ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1023 หมดอาลัยตายอยาก (1)
ตุบ ตุบ ตุบ…
หนุ่มสาวร่างบึกบึนที่สวมชุดเกราะอัลลอยด์สี่คนเดินออกมาจากสี่มุม
สิ่งที่ทั้งสี่สวมใส่เป็นชุดเกราะอัลลอยด์ระดับสูงสุดที่กำลังหมุนเวียนอยู่ในตลาด สามารถเพิ่มพละกำลังได้สามเท่ ากว่าๆ พวกมันสะท้อนแสงสีเงินระยิบระยับเหมือนกับหุ่นยนต์ขนาดเล็ก
ต่อให้เป็นคนธรรมดา หากสวมใส่หลังฝึกฝน ก็จะต่อยทะลุกำแพงไม้ที่บางๆ ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
“อาจารย์ เพื่อแสดงความนับถือต่ออาจารย์ พวกเราจะใช้อัตราพลังสูงสุดและสภาพเกินขีดจำกัด”
ชายคนหนึ่งที่สวมเกราะบนใบหน้ากล่าวเสียงทุ้ม
“ลุย!”
สามคนที่เหลือพุ่งใส่ลู่เซิ่งพร้อมกัน
ในชุดเกราะส่งเสียงเฟืองจักรกลไฮดรอลิกที่ทึบหนักและแข็งแกร่ง
ร่างสี่ร่างพุ่งใส่ลู่เซิ่งปานสายฟ้าฟาด พละกำลังอันยิ่งใหญ่ที่ชุดเกราะระเบิดออกมา ทำให้เกิดเสียงดังอื้ออึงขึ้ นในโกดังพร้อมกับพัดกระแสลมขึ้นหลายระลอก
ชุดเกราะอัลลอยด์ที่หนักถึงสามสิบกว่ากิโลกรัม ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะแบกรับไหว แต่คนที่ปกติที่แบกรับเกราะหนักแ แบบนี้ได้ พละกำลังของตัวเองไม่มีทางย่ำแย่
“อ๊ากก!” คนหนึ่งในนี้ส่งเสียงตะโกนขึ้น
ลู่เซิ่งกางแขนสองข้างออก แล้วผลักไปด้านหน้า คว้ากำปั้นคนคนหนึ่งไว้ ขณะเดียวกันก็ถองศอกใส่อีกคน
“ดูให้ดีล่ะ นี่คือลักษณ์หมาป่า!” เขาตะโกนเสียงต่ำ สองกรงเล็บกระชากคนทั้งสองให้บิดหมุน
เปรี้ยงๆ!
พละกำลังอันยิ่งใหญ่ทั้งสองสายถูกลากออกนอกทิศทางพร้อมกัน แล้วปะทะเข้ากับสองคนที่พุ่งเข้ามาทีหลัง
เกิดเสียงดังเลื่อนลั่น ทั้งสี่กลิ้งออกไปไกลเหมือนกับน้ำเต้า
ลู่เซิ่งยืดตัวขึ้น
“เปลี่ยนคน”
ไม่นานก็มีคนเข้ามาหามคนทั้งสี่ ที่ส่งเสียงโหยหวนบนพื้นออกไป แม้อาการบาดเจ็บบนตัวพวกเขาจะไม่เบา แต่มีอาจารย ย์หวังอยู่ด้วย จึงรักษาให้หายดีได้ โดยไม่ทิ้งโรคซ่อนเร้นเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
และเป็นเพราะสาเหตุนี้ ทุกคนจึงลงมือกันโดยไม่แบ่งหนักเบา ต่อให้จะฝึกเป็นคู่ในโถงเก้าชีวิต ก็จะพากันลงมืออ อย่างรุนแรง
นี่เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งต้องการ
เขาบอกไว้ว่า เราไม่ได้เรียนวิชาต่อสู้เพื่อฝึกฝนร่างกาย แต่แก่นแท้ของวิชาต่อสู้คือการสังหาร
การลงมือเบาๆ ไร้ความหมายในการต่อสู้
ท่ามกลางเสียงเกราะโลหะที่หนักอึ้ง ร่างสีเงินอีกสี่ร่างเดินออกมาล้อมลู่เซิ่งไว้อีกครั้ง
“ฆ่า!” ลู่เซิ่งตวาดอย่างฉับพลัน
สายตาของทั้งสี่นิ่งขึ้น ความหวาดกลัวในใจสลายไปอย่างรวดเร็ว ความโกรธถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ฆ่า!” ทั้งสี่ตะโกนขึ้นพร้อมกันก่อนโถมตัวใส่ลู่เซิ่ง
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้ทั้งสี่ชนใส่ร่างตนเอง
เปรี้ยงๆๆ!
