมาจากตัวเขาอย่างเงียบๆ
คนแทบทุกคนนึกไม่ถึงว่า ไป๋อันอี้จะขวัญกล้าเทียมฟ้า ยังไม่ทันพูดอะไรสักคำก็ลงมือแล้ว
มิหนำซ้ำ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ก่อนหน้านี้ ไม่มีคนคาดไว้เลยว่า แค่อาศัยวิชาหมัดอย่างเดียว ด้วยกำปั้นข้าง งเดียวจะสร้างสภาวะโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ออกมาได้
ศิษย์สองคนด้านข้างติงหนิงตอบสนองทันเวลา ลงมือแทบจะพร้อมกัน
ทั้งสองยกมือขึ้นดุจสายฟ้าฟาด แขนเสื้อยิงแสงสีเงินออกมาดังฟ้าว
โซ่สีเงินสองเส้นถูกยิงออกไปใส่ไป๋อันอี้ที่ต่อยหมัดมาตรงๆ
“หาที่ตาย!”
โจวเสียงที่ตัวสูงตะโกนอย่างโมโห โซ่ในมือพลันส่องสว่าง จุดไฟสีแดงขึ้นมา
กำปั้นปะทะกับโซ่
เปรี้ยง!
เกิดเสียงระเบิดจากการปะทะกันที่ทึบหนักขึ้น จากนั้นโซ่สองเส้นก็ถูกกระแทกกระจายออกไป
บนกำปั้นของไป๋อันอี้เกิดรอยแผลหลายแห่ง เขากลับไม่สนใจ ยังคงใช้หมัดทะลวงโซ่ต่อยใส่ติงหนิงต่อ
ไป๋อันอี้เป็นคนเด็ดขาดมาแต่ไหนแต่ไร ขอแค่เป็นเรื่องที่คิดจะทำ ก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
เหมือนอย่างตอนนี้ อาจารย์อุตส่าห์ออกหน้าช่วยครอบครัวตนแล้ว ถ้าหากเขายังขี้ขลาดตาขาว กลัวนั่นกลัวนี่ เช่นนั้ นไม่เพียงจะทำให้ครอบครัวเสียหน้าเท่านั้น แม้แต่อาจารย์ก็จะพลอยเสียหน้าไปด้วย
ตั้งแต่เกิดมาถึงตอนนี้เขาไป๋อันอี้ เพียงนับถือคนสองคน
คนหนึ่งคือพี่ชาย อีกคนหนึ่งคืออาจารย์
ส่วนที่เหลือ
ไปตายกันให้หมดซะ!
ไป๋อันอี้ผุดสีหน้าเหี้ยมเกรียมอย่างไม่รู้ตัว
กำปั้นที่เดิมกระแทกโซ่สองเส้นจนกระเด็น อ่อนสภาวะลงเล็กน้อย แต่เวลานี้กลับมีพลังใหม่เพิ่มมา
อ๊าก!
ท่ามกลางเสียงร้องอุทานของพี่น้องตระกูลโจว ไป๋อันอี้ตะโกนพลางต่อยใส่ติงหนิง ระยะห่างใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“กล้าหาญจนน่าชื่นชม” ติงหนิงยิ้มมุมปาก ลวดโลหะที่เกือบโปร่งใสหลายเส้นกระจายออกมารอบๆ ตัวอย่างฉับพลัน
“น่าเสียดาย…ที่กำลังหาที่ตาย!” เขาทิ่มนิ้วชี้ออกไปทันที จากนั้นเส้นลวดกลุ่มหนึ่งก็ลอยเข้าหาทรวงอกของไป๋ อันอี้อย่างรวดเร็ว
ซู่
ทันใดนั้นร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านข้างไป๋อันอี้เหมือนเคลื่อนย้ายในพริบตา แล้วผลักฝ่ามือใส่เส้นลวดเส้นน นั้นเบาๆ
ฝ่ามือนั้นแผ่วเบาและไร้เสียง แต่ตอนที่ปะทะกับเส้นลวดนั่นเอง
ตูม!
ติงหนิงเหมือนโดนฟ้าผ่าใส่ และราวกับถูกรถบรรทุกหนักบนถนนไฮเวย์ชนใส่ด้วยความเร็วทั้งหมด
ตัวเขากระเด็นออกไป สองขาลากพื้นเป็นรอยยาวสีดำเกรียมสองสาย เส้นลวดบนตัวขาดก่อนจะตกกระจายลงบนพื้นรอบๆ ๆ ทันที
เปรี้ยง!
