ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1027 ยกระดับ (1)
การขยายตัวของโถงเก้าชีวิตเร็วกว่าที่ลู่เซิ่งคาดไว้
เขาใช้วิถีทำลายจิตสิบทิศสองสามครั้งที่กองทัพและศูนย์ฝึกฝนหลายแห่ง ผลคือเขายึดเขตต่อสู้ของเมืองอันหมิง ทั้งเมืองได้ในเวลาเพียงสิบวันสั้นๆ
ภายหลังเขารับคนใหม่อีกสี่คนเข้าชั้นเรียนแกนกลาง
ไป๋จวิ้นเฉิงสองพี่น้องและหงซื่อกลายเป็นหัวหอกทะลวงฟันของลู่เซิ่ง พวกเขาท้าสู้สถาบันการต่อสู้เกือบทั้งหมดในอ อาณาเขตรอบๆ ติดต่อกัน
หลังจากอัดผู้ฝึกสอนใหญ่ของพวกเขาต่อหน้าธารกำนัลสักยก ทุกคนก็จะหยุดสนใจสถาบันแห่งนั้นๆ ไปเอง
บนเส้นทางวรยุทธ์และเส้นทางต่อสู้ ทุกคนต่างก็เลือกสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นเพราะไม่มีใครอ่อนแอกว่าคนอื่นตั งแต่เกิด
ชื่อเสียงของโถงเก้าชีวิตเริ่มขจรขจายอย่างบ้าคลั่ง
โดยเฉพาะเมื่อมีการสนับสนุนอย่างสุดกำลังจากตระกูลไป๋ของไป๋จวิ้นเฉิง สิ่งของ ที่ดิน ทรัพยากร และวัสดุสิ้นเปลือง ต่างก็มอบให้ศิษย์ของโถงเก้าชีวิตอย่างไม่อั้น
ตัวสถาบันเริ่มมีกฎเกณฑ์
ลู่เซิ่งเลิกชั้นเรียนลดไขมัน เปลี่ยนมาเป็นโถงเตรียมตัว คนที่เข้าร่วมจะต้องอยู่ที่โถงเตรียมตัวสักระยะ ถือเป็น นการทดสอบก่อนเวลา
โถงเก้าชีวิตแบ่งสังกัดออกเป็นลักษณ์หมาป่า ลักษณ์กระเรียน และลักษณ์หงส์ชาด แยกชั้นเรียนเป็นสามส่วน
ทุกอย่างเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้อง
ลู่เซิ่งควบคุมองค์กรทั้งองค์กรโดยฝากคำพูดผ่านเว่ยหานตงสองพี่น้อง
พริบตาเดียว อากาศก็เย็นขึ้น ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนกว่าๆ
โถงเก้าชีวิตกลายเป็นองค์กรแข็งแกร่ง ที่มีสมาชิกมากกว่าร้อยคนอย่างเป็นทางการ ประกอบด้วยสมาชิกหลักมากกว่าร้อยคน น สมาชิกรอบนอกมากกว่าพันคน
ขุมกำลังและอิทธิพลปกคลุมเมืองอันหมิงและนครระดับจังหวัดสามแห่งรอบๆ ขุมกำลังของมันถึงขั้นเชื่อมต่อกับกองทัพ พในท้องที่
ในสถานการณ์แบบนี้ ลู่เซิ่งกลับเก็บตัว ไม่เคลื่อนไหวเพิ่มอีก ทั้งยังเรียกตัวสมาชิกหลักกลับมาฝึกฝนพิเศษเพิ่ม ร รวมถึงลดอาณาเขตขุมกำลัง
เวลานี้แหล่งรายได้ของโถงเก้าชีวิตไม่ได้พึ่งพาค่าเรียนอันน้อยนิดจากชั้นเรียนรอบนอกอีกแล้ว หากอาศัยร้านค้า ศูน นย์การค้า การทำสัญญารักษาความปลอดภัยและสัญญารับจ้าง รวมถึงสโมสรเครือข่ายที่เปิดเองในอาณาเขตของขุมกำลังที่เพิ่ มขึ้น
โดยเฉพาะหลังจากได้ใบอนุญาตบริษัทรับจ้างรักษาความปลอดภัยที่กองทัพมอบให้ ธุรกิจก็รุ่งเรืองกว่าเดิม
ไป๋จวิ้นเฉิงเป็นผู้ช่วยเหลือดูแลด้านนี้เป็นหลัก ทางลู่เซิ่งซ่อนตัวอยู่ฉากหลังเพื่อดำเนินแผนการขั้นต่อไป
…
แกร๊ก
ลู่เซิ่งเปิดประตูห้องแล้วดึงกุญแจออก
ห้องเช่าเดิมของหวังมู่ห้องนี้ เขาไม่ได้กลับมาทุกวันแล้ว ในอาทิตย์หนึ่งจะใช้เวลาส่วนใหญ่พักที่ค่ายของโถงเก้ าชีวิต
ดีที่ตอนนี้มีคนให้ใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไป๋จวิ้นเฉิงกับไป๋อันอี้แห่งตระกูลไป๋เป็นแค่หนึ่งในนี้ ผู้มีงานอด ดิเรกที่มีทักษะการต่อสู้ในระดับหนึ่งอย่างหงซื่อกับคนอื่นๆ ที่เข้ามาทีหลังถือเป็นบุคลากรที่ไม่เลวเหมือนกัน
