ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1025 ขยับขยาย (1)
อ๊ากกก!
เสียงร้องโหยหวนอันเจ็บปวดดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามราตรีเหนือชานเมือง
เจิ้งฮวนเอามือปิดตาพร้อมคุกเข่าลงตรงหน้าลู่เซิ่ง เขาก้มหน้าลง เลือดซึมหยดออกมาจากร่องนิ้ว กระเด็นใส่พื้น ทำให้ฝุ่นเล็กๆ กระจัดกระจาย
ดินถูกย้อมเป็นสีแดง กลิ่นเหล็กจางๆ แผ่ตลบอบอวลไปในอากาศ
ลู่เซิ่งไม่มองเขาอีก หมุนตัวเดินไปหาติงหนิงที่อยู่ใกล้ๆ
ผู้ใช้พลังจิตก็ทำได้แค่นี้เท่านั้น หากทะลวงสิ่งกีดขวางทางพลังจิตได้ พวกเขาก็เป็นผู้อ่อนแอที่ไม่ต่างจากคนธรร รมดาเท่าไหร่
ผู้อ่อนแอ เป็นความเศร้า
การใช้ความแข็งแกร่งกดข่มความอ่อนแอเป็นหลักการธรรมชาติเสมอมา และตอนนี้ เขาก็คือผู้แข็งแกร่ง
ติงหนิงตัวสั่นขณะมองลู่เซิ่งเดินเข้าหา ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเมื่อครู่เจิ้งฮวนไม่ได้อ่อนข้อให้
ความเจ็บปวดจากการถูกควักดวงตา ต่อให้เขาจะมองดูอยู่ด้านข้าง ก็รู้สึกหนังศีรษะชาอยู่ดี
“แก…แกจะทำอะไร” เขาก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
เขาคือผู้ใช้พลังจิตไม่ผิดแน่ แต่เขาก็เป็นแค่หน้าใหม่ที่เพิ่งเลื่อนระดับขึ้นมาได้ไม่นาน ซ้ำยังไม่เคยไปสนาม มรบมาก่อน
ในยุคสันติภาพ จักรวรรดิเกรียงไกร คนในสังคมสมัยใหม่ไม่เคยเห็นวิธีการที่โหดเหี้ยมแบบนี้มาก่อน
“แก…แกๆ!” ติงหนิงโซเซจนเกือบจะสะดุดหินล้ม
“ฉันจะบอกแกเองว่า เมื่อข้ามเส้นมา ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน”
ลู่เซิ่งพลันก้าวไปด้านหน้า โถมร่างเข้าไปฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าของติงหนิงดุจสายฟ้าฟาด
เปรี้ยง!
…
กริ๊งๆ…กริ๊งๆ…กริ๊งๆ…
“สวัสดีค่ะ ที่นี่คือศูนย์พลังจิตระดับประเทศ คุณต้องการความช่วยเหลืออะไรไหมคะ” เสียงผู้หญิงที่อ่อนหวานดังขึ้ น
“ผมต้องการจะตรวจสอบ ร่องรอยของผู้ใช้พลังจิตรหัส DFS4436 ครับ”
ชายหนุ่มผมสั้นเกรียนที่สวมเสื้อคลุมศีรษะสีเทาคนหนึ่งหยิบบุหรี่ออกจากปาก แล้วกล่าวเบาๆ อยู่ในตู้โทรศัพท์ริม มถนน
รอบๆ มีคนเดินกันขวักไขว่ เด็กผู้หญิงมัดผมทรงหางเปียคู่คนหนึ่งถูกแม่จูงมือ มองผู้ชายผ่านกระจกตู้โทรศัพท์อย่ างสงสัย
แม่ของเธอโน้มตัวลงจูงเด็กหญิงเดินจากไปอย่างช้าๆ พร้อมกำชับอะไรบางอย่าง