ทั้งสี่ชนใส่ร่างเขาพร้อมกันจากสี่ทิศทาง กลับรู้สึกเหมือนชนใส่ต้นโม้โลหะยักษ์ต้นหนึ่ง
แรงสะท้อนอันมหาศาลบีบเกราะสีเงินบนร่างพวกเขาจนงอและเปลี่ยนรูปไป
แม้ทั้งสี่จะถูกลู่เซิ่งใช้การสะกดจิตเล็กๆ กระตุ้น แต่ในเวลานี้ก็อดร้องอย่างเจ็บปวดออกมาไม่ได้
“อ่อนแอเกินไปแล้ว” ลู่เซิ่งจับศีรษะของคนคนหนึ่งด้วยมือข้างเดียว แล้วยกเขาลอยขึ้นกลางอากาศ
“นี่คือสาเหตุที่พวกเธอแอบฉันไปซื้อชุดเกราะอัลลอยด์มากมายขนาดนี้เหรอ”
เปรี้ยง!
เขาจับอีกคนฟาดลงบนพื้นด้านข้าง
ตึง!
พื้นโลหะถูกฟาดจนจมเป็นหลุมลึก
“พวกเธออยากเป็นหนูที่อ่อนแอ หรือเป็นสิงโตบนทุ่งหญ้า!”
ร่างลู่เซิ่งสั่น พละกำลังยิ่งใหญ่พลันกระแทกอีกสามคนออกไป
ทั้งสามก้าวตุบๆๆ ถอยหลัง ก่อนก้มมองเกราะบนร่างตัวเอง บนนั้นคือร่องรอยความเสียหายที่บิดงอ
ทุกคนอดตื่นตระหนกไม่ได้
นี่คือชุดเกราะอัลลอยด์ที่สร้างขึ้นจากโลหะผสมเชียวนะ! แต่กลับมีคนใช้กายเนื้อทำลายได้มากมายขนาดนี้เลยหรือ
ไป๋จวิ้นเฉิงหัวเราะเหอะๆ พลางเดินเข้าโกดัง
“บอกพวกเธอไปตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเอาแต่พึ่งชุดเกราะอัลลอยด์อย่างเดียวไม่ได้ ของสิ่งนี้ใช้มากเข้าๆ จะรู้สึกอยา ากพึ่งพาโดยไม่รู้ตัว ปล่อยไว้นานๆ แม้แต่ตัวเองถอยหลังก็ยังสัมผัสไม่ได้”
หญิงสาวเจ้าของผมหางม้าสีแดงพลันถอดชุดเกราะบนตัวทิ้ง เผยให้เห็นใบหน้าขาวผ่องที่องอาจและหมดจด
ไม่มีใครนึกออกว่า เมื่อสามเดือนก่อนเธอยังเป็นสาวอ้วนที่หนักแปดสิบกิโลกรัมกว่าๆ
และตอนนี้ น้ำหนักของเธอรักษาระดับอยู่ที่หกสิบกิโลกรัมกว่าๆ แถมไขมันใต้ผิวหนังยังมีน้อยสุดขีด
กล้ามเนื้อบนร่างสมส่วนทรงพลัง ดูเหมือนกับเสือดาวที่งดงามแต่ดุร้าย
“หงซื่อ เธอยอมแล้วเหรอ” ไป๋จวิ้นเฉิงมองหญิงสาวผมหางม้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ความเยี่ยมยุทธ์ของอาจารย์ทำให้หงซื่อยากจินตนาการ ฉันยอมแล้วค่ะ” ดวงตาของเธอฉายแววหลงไหลที่ยากบรรยาย
ไม่มีความรู้สึกท้อแท้ กลับเกิดอารมณ์หลงไหลต่อความแข็งแกร่งที่ไม่อาจเอาชนะของลู่เซิ่งอย่างงมงายกว่าเดิม
เธอแตกต่างไม่เหมือนคนอื่นตรงที่อ้วนเพราะลดน้ำหนักไม่ได้ แต่เพราะเธอต้องการฝึกฝนวิชาต่อสู้ที่ต้องการน้ำหนัก มาก
เธอเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวที่เพิ่มน้ำหนัก ที่มาเป็นศิษย์ลู่เซิ่ง เพราะเธอได้ยินชื่อเสียงของโถงเก้าชีวิตหลั งเกิดเรื่องที่ตระกูลไป๋ จึงมาท้าสู้ลู่เซิ่ง แต่แพ้ไป๋จวิ้นเฉิงอย่างหมดท่า
นับตั้งแต่นั้นมา เธอก็ยอมเป็นลูกศิษย์ลู่เซิ่งทั้งกายและใจ
เธอก็มีขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับตระกูลไป๋เช่นกัน แม้ตัวเธอจะไม่เคยเล่าให้ฟัง แต่ดูจากค่าใช้จ่ายในชีวิตปร ระจำวัน รถสปอร์ต ที่อยู่อาศัย และสถานที่เข้าออก ล้วนเป็นระดับสูงสุดทั้งสิ้น
ในเวลาปกติยังเห็นคนขับรถส่วนตัวและคนรับใช้ที่คอยฟังคำสั่งอยู่ใกล้ๆ ได้บ่อยๆ ด้วย
หลายสิ่งหลายอย่างนี้บ่งบอกว่า เบื้องหลังของเธอเป็นไปได้ถึงที่สุดว่าจะอยู่ในระดับที่แกร่งกว่าตระกูลไป๋
“ในสายตาพวกเธอ บางทีโลหะอาจเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก” ลู่เซิ่งยืดเหยียดร่างท่อนบน
บนกล้ามเนื้อสีสำริดที่เขาเปลือยเปล่าอยู่ไม่มีรอยแผลแม้แต่น้อย
ถึงขั้นไม่มีเหงื่อสักเม็ด
เขาหยิบชิ้นส่วนชุดเกราะอัลลอยด์ชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วใช้มือบีบเบาๆ
แกร๊ก!
ชิ้นส่วนชิ้นนั้นบิดงอ พร้อมส่งเสียงของโลหะที่แหลมคมเสียดสีกันในขณะที่ถูกบีบเป็นก้อนโลหะในพริบตา
“แต่ในสายตาของฉัน โลหะ คือของเล่นที่เปราะบาง”
ลู่เซิ่งคลึงโลหะในมือ จนมันกลายเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
คนของโถงเก้าชีวิตที่อยู่รอบๆ กลืนน้ำลายพลางอ้าปากตาค้าง
พอคนบางส่วนเห็นภาพนี้ ดวงตาก็เป็นประกายด้วยความชื่นชม นับถืออย่างบ้าคลั่ง
หงซื่อ ไป๋จวิ้นเฉิง และอีกสองคนที่เหลือเริ่มเกิดความยำเกรงและความเคารพที่อธิบายไม่ได้ต่อโถงเก้าชีวิต
“พละกำลังแบบนี้ พวกเธอ ก็มีได้เหมือนกัน” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้มแล้วทิ้งก้อนโลหะในมือ “แต่ตอนนี้ พวกเธอกำลัง งจะยอมแพ้ แล้วไล่ตามของเล่นที่น่าเบื่อหรือ”
เขาหันไปมองชุดเกราะอัลลอยด์ที่กองสุมเป็นภูเขาเลากาอยู่ในบริเวณรอบๆ
นักธุรกิจคนหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มนักเรียน ซื้อมันมาเพื่อจะทำเป็นสินค้าทุ่มตลาด แต่ถูกเหล่านักเรียนของโถงเก้าช ชีวิตซื้อมาก่อน โดยวางแผนจะใช้การซื้อราคาต่ำเป็นสวัสดิการให้นักเรียน
กลับนึกไม่ถึงว่าหลังจากพวกนักเรียนได้ไป จะเริ่มเกิดความรู้สึกพึ่งพาขึ้นมา
พอไป๋จวินเฉิงพบปัญหานี้ ก็โทรศัพท์หาลู่เซิ่งทันที