ลู่เซิ่งให้สองสามคนในนี้ไปเปิดโถงเก้าชีวิตที่เมืองติดกันในฐานะผู้รับผิดชอบประจำสาขา
อันซากับหงซื่อก็อยู่ในนี้ด้วย ทั้งสองก่อตั้งสาขาขึ้นในเมืองตงโจวกับเมืองเฟ่ย จากสถานที่สองแห่งนี้ถึงเ เมืองอันหมิง แค่นั่งรถเป็นระยะทางสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว
ดังนั้นการมาฝึกฝนที่สาขาหลักทุกๆ ระยะเวลาหนึ่ง โดยให้ลู่เซิ่งมอบการฝึกฝนแบบจำกัดตัวเองให้อย่างสมบูรณ์จึงไม ม่มีปัญหาใดๆ
แต่ถ้าเป็นสถานที่ที่อยู่ไกลกว่านี้ จะลำบากเล็กน้อยแล้ว
นี่เป็นสาเหตุหลักที่ลู่เซิ่งหยุดขยายอาณาเขตชั่วคราว
เป็นเพราะโถงเก้าชีวิตในตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป พลังของสมาชิกหลักยังไม่มากพอจะดูแลตัวเองได้
ลู่เซิ่งเดินเตร่ในห้อง ใส่สิ่งของที่ต้องการ เอาไปไว้ในกระเป๋า
เขารู้สึกได้ว่า ตนเองดำเนินการเลื่อนระดับขั้นต่อไปได้แล้ว การปรับปรุงของชีวิตที่สามต่อต่อมไร้ท่อเสร็จสิ้น แล้ว
ชีวิตที่สี่ต่อจากนี้เป็นการปรับปรุงเลือด สามารถเริ่มได้ตลอดเวลา
ครั้งนี้ที่เขากลับมา ก็เพราะในวันนี้จะย้ายบ้านอย่างเป็นทางการ ซื้อบ้านที่เป็นของตัวเองสักหลัง
หลังจากเก็บของและเอกสารเรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่งก็หิ้วของเดินออกจากห้องแล้วพลิกมือปิดประตู ขณะกำลังจะเดินไปท ที่ประตูลิฟท์นั่นเอง
จู่ๆ ประตูลิฟท์ก็เปิดออก
เจินเหอเดินออกมาอย่างเหนื่อยล้า เธอแต่งหน้าบางๆ มัดผมหางม้า สวมกางเกงยีนส์สีฟ้าและเสื้อยืดแขนสั้นสีชมพู ข ขาที่เรียวยาวกลมกลึงและสะโพกงามงอนตวัดเป็นเส้นโค้งชวนหลงใหล
ทั้งสองเจอกันพอดี
“กลับมาแล้วเหรอคะ” เจินเหอต้องมองนานหน่อยค่อยจำลู่เซิ่งในตอนนี้ได้
ลู่เซิ่งในตอนนี้ล่ำสันกว่าก่อนหน้านี้มาก ถ้าไม่ใช่เพราะบุคลิกและหน้าตาไม่เปลี่ยน ก็อาจมีโอกาสที่จำผิดเป็นคนอ อื่น
“ครับ เตรียมจะย้ายบ้านในอีกสองวันนี้น่ะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ยินดีด้วยนะคะ” เจินเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณมาก” ลู่เซิ่งตอบ
“จริงสิ ก่อนหน้านี้สองสามวันมีคนหลายคนมาหาคุณที่ห้อง เพียงแต่คุณไม่อยู่ พวกเขาก็เลยฝากของไว้ที่ฉัน รอเดี ยวนะคะ ฉันจะไปเอาออกมาให้” เจินเหอพลันนึกถึงเรื่องก่อนหน้า รีบส่งเสียง
“ของเหรอครับ” ลู่เซิ่งประหลาดใจอยู่บ้าง คนที่เขารู้จักในปัจจุบันสามารถโทรศัพท์หาเขาได้ตลอดเวลา
ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่โทรศัพท์มาตรงๆ แต่ต้องเอาของมาให้ที่บ้าน
หรือจะไม่ใช่คนในกลุ่ม แต่เป็น…คนที่อยู่นอกกลุ่ม
เขาพลันฉุกใจ
เจินเหอวิ่งเหยาะๆ เข้าห้องตัวเอง ไม่นานก็ถือถุงพลาสติกสีดำใบหนึ่งเดินออกมา
“นี่ค่ะ คนพวกนั้นมีอยู่คนหนึ่งอายุเยอะแล้ว สวมแว่นตา พูดช้ามาก หน้าตาคล้ายๆ คุณอยู่เหมือนกัน จะเป็นญาติค คุณหรือเปล่าคะ”
เธอยิ้มพลางส่งของให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งได้ยินดังนั้นก็สะดุดใจ
