ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1026 ขยับขยาย (2)
ตึงๆ
มีคนส่วนหนึ่งทยอยลงมาจากรถจิ๊ปที่อยู่ไกลออกไป
นอกจากทหารสามนายที่นำทางแล้ว ยังมีคนอีกสามคนสวมใส่ชุดตัวใหญ่พื้นขาวลายเมฆดำ ตรงหน้าอกปักคำว่าเก้าตัวใหญ่เอาไว้
สองคนในสามคนนี้มีร่างกายกำยำ แต่อีกคนกลับผอมเป็นพิเศษ
คีเลียนผู้เป็นหลานที่อยู่ข้างๆ ผู้พันเทอร์รี่อดกล่าวเบาๆ ไม่ได้ว่า
“คุณลุง คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด บึกบึนที่สุดคนนั้นคือประมุขของพวกเรา หรือก็คือผู้ก่อตั้งโถงเก้าชีวิต หวังมู่ อาจารย์หวัง”
พอพูดชื่อหวังมู่ ใบหน้าของเขาก็แสดงความนับถือที่ไม่อาจปกปิด นี่ทำให้ผู้พันเทอร์รี่ขุ่นเคืองอยู่บ้าง
เขาอนุญาตให้หลานชายชื่นชมคนอื่นได้ แต่ห้ามนับถือเด็ดขาด เพราะความนับถือคือการสำนึกว่าตัวเองไม่อาจตามทันอีกฝ่ายได้ทันตลอดกาล
พอพวกหวังมู่เข้ามาใกล้ ผู้พันเทอร์รี่ค่อยรู้สึกได้อย่างรำไรว่า บนตัวสามคนนี้เหมือนมีสภาวะจางๆ สายหนึ่ง
ไม่…ไม่เหมือนสภาวะ แต่เหมือนกับสนามพลังชนิดหนึ่ง หรือความรู้สึกกดดันชนิดหนึ่งมากกว่า
โดยเฉพาะผู้นำที่เดินอยู่ด้านหน้าสุด ชายที่ชื่อหวังมู่คนนั้น
กล้ามเนื้อบนตัวเขาเหมือนกับถูกสลักขึ้นมา ทุกย่างก้าวเหมือนกับมีน้ำหนักมหาศาลกระแทกใส่พื้น
ทั้งๆ ที่ฝีเท้าไม่หนัก ถึงขั้นคมชัด แต่กลับกระแทกด้วยคลื่นความถี่ของหัวใจ ทำให้คนรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษ
“ใช้ท่าเท้าส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจหรือ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งด้านหลังผู้พันเทอร์รี่ส่งเสียง
เขาคือคนที่ไม่ได้สวมเครื่องแบบทหารเพียงคนเดียว แตกต่างจากคนอื่นๆ
คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีขาวตัวหลวมโพรก ใส่เข็มขัดสีขาวที่กว้างมาก ด้านบนมีสัญลักษณ์ธงชาติของจักรวรรดิมอธ เป็นรูปงูเก้าหัวสีเงินที่ดุร้ายตัวหนึ่ง
เขามีชื่อว่าเฟอร์นันโด เป็นที่ปรึกษาวิชาการต่อสู้ประจำกองทัพ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้สร้างเครือข่ายสถาบันบ่มเพาะหมัดเกราะแดงที่ใหญ่ที่สุดในหลายๆ เมืองใกล้ๆ นี้ด้วย
“ผมเคยใช้กระบวนท่านี้ตอนทดสอบหมัดเกราะแดงระดับเก้า” เฟอร์นันโดยื่นฝ่ามือออกมาดีดนิ้วเบาๆ พลันทำลายความรู้สึกดดันจางๆ นั้นทิ้งไป
ระดับสูงสุดของหมัดเกราะแดงคือระดับสิบ เขาสามารถไปถึงระดับเก้าได้ กล่าวได้ว่า ขาดอีกก้าว ก็จะได้รับระดับสูงสุด