“สวัสดีค่ะ ร่องรอยของผู้ใช้พลังจิตที่คุณตรวจสอบไม่มีการเปิดเผย หากต้องการ คุณสามารถส่งใบยื่นเรื่องแบบจ่ายเ เงินได้ค่ะ ถ้าอีกฝ่ายยินดี…”
แกร๊ก
ผู้ชายวางโทรศัพท์ลงแล้วผลักประตูตู้โทรศัพท์เดินออกไป
ด้านนอกพระอาทิตย์ลอยสูง แสงอาทิตย์เจิดจ้า
เขาดึงเสื้อขึ้นคลุมศีรษะ ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปโบกรถแท็กซี่ที่ผ่านทางมาคันหนึ่ง
เขาเปิดประตูรถเข้าไปนั่งลง พร้อมส่งกระดาษไปให้คนขับ
“รบกวนไปที่นี่นะครับ ขอบคุณ”
“ไม่มีปัญหาครับ” คนขับอ่านข้อความแล้วส่งเข้าโปรแกรมนำทางอัตโนมัติ
ชายหนุ่มค่อยนั่งลงอย่างสบายใจ ก่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาดูบันทึกข้อความ
‘เจิ้งฮวนยังไม่ตอบข้อความเหรอ’
‘ไม่รู้สิ ฉันไปตรวจสอบที่ศูนย์มาแล้ว เขาไม่ได้เปิดเผยร่องรอยกับฉัน’
‘แม้แต่นายก็โดนปิดการแบ่งปันร่องรอยเหมือนกันเหรอ…เขาไปไหนกันแน่ คงไม่ใช่จะคิดสั้นหรอกใช่ไหม พวกเราฝ่าฟัน ด้วยกันมาหลายปี เขาจะยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ’
‘ไม่รู้สิ ฉันว่า เขาไม่ใช่คนอย่างนี้’
‘แต่ลองคิดดูสิ ครอบครัวเขาเกิดเรื่องแบบนี้ เลี้ยงดูเมียกับลูกมาหลายปี แต่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง ความสะเทือนใจนี้ มันช่าง…’
‘ตอนนั้นฉันเตือนเขาแล้ว ลูกสาวคนโตของตระกูลโฮรัส อยู่ๆ จะมาชอบเขาได้ยังไง แต่เขาไม่ฟัง บอกว่าฉันไม่เชื่อใ ในความรัก’ ชายหนุ่มครุ่นคิดก่อนจะย้อนกลับไปลบประโยค ‘เชื่อในความรักทิ้ง’
‘พ่อแม่ของเขาล่ะ’
‘ตายไปนานแล้ว’
‘…’
‘แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไง..?’
‘ถ้าตามหาเขาไม่เจอ ก็ต้องสลายกลุ่ม’
อีกฝ่ายตอบถึงแค่นี้ก็ไม่พิมพ์อะไรมาอีก
ชายหนุ่มหลับตาถอนใจแล้วเก็บโทรศัพท์
‘เจิ้งฮวน…นายยอมแพ้แล้วจริงๆ เหรอ’ เขาเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ หวนนึกถึงภาพที่เคยเรียนด้วยกัน สอบด้วยกัน และเ เลื่อนระดับด้วยกัน
จากนั้นนึกถึงสภาพเวทนาที่เจิ้งฮวนประสบในวันนี้อีกครั้ง
พ่อแม่เสียชีวิต เสาค้ำจิตใจที่เหลือมีเพียงภรรยาและลูก แต่ตอนนี้ ภรรยาก็เพียงใช้เขาเป็นตัวหมาก ส่วนลูกสาวก็ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา ถึงขั้นไม่ยอมรับเขา
เพื่อนที่ดีที่สุดก็ต้องตายเพราะต้องการผดุงความยุติธรรม เพื่อทวงความเป็นธรรม เขาจึงไปถกหลักเหตุผล กลับถูกทำ ำลายอาชีพ โดนเล่นงานบาดเจ็บสาหัส และถูกไล่ออกจากสหพันธ์ชายแดน