ติงหนิงกระแทกกับกำแพง ผนังที่ติดวอลล์เปเปอร์แตกร้าว ยุบตัวเข้าไป ปรากฏรอยแตกเหมือนกับใยแมงมุม
“แก…!?” ใบหน้าของติงหนิงกลายเป็นสีแดงเรื่อ ปากเหมือนกับจะมีอะไรบางอย่างทะลักออกมา แต่ถูกเขากลืนกลับไป พูด ดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วขณะ
พรุ่บ
ครั้งนี้บนกำปั้นของไป๋อันอี้มีลูกศรเลือดลอยออกมา
ลู่เซิ่งกวาดตามองติงหนิงอย่างราบเรียบ
“ถ้าอยากได้ที่ดิน ก็มาหาฉันที่โถงเก้าชีวิต”
“ไปเถอะเสี่ยวอี้”
เขาคร้านจะพูดมากอีก หมุนตัวเดินลงไปชั้นล่าง
ไป๋อันอี้พ่นลมหายใจหนักหน่วง รีบติดตามไปพร้อมเว่ยหานตงสองพี่น้อง
ไป๋จวิ้นเฉิงตามไปเป็นคนสุดท้าย ยิ้มให้แก่แขกที่ตกตะลึง จากนั้นก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง
“โอ้ว!”
เขาตะโกนก้อง แล้วผลักฝ่ามือใส่พื้น
เปรี้ยง!
พื้นแตกเป็นรอยแยกสายหนึ่ง แล้วยืดยาวไปอยู่ห่างจากติงหนิงเกือบหนึ่งเมตรกว่าๆ จึงค่อยหยุดลง
ท่ามกลางเสียงร้องอุทานและเสียงกรีดร้องของกลุ่มคน เขาหัวเราะพลางหมุนตัวไล่ตามอาจารย์ไป ลืมไปโดยสิ้นเชิงว่านี่ เป็นบ้านตัวเอง
พอพื้นแยกออก ทุกคนก็ตกใจเหมือนตื่นจากฝัน รีบวิ่งเบียดกันลงไปยังชั้นล่าง
ไป๋อันหมินได้สติกลับมา คิดจะเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ของติงหนิง แต่กลับเห็นโจวอิงและลูกสองคนประคองติดหนิงเ เดินลงชั้นล่างไปยังทางออกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
เขาถอนใจเฮือกหนึ่ง แม้จะเป็นห่วงว่าติงหนิงจะแก้แค้น แต่ เมื่อครู่นี้ระบายอารมณ์ได้ดีจริงๆ
เขาไม่ได้รู้สึกปลอดโปร่งแบบนี้มานานหลายปีแล้ว
ขณะมองติงหนิงถูกพ่อลูกตระกูลโจวพาหนีไป ความรู้สึกที่เขามีต่อโถงเก้าชีวิตและอาจารย์หวังก็เปลี่ยนแปลงไป
ความสำคัญของโถงเก้าชีวิตในใจเขายกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว
‘แข็งแกร่ง…! แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!’ นึกถึงชั่วระยะประกายไฟเมื่อครู่ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนหูตัวเองกำลังสั่นไ ไหวและดังกึกก้องอยู่
กำปั้นของลูกชายไป๋อันอี้ทรงพลังเหลือเกิน ส่วนการลงมือของอาจารย์หวังในภายหลังกลับมองเห็นไม่ชัดเพราะเร็วและ สั้นเกินไป
แต่แค่นี้ก็ทำให้ไป๋อันหมินรู้สึกสะใจได้แล้ว
เป็นเพราะว่า แม้ไป๋อันอี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็เป็นลูกชายของเขาอยู่ดี
เมื่อลงถึงชั้นร่าง เขาก็รีบจัดคนไปเก็บกวาดที่เกิดเหตุ จากนั้นก็โทรศัพท์ให้บริษัทตกแต่งมาจัดการกำแพงกับพื้น นใหม่
ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น การเก็บกวาดที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะที่เกิดเหตุของผู้ชนะ เรื่องนี้เขาเต็มใจที่สุด
…
ยามดึก
ณ ที่ตั้งของโถงเก้าชีวิต
ที่ตั้งแห่งนี้ปรับปรุงจากโกดังแห่งหนึ่งที่ลู่เซิ่งจ่ายเงินซื้อมา แบ่งเป็นสามส่วน
ตรงกลางในเวลานี้ ลู่เซิ่งที่เอามือไพล่หลัง ยืนหันหลังให้แก่ไป๋อันอี้ท่ามกลางอุปกรณ์ฝึกซ้อมหลากหลายชนิด
“เมื่อครู่ทำได้ไม่เลว แต่เธอควรจะประมาณพลังของตัวเอง ไม่โจมตีใส่ติงหนิงโดยตรง”
เสียงของลู่เซิ่งราบเรียบ เหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ส่งผลต่อเขาแม้แต่น้อย ซึ่งความจริงก็เป็นอย่างน นี้จริงๆ ในฐานะมารสวรรค์อนธการที่จุติมานับครั้งไม่ถ้วน เหตุการณ์เล็กๆ นี้ถึงกับทำให้เขาเหม่อลอยไม่ได้สักวิ นาที
ไป๋อันอี้กุมหมัดขวาที่พันผ้าพันแผลไว้ ก้มหน้าเอ่ยเสียงทุ้มว่า
“ผมผิดเองครับอาจารย์”
“รู้ว่าผิดก็ดี” ลู่เซิ่งหันไปมองไป๋จวิ้นเฉิงที่อยู่ด้านข้าง
“คำพูดที่ฉันพูดเมื่อก่อนหน้านี้ถือว่ามีผล”