กล่าวได้ว่าเขาเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ตามมาตรฐานของวิชาหมัดเกราะแดง
เดิมทีการแลกเปลี่ยนการต่อสู้เล็กๆ แบบนี้จะเกิดเป็นประจำอยู่แล้ว
ผู้ฝึกสอนรับจ้างประจำกองทัพก็ไม่ได้มีเขาแค่คนเดียว เขาแค่มาหาอะไรสนุกๆ ดูเท่านั้น เรื่องแบบนี้ ด้วยสถานะ ตำแหน่ง และระดับของเขา หากเอาชนะอีกฝ่ายได้ถือว่าเสมอตัว หากแพ้จะเสียหายอย่างใหญ่หลวง
เพียงแต่ก่อนมา เขาได้ยินมาแล้วว่าเป้าหมายที่เชิญมาในครั้งนี้ ถึงกับเป็นหวังมู่ ผู้ก่อตั้งโถงเก้าชีวิต
แวดวงต่อสู้มีขนาดเล็ก เขาเคยได้ยินเรื่องโถงเก้าชีวิตมาก่อนเช่นกัน
นี่เป็นสถาบันที่มีความสามารถจริงๆ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นก้าวข้ามสำนักเขาเมฆาที่เขาสร้างขึ้นมาได้
เพียงแต่เป็นเพราะสงสัย เขาเลยมาศึกษาคู่แข่งในอนาคตผู้นี้ไว้ก่อน
พบเจอครั้งแรก อีกฝ่ายไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ
ตุบ
เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว เดินไปถึงด้านหน้าเทอร์รี่ ประจัญหน้ากับลู่เซิ่งที่เดินเข้ามา
“หวังมู่หรือ”
ลู่เซิ่งก้มมองเขา
“สำนักเขาเมฆาหรือ” ไป๋จวิ้นเฉิงที่อยู่ทางขวาเดินออกมาช้าๆ
เฟอร์นันโดยิ้มจางๆ “ฉัน…”
ทันใดนั้นด้านหน้าของเขาพลันพร่ามัว ชายคนนั้นที่เดินออกมาเมื่อครู่ถึงกับมาถึงด้านหน้าตนแล้ว
‘เร็วมาก?!’
เฟอร์นันโดดรีบไขว้แขนสองข้างป้องกันไว้ด้านหน้า พละกำลังทั่วร่างบิดผันและผสานกันเป็นหนึ่ง เติมเข้าไปในแขน
“โซ่สะบั้นกระแทก”
เขาตะโกนเสียงต่ำ ชุดเกราะอัลลอยด์บนแขนทำงานทันที
เปรี้ยง!
มือของไป๋จวิ้นเฉิงปะทะกับแขนของเขา
เปรี้ยง!
ทั้งสองฝ่ายถอยหลังไปก้าวหนึ่งแทบจะพร้อมกัน
เฟอร์นันโดตื่นตระหนก ชายหนุ่มที่เหมือนลูกศิษย์คนนี้ถึงกับมีหมัดที่หนักขนาดนี้
‘หรือว่าจะทรงพลังโดยกำเนิด’ เขาถอยหลังไปหลายก้าว อดแสดงความตกใจออกทางสีหน้าไม่ได้
เขาซุ่มฝึกฝนวิชาต่อสู้มากมายจากนั้นก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง พละกำลังจึงเหนือกว่ามือดีด้านการต่อสู้ทั่วไปมาก
แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับ…
“ทั้งสองคนมีอะไรพูดกันดีๆ เถอะ คนคนนี้คือเฟอร์นันโด ที่ปรึกษาพิเศษด้านการต่อสู้ของกองทัพ ครั้งนี้มาแลกเปลี่ยนการต่อสู้ร่วมกับทุกคน” ผู้พันเทอร์รี่มองความสามารถที่แท้จริงในหมัดของไป๋จวิ้นเฉิงออกแล้ว