ผู้ใช้พลังจิตระดับสูงที่ยิ่งใหญ่ถึงกับไม่มียานรบที่ควบคุมได้ ทั้งยังตกต่ำถึงขั้นไปเป็นนักล่าค่าหัว
ตอนนี้แม้แต่การทดสอบพลังจิตที่จะร่วมมือกันกับพวกเขาก็ละทิ้งแล้ว
“ตระกูลโฮรัส…เหี้ยมจริงๆ”
ชายหนุ่มพึมพำ ไม่คิดอะไรมากอีก ก่อนจะพิงหลังบนเก้าอี้พร้อมหลับตาทำสมาธิ
…
ณ โถงเก้าชีวิต
ในโถงใหญ่ที่ได้รับการปรับปรุงมาจากโกดัง
ลู่เซิ่งหยิบก้อนโลหะหนักห้าสิบกรัมก้อนหนึ่งบนพื้นขึ้นมาโยนให้เจิ้งฮวนที่ตามอยู่ด้านหลัง
ก้อนโลหะส่งเสียงหวีดหวิวหนักอึ้ง ในตอนที่อยู่ห่างจากเจิ้งฮวนหนึ่งเมตร ความเร็วก็ลดลงโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็ล ลอยวนเวียนรอบเขา
เจิ้งฮวนในเวลานี้ปิดผ้าปิดตาสีดำไว้บนตาข้างหนึ่ง สีหน้าซีดขาวกว่าเก่า แต่ดูมีสติสตังกว่าตอนที่ลู่เซิ่งเ เห็นเขาเป็นครั้งแรก
ความแค้นและความซาบซึ้งที่มีต่อลู่เซิ่งเต้นระริกอยู่ในดวงตาข้างที่เหลืออยู่
“รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้สลัดหลุดจากสภาพพิการแบบนั้น”
ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ
“ความจริงนายควรจะขอบคุณฉัน ไม่ว่าจะเป็นยานรบจักรวาลที่แข็งแกร่งขนาดไหน เมื่อไม่มีแรงขับเคลื่อน ก็เป็นเพียง เศษเหล็กกองหนึ่งเท่านั้น”
“ยานรบจักรวาลไม่ใช่เป็นเหล็กทั้งหมดเสียหน่อย” เจิ้งฮวนกล่าวอย่างเย็นชา
“เปลี่ยนเป็นขยะก็สิ้นเรื่อง” ลู่เซิ่งไม่เห็นด้วย
“คุณอยากให้ฉันทำอะไร” เจิ้งฮวนถามตรงๆ “ขอบอกก่อนนะว่า ตัวฉันมีปัญหา มีคนที่มีอำนาจมากกำลังกดดันฉันอยู่ ”
ลู่เซิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน
เขาแค่สนใจในตัวเจิ้งฮวนเท่านั้น เขาเคยเห็นคนน่าสงสารมามากมาย แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่มีกลิ่นอายลึกลับวนเวี ยนอยู่รอบตัวอย่างเจิ้งฮวน
“คุณรู้ไหม” เจิ้งฮวนมองลู่เซิ่ง “ตั้งแต่เด็กจนโต คนที่เกี่ยวข้องกับฉันแทบจะไม่มีจุดจบที่ดีสักคน”
“หือ?” นี่มันเหมือนกับหวังจิ้งเลยไม่ใช่เหรอ ลู่เซิ่งนึกเฉลียวใจ
“คนที่ดีกับฉัน ทุกคนที่ใกล้ชิดกับฉัน ต่างก็เกิดเรื่อง” เจิ้งฮวนเอ่ยอย่างราบเรียบ “พ่อแม่ คุณอา คุณลุง ก่อ อนหน้านี้ฉันนึกว่าตัวเองมีที่พึ่งและความหวัง น่าเสียดายที่….ทุกสิ่งล้วนเป็นของปลอม ฉันไม่เคยมีของพวกนั้นมา าก่อน”
ลู่เซิ่งพลิกหาของบนโต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบบัตรเชิญสีเหลืองอ่อนแผ่นบางขึ้นมาโยนไปให้เจิ้งฮวน