ไป๋จวิ้นเฉิงพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ในเมื่ออาจารย์ลงมือ ที่ดินย่อมมีส่วนของอาจารย์ ผมได้โทรศัพท์ยืนยันกับพ่อผมแล้ว นี่เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว วครับ”
ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าพอใจ
“พูดตามจริง ฉันไม่พอใจกับผลงานของพวกเธอในวันนี้มากนัก แต่ว่า เสี่ยวอี้ถึงขั้นที่ควรจะเรียนขอบเขตที่สองอย ย่างเป็นระบบได้แล้ว”
“ขอบเขตที่สองเหรอครับ” ไป๋อันอี้มองลู่เซิ่งอย่างงุนงง “อาจารย์ ต่อจากพลังปลอดโปร่งยังมีต่ออีกเหรอครับ แต่ ผมรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากแล้วนะ ผมเคยอ่านมาจากในหนังสือ มันบอกว่าระดับของผมโดยพื้นฐานคือถึงขีดจำกัด ดของมนุษย์แล้ว”
“สิ่งที่อยู่ในหนังสือเป็นสิ่งที่ผิด” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างแน่วแน่ “คนที่เขียนหนังสือเป็นพวกสวะ หนังสือที่เขียน นออกมาแบบนี้มีแต่ทำให้คนที่อ่านเป็นสวะกว่าเดิม”
“เอ่อ…” พี่น้องตระกูลไป๋กับเว่ยตงหานที่อยู่ด้านข้างต่างพูดไม่ออก
“ระดับของจวิ้นเฉิงยังต่ำไปหน่อย เธอฝึกฝนขอบเขตพลังปลอดโปร่งสำเร็จมานานแล้ว แต่ระดับความสำเร็จของกระบวนท่าพื นฐานยังไม่สูงพอ กระบวนท่าของวิชาต่อสู้แบกภาระเป็นสิ่งที่ฉันตั้งใจบัญญัติขึ้น มันเพิ่มพละกำลังให้แก่พวกเธอ อได้อย่างใหญ่หลวงและสมบูรณ์แบบ”
ลู่เซิ่งเว้นเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ
“กล่าวได้ว่า หากเธอที่ใช้กระบวนท่าเป็น สู้กับเธอที่ใช้กระบวนท่าไม่เป็น เมื่อใช้กระบวนท่า เธอจะสู้กับตัวเองได ด้หนึ่งต่อสาม”
“จวิ้นเฉิงเข้าใจแล้ว!” ไป๋จวิ้นเฉิงที่ตื่นตะลึงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หากบอกว่าท่าทีของพวกเขาต่อโถงเก้าชีวิตเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ค่อยจริงจังมาก อย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเ เขาก็ได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งแล้วว่า โถงเก้าชีวิตไม่ใช่สถาบันที่ตนเข้าร่วมด้วยความสนใจเท่านั้น
มันยังเป็นร่มที่คอยบังลมบังฝนให้พวกเขาอีกด้วย
นี่ทำให้คนทั้งสี่เกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแรงกล้าต่อโถงเก้าชีวิต
และทำให้พวกเขาประจักษ์อย่างล้ำลึกว่า ตัวเองเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เป็นกลุ่มก้อนที่แข็งแกร่ง
“ต่อจากพลังปลอดโปร่งยังมีอีกขอบเขตหนึ่ง ชื่อจิตปลอดโปร่ง”
“ร่างกายมีเส้นใยกล้ามเนื้อมากกว่าหกพันล้านเส้น ในเส้นใยกล้ามเนื้อพวกนี้ นอกจากกลุ่มกล้ามเนื้อหลักๆ แล้ว ยังม มีกลุ่มกล้ามเนื้อเล็กๆ อีกหลายแห่ง ขอบเขตพลังปลอดโปร่ง คือการผสานพละกำลังของกลุ่มกล้ามเนื้อหลักเข้าด้วยกันให้ เป็นแรงสายเดียว และจิตปลอดโปร่ง ก็คือการเลือกกลุ่มกล้ามเนื้อเล็กๆ ส่วนหนึ่งมาผสานเข้าไปในพละกำลังของกลุ่ม มกล้ามเนื้อใหญ่ นี่ก็คือจิตปลอดโปร่ง”
ลู่เซิ่งอธิบายอย่างชัดเจน
“ขณะเดียวกันเป็นเพราะว่าเส้นใยกล้ามเนื้อเล็กๆ มากมายมีทิศทางต่างกัน ความสามารถต่างกัน และตำแหน่งต่างกัน ดังนั้น เราจึงต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกันมากระตุ้นความคิดและสภาพจิตของตัวเองให้ผสานเข้ากับการเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อด ดำเนินการควบคุมระดับอณู ไม่มีคนควบคุมกลุ่มกล้ามเนื้อเล็กๆ ทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบหรอก แต่พวกเธอสามารถเลือก ควบคุมทิศทางไหนก็ได้ อย่างเช่น กล้ามเนื้อกระโดดในขาหลังของกระต่ายแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กลุ่มกล้ามเนื้อคอของเ เป็ดและห่านทรงพลังอย่างยิ่ง พวกเธอจึงจำเป็นต้องเลือก”