“อาจารย์หวัง อัจฉริยะคนนี้คือ…” เขามองไป๋จวิ้นเฉิง เมื่อครู่อีกฝ่ายลงมืออย่างฉับพลัน อานุภาพที่ระเบิดออกมา แม้จะเป็นเขาก็ตาเป็นประกาย
การเคลื่อนไหว กระบวนท่า ย่างก้าวต่างก็ปกติ มีแต่วิถีแรงนั่นเท่านั้น
“ไป๋จวิ้นเฉิง เพิ่งเข้าโถงเก้าชีวิตได้สองเดือน ขอโทษด้วยครับผู้พัน เมื่อกี้เห็นคนขวางทาง รู้สึกทนไม่ได้ เลยรีบลงมือไปหน่อย…” ไป๋จวิ้นเฉิงโค้งตัวกล่าวอย่างมีมารยาท
“เพิ่งเข้าร่วมได้สองเดือนหรือ?!” ผู้พันเทอร์รี่กับเฟอร์นันโดต่างตกใจ
อีกฝ่ายจงใจพูดเรื่องนี้ ผู้มาไม่มีเจตนาดีนี่ จะจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ วิถีแรงแบบนั้นเหมือนกับคนที่เพิ่งฝึกได้สองเดือนตรงไหน
“ไม่เป็นไร แม้หัวข้อหลักในครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้แลกเปลี่ยน แต่ไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้ตั้งแต่เริ่ม” ผู้พันเทอร์รี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เขามองไปยังเฟอร์นันโด
“เริ่มได้แล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งเอ่ยปากตรงๆ “ครั้งนี้ที่ฉันมาก็เพื่อทำให้มีคนเข้าใจสัจธรรมของการต่อสู้เพิ่มขึ้น”
ชุดต่อสู้ตัวใหญ่ของเขาถูกร่างอันบึกบึนดันจนคับปริ แขนใหญ่กว่าคนธรรมดาหนึ่งเท่าตัว
“การต่อสู้ก็คือการสังหาร”
เขายื่นมือออกมาแล้วกางนิ้วออก
“ดูมือของฉันให้ดี”
พวกผู้พันเทอร์รี่และเฟอร์นันโดอดมองที่ใจกลางฝ่ามือของเขาไม่ได้
ตรงนั้นมีลวดลายสีแดงเลือดแปลกประหลาดติดอยู่อย่างจางๆ
“อยากจะควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองไหม”
เสียงของลู่เซิ่งดังขั้นช้าๆ กระจายออกไปรอบๆ เหมือนกับใช้เครื่องขยายเสียง
ทหารทุกนายรวมถึงเฟอร์นันโดดต่างตัวสั่น สายตาเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ
“จงเข่นฆ่า…”
ลู่เซิ่งพลันกำนิ้ว
เปรี้ยง!
อากาศถูกบีบอัดออกไปจากห้านิ้วของเขา เหมือนกับสายน้ำของจริงสาดกระเซ็น
เสียงทึบหนักนี้ เหมือนฟาดค้อนใส่หัวใจของทุกคน
แกร๊ก
ทหารมือดีคนหนึ่งกัดฟัน ดวงตาฉายแววขัดขืน แต่ไม่นานก็ถูกอารมณ์อันรุนแรงที่ทะลักออกมากลบกลืน
สิบนาทีต่อมา
ลู่เซิ่งพาไป๋จวิ้นเฉิงออกมา แล้วโดยสารรถออกจากศูนย์ฝึก
ผู้พันเทอร์รี่และเหล่าทหารมือดีหลายสิบนายได้รับการถ่ายทอดวิชาต่อสู้แแบกภาระบางส่วนจากเขาแล้ว