“เอาไป พรุ่งนี้ไปกับฉัน”
เจิ้งฮวนรับไว้
บัตรเชิญเขียนไว้ว่า ‘กองทัพเมืองอันหมิง จากพันเอกเทอร์รี่’
เจิ้งฮวนเปิดอ่านดู ด้านในคือบัตรเชิญแลกเปลี่ยนการต่อสู้ที่กองทัพเมืองอันหมิงส่งมา
“หนึ่งในศิษย์ของฉันเป็นหลานของพันเอกเทอร์รี่ ครั้งนี้ฉันต้องการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์จากกองทัพมาเข้าร่วมโถงเก้ าชีวิต” ลู่เซิ่งเชื่อมั่นในวิชาจิตโน้มนำของตัวเองเป็นอย่างมาก ทักษะล้างสมองอันอ่อนด้อยของกองทัพจะเป็นคู่ต่อ อสู้ของเขาได้อย่างไร
ถึงเวลานั้นการขยับขยายอิทธิพลสามารถนับวันรอคอยได้เลย
“คุณวางแผนอะไร” เจิ้งฮวนงุนงง
“แผนอะไรหรือ” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม รอยยิ้มของเขาภายใต้แสงไฟดูอึมครึมและเย็นชาอยู่บ้าง
“คุณไม่คิดว่า เสียงที่ไม่เห็นด้วยในเมืองอันหมิงแห่งนี้มีมากเกินไปหรอกหรือ”
“ฉันต้องการให้ทุกที่ที่ฉันมองเห็นมีแต่ศิษย์ของโถงเก้าชีวิต”
แม้เจิ้งฮวนจะไม่เข้าใจว่าลู่เซิ่งต้องการทำอะไร แต่พอได้ยินคำพูดนี้ จิตใจก็เย็นเยียบโดยสัญชาตญาณ
“โลกนั้นยิ่งใหญ่ ในเมื่อนายไม่มีที่อยู่ อย่างนั้นก็ชิงมาเองสิ” ลู่เซิ่งหมุนตัวเดินไปยังส่วนลึกของโถงเก้าชีวิต ต
“ร่างกายของนายอ่อนแอเกินไป ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ให้เรียนวิชาต่อสู้กับฉัน อย่าลืมจ่ายค่าเรียนด้วยล่ะ”
เจิ้งฮวนกัดฟัน ในใจเกิดความปั่นป่วนที่ไม่อาจบรรยายขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
จากนั้นเขาก็หันไปเห็นแผนที่จักรวรรดิมอธที่แขวนอยู่บนผนังสีขาว
และเมืองอันหมิงที่พวกเขาอยู่ก็อยู่ทางซ้ายสุดของแผนที่
อยู่เยื้องลงมาข้างล่างของดาวเคราะห์สีชมพู
‘แข็งแกร่ง เยือกเย็น ทะเยอะทะยาน ฉันอยากจะเห็นเหมือนกันว่าคุณจะเดินไปถึงระดับไหนได้’ เจิ้งฮวนข่มความสั่นกลั วในใจก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังนอกประตู
เขาจะไม่หนี ก่อนที่จะเอาชนะลู่เซิ่งได้ เขาจะไม่หนีอีก
…
ฐานทัพฝึกฝนชั่วคราวของเมืองอันหมิง
ผู้พันเทอร์รี่กับทหารระดับยอดฝึมือมาฝึกอยู่ที่นี่ได้หลายชั่วโมงแล้ว
เนื้อหาฝึกฝนใช้การต่อสู้อย่างอิสระและการต่อสู้มือเปล่าเป็นหลัก สอนว่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้เพื่อคว้าชัยในสถานการณ์ ที่ไม่มีอาวุธสักชิ้นได้อย่างไร