จริงๆ หวังมู่ไม่ได้เป็นลูกกำพร้า เขามีพ่อมีแม่ เพียงแค่ตัดความสัมพันธ์กันแล้ว ถ้าเป็นทางญาติล่ะก็…
มีแต่ลุงใหญ่ที่ดีกับเขามาโดยตลอดคนหนึ่ง
เขารับของมาเปิดดูด้านใน เป็นเค้กที่มองดูก็รู้ว่าทำเอง เป็นก้อนที่ใช้ใบไม้สีดำที่เหมือนกับใบไผ่ห่อไว้ ภายนอกมัดด้วยเชือกอีกหลายเส้น
มีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ข้างใต้เค้ก
ลู่เซิ่งนึกทบทวน จำได้ว่าเพราะตัดสัมพันธ์กับพ่อแม่ หวังมู่เลยรำคาญลุงใหญ่ที่มักเกลี้ยกล่อมให้เขากลับบ้าน ไ ไปยอมรับผิดกับพ่อแม่
เขาก็เลยบล็อกโทรศัพท์ของคุณลุงไปด้วย
แต่ต่อให้จะเป็นเช่นนี้ ทางลุงใหญ่ก็ดูแลเขามาโดยตลอด ทุกๆ วันปีใหม่จะเอาเค้กมาให้และถามไถ่สถานการณ์ของเขา
ถึงขั้นยังเคยจ่ายค่าห้องให้เขาหลายครั้ง
ครุ่นคิดเล็กน้อย ลู่เซิ่งมือหนึ่งถือของ อีกมือหยิบโทรศัพท์ออกมาปลดบล็อกเบอร์โทรฯ ของคุณลุง
แม้หวังมู่เมื่อก่อนหน้านี้จะอายุสามสิบปีแล้ว แต่สุดท้ายก็เป็นเด็กไม่ยอมโต ความคิดความอ่านยังไร้เดียงสา
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ลุงใหญ่ของหวังมู่เป็นครอบครัวธรรมดา น่าจะไม่ทราบว่าเขาเป็นหัวหน้าโถงเก้าชีวิต
ครั้งนี้ที่มา…
ลู่เซิ่งคำนวณเวลา ลูกผู้น้องของเขา หรือลูกของคุณลุงน่าจะใกล้แต่งงานแล้ว
ครั้งก่อนตอนเจอกับหวังมู่ เขาเคยพูดถึง
ลูกผู้น้องหวังเฉิงอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว คบหากับแฟนสาวมาเจ็ดปี มาแต่งงานกันตอนนี้ถือว่าช้าไปบ้าง
ลู่เซิ่งเปิดจดหมายออกอ่าน
เนื้อหาด้านในเรียบง่ายมาก ไม่ต่างอะไรจากข้อความ ลูกผู้น้องหวังเฉิงกำลังจะแต่งงาน เลยชวนเขาไปดื่มเหล้าฉลอง นอก กจากนี้ตัวน้องสาวยังสอบติดมหาวิทยาลัยที่ไม่เลวแห่งหนึ่ง เลยถือโอกาสจัดงานเลี้ยงพร้อมกัน
มองออกว่า คุณลุงคนนี้หาวิธีให้เขามีโอกาสคุยกับพ่อแม่ตัวเอง
เพียงแต่…
ไม่เพียงแต่หวังมู่เท่านั้น หลังจากลู่เซิ่งทำความเข้าใจสถานการณ์ในความทรงจำ ก็ไม่ชอบใจสองคนนั้นเหมือนกัน
“เป็นอะไรไปคะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า” เจินเหอถามเบาๆ
“เปล่าครับ ขอบคุณมาก ฝากไว้ที่คุณนานทีเดียว” ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดีใจที่ช่วยได้ค่ะ” เจินเหอตอบด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งดูเวลาเล็กน้อย
“ตอนนี้ค่ำแล้ว ผมขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อเถอะ วันหน้าผมย้ายบ้าน น่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก พวกเราเป็นเพื่อน นบ้านกันมาหลายปี แถมยังออกกำลังด้วยกันบ่อยๆ ถือว่าเป็นเพื่อนเหมือนกัน”
“ได้…ค่ะ” เจินเหอตอบอย่างปลอดโปร่ง “ไปกันเถอะค่ะ แถวนี้มีร้านอาหารร้านหนึ่ง รสชาติไม่เลว ฉันนำทางเอง”
“ครับ”
ทั้งสองออกจากลิฟท์แล้วเดินออกจากเขตอาคารเก่า ก่อนจะเข้าไปในร้านปิ้งย่างแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
ทั้งคู่หาที่นั่งนั่งลง
เจินเหอเรียกบริกรมาสั่งเนื้อกับผักชุดหนึ่งโดยไม่เกรงใจ