เวลานี้ลู่เซิ่งที่มีคุณสมบัติและพื้นฐานทางร่างกายแข็งแกร่ง ใช้วิชาจิตโน้มนำเพาะเมล็ดที่ไม่อาจเอาชนะได้ ไว้ในส่วนลึกจิตใจของคนอื่นได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ขอแค่เขาไร้เทียมทาน แข็งแกร่งต่อไปเรื่อยๆ ก็จะไม่มีใครทรยศได้
ทุกคนจะบูชาเขาอย่างงมงาย มองเขาเป็นร่างแปลงของผู้แข็งแกร่ง
หลังจุติไปยังโลกต่างๆ มาหลายครั้ง นี่เป็นมรรคายุทธ์ใหม่เอี่ยมที่ลู่เซิ่งสร้างขึ้นโดยผสานวรยุทธ์ของตัวเองกับวิชาจิตโน้มนำ
เขาตั้งชื่อมันว่า วิถีทำลายจิตสิบทิศ
การทำลายจิตในที่นี้ ไม่ใช่การทำลายกิเลส หากเป็นการทำลายอารมณ์ส่วนตัวของสิ่งมีชีวิต
เป็นเพราะว่าตอนนี้ลู่เซิ่งรู้จักวิญญาณและดวงจิตของมนุษย์ดี วิถีทำลายจิตสิบทิศจึงมีผลแค่กับมนุษย์เท่านั้น
ขอแค่เป็นคนที่พ่ายแพ้แก่เขา ขอแค่เป็นคนที่มีความนึกคิด ก็จะถูกเขาเพาะเมล็ดทำลายจิตที่ไม่อาจต้านทานได้ในส่วนลึกของวิญญาณ
คนคนนั้นจะค่อยๆ เกิดความนับถือและเลื่อมใสอย่างคลุ้มคลั่งต่อตัวลู่เซิ่งในสถานการณ์ที่รักษาเอกลักษณ์ของตัวเองไว้
นี่เป็นสภาพอันน่ากลัวที่เหมือนกับสาวกงมงาย สามารถทำลายอารมณ์ทั้งหมดทิ้งได้
เมื่อครู่เขาเพียงแค่ใช้ทักษะวิชาหมัดเล็กๆ ของวิถีทำลายจิตสิบทิศ ก็ส่งอิทธิพลต่อผู้พันเทอร์รี่และทุกคน จนเพาะเมล็ดทำลายจิตไว้ในจิตใจของพวกเขาได้แล้ว
เขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งและความน่ากลัวของวิชาหมัดวิชานี้เพราะสาเหตุนี้
วิชาหมัดระดับนี้ ถ้าใช้ในทางที่ผิด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะยากคาดคิดถึงทีเดียว!
ดีที่เขาไม่คิดจะถ่ายทอดมันให้คนอื่น
วิชาต่อสู้แบกภาระและวิชาเกลียวเก้าชีวิตมากพอจะให้ศิษย์ของโถงเก้าชีวิตฝึกฝนไปชั่วชีวิตได้แล้ว
และมีแต่เขาเท่านั้นถึงจะใช้วิถีทำลายจิตสิบทิศที่แข็งแกร่งที่สุดได้
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่บนรถจี๊ปหลับตาทำสมาธิ หวนนึกถึงตอนที่เคยอยู่บนโลกมารสวรรค์ นั่นคือตอนที่เขายังอ่อนแอ เห็นสรรพสัตว์ทุกข์ยาก ใต้หล้าวุ่นวาย จึงตั้งปณิธานว่าจะแก้ไขโลกที่ผิดพลาดนี้
‘เราในตอนนี้ชาด้านซะแล้ว’ ลู่เซิ่งพันมือด้วยผ้าสีดำที่ใช้สำหรับต่อสู้
“ความเห็นอกเห็นใจในอดีตกลายเป็นการรักตัวเอง แม้จะแข็งแกร่งกว่าเดิมเหลือประมาณ แต่ก็หาความรู้สึกอย่างในตอนนั้นไม่เจออีกแล้ว”
เขาลืมตาขึ้น มองใบไม้ที่ปลิวผ่านหน้าต่างรถไปยังต่อเนื่อง
“พวกเธอคิดอะไรตอนเริ่มฝึกการต่อสู้” ลู่เซิ่งถามเสียงต่ำ
หากตัดทหารที่ขับรถออกไป ก็เหลือไป๋จวิ้นเฉิงกับเจิ้งฮวน