เครื่องแบบการฝึกของจักรวรรดิมอธเป็นสีเขียวเข้มลายดำ อินทรธนูบนบ่าใช้จำนวนหนามแหลมที่แทงขึ้นเป็นสัญลักษณ์
หนามแหลมพวกนี้ดูเหมือนจะส่งผลต่อการฝึกอย่างมาก ทุกแห่งบนสองบ่าต่างมีหนามแหลมคมที่ยาวเท่านิ้วมือ
ทหารทุกนายต่างก็สวมเกราะไหล่สองชิ้น เอาไว้ใช้ฝังหนามแหลมโดยเฉพาะ สะพายเป้ทหารประจำตัวที่หนักสามสิบกรัม ใน นเป้มีอุปกรณ์ที่สามารถใช้ด้านการสู้รบในป่าหลากหลายอย่าง ถึงขั้นยังมีระเบิดลูกปรายขนาดเล็กสำหรับใช้ยามฉุกเฉิน ร ระเบิดสุญญากาศขนาดเล็ก มีดผลักดันพลังงานไมโครนิวเคลียร์ และปืนใหญ่เลเซอร์แบบยิงทีละนัด
ผู้พันเทอร์รี่คือชาวตะวันตกร่างสูงใหญ่ที่มีคิ้วหนาตาใหญ่และร่างกายกำยำ
บนคอด้านข้างของเขามีรอยแผลถูกกัด รอยนั้นเกิดจากการถูกสัตว์ร้ายท้องถิ่นกัดในสงครามยกพลขึ้นดาวเคราะห์ครั้ งหนึ่ง
เขาที่อายุเลยเลขสี่แล้วไม่มีทายาท มีเพียงหลานคนเดียวที่สูญเสียพ่อแม่ ซึ่งเขาถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของตนเ เอง
เวลานี้หลานของเขายืนอยู่ข้างๆ มองดูขอบลานฝึกด้วยสีหน้าคาดหวัง
ตรงนั้นมีรถจี๊ปทหารสีเขียวขี้ม้าสองคันขับออกมา
“ทุกนายฟังคำสั่ง! ระวัง! ขวาหัน!”
ผู้พันเทอร์รี่สั่งการเสียงดัง
ทหารสามสิบสองนายที่กำลังฝึกฝนเป็นทหารที่เก่งกล้าที่สุดในกองทัพอันหมิง เป็นตัวเลือกที่เขาคัดสรรออกมา เพื่อ อส่งไปเข้าร่วมการแข่งขันทหารกองหน้าประจำมณฑล
ครั้งนี้เขาได้ยินหลานเล่าให้ฟังว่า หวังมู่อาจารย์หวังแห่งโถงเก้าชีวิตแตกฉานในทักษะการต่อสู้ ถึงขั้นเรียกได้ ว่าเป็นหุ่นยนตร์ในร่างมนุษย์
เขาไปสำรวจที่เกิดเหตุในตระกูลไป๋ด้วยตัวเอง หลังยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ค่อยส่งบัตรเชิญให้หวังมู่
แม้เขาจะไม่ได้เชื่อมั่นนักว่าวิชาต่อสู้ของคนธรรมดาจะมีอานุภาพถึงระดับนั้น น่าจะเป็นเพราะชุดเกราะอัลลอยด์ที่ม มีเทคโนโลยีใหม่บางชนิดมากกว่า
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การพบหน้าครั้งนี้จะเป็นจริงหรือหลอกลวง ใช้เวลาไม่นานก็มองออกแล้ว
เขาจัดหนามแหลมสีดำบนบ่าสองข้าง เครื่องแบบสีเขียวขี้ม้าที่เรียบร้อยแทบจะเชื่อมเป็นหนึ่งกับหนามแหลมสีดำ มอง ไกลๆ เหมือนกับสวมชุดเกราะแนบเนื้อ
แม้เครื่องแบบนี้จะมีพลังป้องกันระดับเกราะกันกระสุนจริงๆ แต่ความยืดหยุ่นนั้นสุดที่ชุดเกราะจะเทียบเคียงได้ นี่ เป็นความแตกต่างอันใหญ่หลวงระหว่างเทคโนโลยีเอกชนและเทคโนโลยีทางทหาร