“คุณจะสั่งอะไร”
เธอถามลู่เซิ่ง
“ตามใจเลย” ยังไงก็กินไม่อิ่มอยู่แล้ว ลู่เซิ่งจึงไม่สนใจแล้วว่าจะกินเท่าไหร่
เนื้อย่างพวกนี้ตกหัวละแปดสิบหยวน เขาสามารถกินจนร้านนี้เจ๊งได้
ตะแกรงย่างสีดำถูกนำมาวางอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคีบเนื้อขึ้นไปย่าง ขณะเดียวกันก็คุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่นา านมานี้
ความจริงเจินเหอเป็นคนพูด ส่วนลู่เซิ่งคอยฟัง เป็นเพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไรอยู่แล้ว
“ดูเหมือนการงานคุณจะไปได้ดีทีเดียวนะคะ ถึงขนาดซื้อบ้านตัวเองได้เลย” เจินเหอพูดถึงประสบการณ์ตลอดเวลาหลายปีที สู้อยู่ในเมืองแห่งนี้ ก่อนจะอดบ่นอย่างอึดอัดไม่ได้
“ก็พอได้ครับ ความจริง ขอแค่พยายาม เชื่อในตัวเอง สรุปบทเรียนหลังล้มเหลว ไม่ว่าใครก็ประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้ น” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผมไม่ได้มีความลับอะไรหรอก ก็แค่บังเอิญขยันกว่าคนอื่นเท่านั้น”
“แต่ฉันไม่ไหวค่ะ…บางอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามเพียงอย่างเดียว…” เจินเหอส่ายหน้ายิ้มๆ ใบหน้าฉายแววล ลำบากใจเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้ถูกบริษัทไล่ออก ช่วงนี้หางานอยู่หลายเดือน แต่ไม่มีหวังเลย…ถ้าไม่ใช่งานผิดกฎหมายที่ดูแค่หน้าตา ก็คงเพราะการศึกษาและความสามารถของฉันยังไม่พอ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวก็หาได้ งานมีอยู่เยอะแยะ เรามักจะหาสิ่งที่ตัวเองชอบและเหมาะกับตัวเองเจออยู่แล้ว ขอ อแค่คุณพัฒนาตัวเองอย่างไม่ลดละเท่านั้น” ลู่เซิ่งปลอบ
แม้จะเป็นคำพูดไร้สาระที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ แต่เจินเหอก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
“จริงสิคะ ก่อนหน้านี้คุณทำงานอะไรเหรอ” เจินเหอถาม
“ดูแลห้องสมุดน่ะ”
“หา…ไม่เลวจริงๆ นั่นแหละค่ะ สบายหน่อย” เธอยิ้ม “ก่อนหน้านี้ฉันทำหน้าที่เป็นเสมียนอยู่ในบริษัทต่างชาติ ต่อม มาไปผิดใจกับผู้หญิงคนหนึ่ง เลยโดนบีบออกจากบริษัท”
“คุณนี่โชคร้ายจริงๆ” ลู่เซิ่งตอบห้วนๆ
“ใช่ค่ะ พูดตามจริง ฉันใกล้จะไม่เหลือเงินจ่ายค่าห้องแล้ว ถ้าคุณมีเส้นทางอะไร สามารถแนะนำงานให้ฉันได้นะคะ ฉ ฉันไม่เรื่องมากหรอก แค่มีรายรับปกติสักสี่ห้าพันได้ก็โอเคแล้ว”
เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างกึ่งล้อเล่นกึ่งเหน็บตัวเอง
ความจริงด้วยหน้าตาของเธอ สามารถหางานได้ง่ายมาก เพียงแต่เพราะผู้หญิงที่ไปผิดใจด้วยก่อนหน้านี้มีเสี่ยที่มีอิ ทธิพลมากเลี้ยง ทำให้ตอนนี้เธอทำงานในอุตสาหกรรมทั้งหมดไม่ได้
ภาคอุตสาหกรรมเดียวกันไม่กล้ารับเธอไว้ ส่วนภาคอุตสาหกรรมอื่นเธอก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
“งานเหรอครับ” ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงว่าเธอจะลำบากขนาดนี้ “ไอ้มีน่ะมีอยู่หรอก แต่คุณจบอะไรมาล่ะ”