ไป๋จวิ้นเฉิงหัวเราะ
“ไม่อยากถูกรังแกครับ อาจารย์ เป้าหมายของผมเรียบง่ายมาก ก็คือไม่อยากถูกคนอื่นรังแก”
เจิ้งฮวนนิ่งไปสักพัก
“ถูกคุณบังคับ”
เขาทำท่าเจ็บปวดรวดร้าว
ลู่เซิ่งและไป๋จวิ้นเฉิงอดหัวเราะไม่ได้
“เป้าหมายแรกสุดของฉัน” ลู่เซิ่งหุบยิ้ม “คือแก้ไขโลกที่ผิดพลาดใบนี้ เป็นความคิดที่ธรรมดามากสินะ”
คนอื่นๆ ในรถตกตะลึง ความคิดแบบนี้มันธรรมดาตรงไหน
“ฉันในตอนนั้นเห็นโลกยากลำบาก ทุกแห่งหนวุ่นวาย มารปีศาจอาละวาด ดังนั้นจึงสาบานว่า จะต้องใช้พลังของตัวเอง กำปั้นของตัวเอง สร้างระเบียบใหม่ขึ้นในโลกให้ได้”
ลู่เซิ่งบรรยายอย่างราบเรียบ เหมือนกับเล่าเรื่องคนอื่น
“แต่โลกนี้มีคนแข็งแกร่งมากมาย เพื่อพลัง ฉันได้จ่ายอะไรๆ ไปมากเหลือเกิน เจอบุญคุณความแค้นมานับไม่ถ้วน ฉันในตอนนี้หาความโมโหในตอนนั้นไม่เจออีกแล้ว…”
เขากางมือออก ฝ่ามือที่มัดผ้าสีดำกว้างและหนาไว้ มีความแข็งแกร่งเหมือนก้อนหินอยู่บ้าง
“พวกเธอเข้าใจไหม เส้นทางในตอนนั้น หาไม่เจออีกแล้ว…ถ้าหากตัวเองทิ้งจิตใจในตอนแรกสุดไป เช่นนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ ก็เป็นแค่เครื่องจักรที่อยู่เพื่อแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น”
“อาจารย์…” ไป๋จวิ้นเฉิงไม่รู้ควรปลอบใจเขาอย่างไรดี
เจิ้งฮวนเงียบงันเล็กน้อย กลับเอ่ยปากช้าๆ ว่า
“ฉันว่า ไม่ว่าจะยังไง ให้ทำตามความคิดก่อนหน้านี้ไปก่อน หากมีความคิดอะไร รอให้เป็นจริงก่อนแล้วค่อยว่ากัน เหมือนกับภัยชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าแม้แต่ตัวเองยังไม่คิดจะต่อสู้ อย่างนั้นก็ไม่เหลือความหวังอีกต่อไป”
“ตอนนี้นายยังอยากจะฆ่าฉันอยู่ไหม พวกเรานับว่าเป็นเพื่อนกันแล้วมั้ง” ลู่เซิ่งเอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้ม
“ฆ่าคุณเสร็จแล้ว พวกเราค่อยเป็นเพื่อนกัน” เจิ้งฮวนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจ้านี่หน้าด้านจนน่าเหลือเชื่อ ควักตาเขาไปแล้ว ยังมาถามอีกว่าเป็นเพื่อนกันหรือเปล่า…
มีเพื่อนคนไหนควักตากันบ้าง
“ความจริงฉันควักตานายเพื่อตัวนายเองนะ นายควรขอบคุณฉันสิ” ลู่เซิ่งหัวเราะ
“รอฉันฆ่าคุณก่อนค่อยขอบคุณ” เจิ้งฮวนเอ่ยอย่างราบเรียบ
ไป๋จวิ้นเฉิงที่อยู่ด้านข้างเหงื่อแตกพลั่ก ดวงตาของคนลึกลับคนนี้ถูกอาจารย์ควักไปเหรอเนี่ย
ตอนนี้ทั้งคู่นั่งติดกัน สนทนากันอย่างสบายๆ ช่างแปลกประหลาดจริงๆ
……………………………………….