ต่อมาทั้งสองวางแผนการ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์อย่างในตอนนี้
ลู่เซิ่งอนุญาตให้พวกเขาใช้ชุดเกราะอัลลอยด์ได้เต็มที่ ขอแค่เล่นงานเขาได้ แม้จะแค่ผิวถลอก เขาจะยอมให้พวกเขาใ ใช้ชุดเกราะได้ตามใจโดยไม่ว่าอะไรอีก
น่าเสียดาย…จินตนาการนั้นสมบูรณ์แบบ บทสรุปกลับโหดร้าย
“ฉันไม่ได้ ไม่เห็นด้วยโดยสิ้นเชิงกับการที่พวกเธอใช้สิ่งของนี้หรอกนะ” ลู่เซิ่งสวมเสื้อคลุม เสื้อเชิ้ตถูกฉีกจ จนขาดแล้ว สิ่งที่เขาสวมคือชุดสูทสีดำแบบง่ายๆ
เป็นเพียงแค่สูทตัวกว้าง จึงถูกท่อนบนที่กำยำเกินไปของเขาดันจนคับปริ ดูเหมือนพร้อมจะขาดได้ทุกเวลา
“เพียงแต่อย่าได้ละทิ้งการฝึกฝนของตัวเองเพราะสิ่งของ” เขาเปลี่ยนหัวข้อ
“แน่นอนพวกเธออาจบอกว่า ต่อให้พวกเราจะฝึกจนแข็งแกร่งขนาดไหน แต่จะแข็งแกร่งเท่าอาวุธสมัยใหม่หรือแข็งแกร่งเท่ าปืนอนุภาคได้เหรอ แต่ว่า! จงอย่าได้ลืมความคิดแรกและแนวคิดแรกสุดตอนที่พวกเธอเข้าร่วมกับโถงเก้าชีวิต!” ลู่ เซิ่งตะโกนเสียงต่ำ
“อาจารย์…พวกเราผิดไปแล้วครับ…” ชายสวมชุดเกราะที่กึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอีกคนเปิดเกราะหน้าออก ใบหน้าข้า างใต้เกราะฉายแววอับอาย
“อาจารย์วางใจเถอะครับ! พวกเราจะรีบจัดการชุดเกราะพวกนี้ให้เร็วที่สุด! ไม่มีทางให้…”
“เปลี่ยนเป็นชิ้นส่วนประเภทสนับสนุนซะ” ลู่เซิ่งตัดบทเขา “ฉันไม่ปฏิเสธของประเภทสนับสนุน อย่างไรวิชาต่อสู้ก็ใช่ว่า าจะทำได้ทุกอย่าง พวกเราจำเป็นต้องก้าวให้ทันยุคสมัยเหมือนกัน อินเทอร์เน็ต การตรวจสอบ การถ่ายรูป การทดสอบ สิ่งเหล ล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราอาจจะขาดไป”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว!” ชายหนุ่มก้มหน้ากล่าวเสียงแผ่ว เขาชื่ออันซา เป็นลูกชายของนักธุรกิจใหญ่ที่มีชื่อเสียงใน เมืองข้างเคียง ชุดเกราะอัลลอยด์พวกนี้เป็นผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีที่พ่อของเขาทำเป็นธุรกิจหลักในบริษัท
เพราะสาเหตุนี้ เขาเลยหาสินค้ามากมายได้เร็วขนาดนี้ ทั้งยังเอาชุดเกราะอัลลอยด์สิบกว่าชุดที่ทันสมัยที่สุดจ จากตลาดมามอบให้คนของโถงเก้าชีวิตใช้ได้
ความสามารถของพวกเขาไม่แน่ว่าจะดีที่สุด แต่ภายใต้การอบรมบ่มเพาะจากครอบครัว สายตาของพวกเขาไม่มีทางแย่แน่นอน!
ปัจจุบันที่คนเกือบทุกคนต้องการเป็นผู้ใช้พลังจิต สิ่งที่โถงเก้าชีวิตของลู่เซิ่งนำมาคือการปฏิวัติวิชาต่อสู้
แม้ว่าอิทธิพลที่โถงเก้าชีวิตสร้างได้ในตอนนี้จะอ่อนแอมาก แต่การที่ไม่สวมชุดเกราะอัลลอยด์แต่ก็ยังสร้างพลัง งทำลายล้างที่แข็งแกร่งเหนือกว่าชุดเกราะอัลลอยด์ได้
หากเป็นก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่มีวันเชื่อเรื่องนี้เด็ดขาด
ทว่าตอนนี้ หลังจากประสบด้วยตัวเอง พวกเขาจึงค่อยทราบว่า ที่แท้โลกก็มีวิชาต่อสู้ที่น่ากลัวอยู่จริงๆ
“ผมเคยได้ยินว่าดาวเวนเกอนาโดมีวิชาเสริมสร้างร่างกายวิชาหนึ่งที่ทำให้กายเนื้อของสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งขึ้น ได้” อันซาเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “หรือการถ่ายทอดของอาจารย์จะเป็น…”
“ฉันไม่เคยไปดาวเวนเกอนาโด” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “นอกจากนี้ ไม่มีใครถ่ายทอดวิชาให้ฉันด้วย”
อันซา ไป๋จวิ้นเฉิง หงซื่อ และคนที่เหลือ ได้ยินดังนั้นก็ผุดสีหน้าตกตะลึง คล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง
วิชาต่อสู้ที่แพร่หลายในตอนนี้ หลักๆ แล้วมีอยู่แค่ไม่กี่ชนิด
ชนิดแรกเป็นวิชาต่อสู้แบบมอธดั้งเดิม เป็นการรวมตัวของอารยธรรมการสืบทอดจากประเทศมอธ ใช้ขาโจมตีเป็นหลัก การเคล ลื่อนไหวเน้นที่ลูกถีบ พัฒนาขึ้นโดยเลียนแบบวิชาสังหารติดอาวุธที่สวมหนามแหลมไว้ที่ปลายเท้า
ชนิดที่สองเป็นหมัดเกราะแดงที่แพร่หลายเข้ามาจากประเทศอื่นๆ ขึ้นชื่อในเรื่องใช้หมัดเปล่าสองข้างสู้กับศัตรู การเคลื่อนไหวรัดกุม ท่วงท่างดงาม มีคนฝึกมากที่สุด
ชนิดที่สามคือวิชากรูโรว เน้นที่การปล้ำและกอดรัดระยะประชิด สังหารด้วยท่าล็อค
วิชากรูโรวเหล่านี้หากคำนวณจริงๆ แล้ว คนที่ฝึกมีน้อยมากๆ
อย่างไรก็เป็นยุควิทยาการ ต่อให้คุณจะฝึกจนแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดินปืนกับแสงเลเซอร์อยู่ดี
ดังนั้นผู้ที่ฝึกจริงๆ จึงมีแต่ผู้มีงานอดิเรกหรือผู้คลั่งไคล้ในวิชาต่อสู้บางส่วนเท่านั้น
เหมือนกับที่โถงเก้าชีวิตน่าจะดูดซับพวกชอบการต่อสู้และต้องการเริ่มฝึกอย่างจริงจังในเมืองอันหมิงไปแล้วอย่าง น้อยครึ่งหนึ่ง
คนที่เหลืออยู่ถ้าไม่ใช่ไม่ได้ข่าว ก็เพราะฝึกฝนคนเดียว