ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1028 ยกระดับ (2)
“ทักษะวิศวกรรมค่ะ” เจินเหอรีบตอบ “ฉันทำหน้าที่วางแผนเอกสารในงานวิศวกรรมขนาดใหญ่ ฉันถนัดด้านจัดการเอกสารที่สุด ก่อนหน้านี้ฉันเคยทำงานด้านโฆษณามาก่อน เลยมีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก”
เธอตื่นเต้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดูจากท่าทางของลู่เซิ่ง เหมือนจะมีช่องทางอยู่จริงๆ นี่ทำให้เธอมีความรู้สึกว่าถูกสัมภาษณ์อยู่
ลู่เซิ่งพิจารณาเธอขึ้นลง
“รูปลักษณ์ไม่เลว เอาแบบนี้ก็แล้วกัน บริษัทผมต้องการเจ้าหน้าที่ต้อนรับหลายคนพอดี คุณอยากทำไหมล่ะ”
“เจ้าหน้าที่ต้อนรับเหรอคะ”
“ใช่ ผมเปิดสโมสรแห่งหนึ่ง เลยอยากได้คนมาเป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับ” ลู่เซิ่งไม่ได้โกหก เขาเปิดสโมสรแห่งหนึ่งจริงๆ ความจริงเป็นฉากหน้าที่ใช้ปกปิดการชุมนุมที่ผิดปกติของโถงเก้าชีวิต
เขาเปิดสโมสรในเมืองอันหมิงสามแห่ง ต่างเอาไว้ให้สมาชิกเข้าไปฝึกฟรีๆ แน่นอนว่าด้านในมีอาหารที่จำเพาะเจาะจง และนักโภชนาการระดับสูงคอยวัดปริมาณอาหารให้เป็นการเฉพาะ
เวลานี้โถงเก้าชีวิตได้กลายเป็นแบบจำลองโครงสร้างใหม่ภายใต้การพัฒนาของไป๋จวิ้นเฉิงไปแล้ว
เปลือกนอก โถงเก้าชีวิตเป็นพันธมิตรที่ประกอบขึ้นจากสโมสรการต่อสู้และเพาะกายแบบเครือข่ายจำนวนมาก
สโมสรเหล่านี้สามารถมอบบริการและความสะดวกสบายคุณภาพสูงให้แก่สมาชิกได้
เพียงแต่ไป๋จวิ้นเฉิงเพิ่งเคยสร้างธุรกิจที่ใหญ่แบบนี้เป็นครั้งแรก บางอย่างเลยยังติดขัด
พอลู่เซิ่งเห็นเจินเหอค่ อยนึกออกว่า สามารถเพิ่มเจ้าหน้าที่ต้อนรับสาวสวยรูปร่างดีบางส่วนให้แก่สโมสรได้
ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อ เลือดอันเร่าร้อน และฮอร์โมนที่พลุ่งพล่านแบบนั้น หญิงต้อนรับรูปร่างดีจะทวีแรงดึงดูดหลายเท่าตัว
เป็นตัวกระตุ้นที่ไม่เลวสำหรับคนทั้งสโมสร
เขาเล่าเนื้อหางานที่จำเป็นบางส่วนให้เจินเหอฟังคร่าวๆ
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา” หลังจากเจินเหอแน่ใจแล้วว่าไม่มีเลศนัยใดๆ เธอก็ถามเงินเดือนแล้วตอบตกลงด้วยสีหน้ายินดีทันที
เมื่อกินข้าวเสร็จ ลู่เซิ่งก็ให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อทางนั้นกับเธอ จากนั้นต่างคนต่างแยกย้าย
เขากำลังพิจารณาเรื่องลุงใหญ่กับพ่อแม่
กำหนดการของลุงใหญ่คือวันมะรืน ซึ่งก็ใกล้ถึงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะเจอญาติของร่างจุติในโลกใบนี้
ลูกผู้น้องแต่งงานทั้งที เรื่องแบบนี้เขาไม่ไปไม่ได้
เพียงแต่เป็นไปได้ว่า จะเจอพ่อแม่ของหวังมู่ที่นั่น นี่จะกระอักกระอ่วนแล้ว
พอออกจากร้านเนื้อย่าง โทรศัพท์ของลู่เซิ่งพลันดังขึ้น
เสียงติ๊งๆ สั้นๆ ดังเป็นจังหวะ
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา ด้านบนโชว์เบอร์แปลกหน้า
“ฮัลโหล ใครครับ” ลู่เซิ่งรับสายก่อนถามตรงๆ
“ฉันเอง เซียวฉางหลิง เฮ้ๆ! มองมาทางนี้! ทางนี้!” ในโทรศัพท์มีเสียงดังมา
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้น เห็นเซียวฉางหลิงและหญิงสาวผมยาวที่สวมหมวกเบเร่ต์สีขาวคนหนึ่งตรงริมถนนพอดี ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน กำลังโบกมือมาทางตน
หญิงสาวสองคนต่างสวมกระโปรงสั้นลายดอกไม้สีขาวสลับดำ ใส่ถุงน่องสีกรมท่า คนหนึ่งสวมเชิ้ตผู้หญิงสีขาว คนหนึ่งสวมเชิ้ตสีชมพู
เซียวฉางหลินสูงกว่าเล็กน้อย ส่วนผู้หญิงอีกคนหน้าอกใหญ่กว่า ใบหน้ามีเอกลักษณ์
คนหนึ่งแต่งชุดอ่อนหวาน อีกคนแต่งชุดทะมัดทะแมง
“บังเอิญจัง หวังมู่ เธอมาเดินเล่นแถวนี้เหมือนกันเหรอ” เซียวฉางหลิงลากเพื่อนเดินเข้ามาหา ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“บังเอิญจริงๆ” ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงว่าเพิ่งกินข้าวเสร็จก็จะเจอผู้หญิงคนนี้ “ฉันยังมีธุระ ขอตัวนะ พวกเธอเดินเล่นไปก่อน เดี๋ยวไว้คุยกัน”
“ได้ ไว้ค่อยคุยกัน” เซียวฉางหลิงงุนงง ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
มองดูลู่เซิ่งเดินจากไป จนกระทั่งเขาหายไปตรงหัวโค้ง เซียวฉางหลิงค่อยหุบยิ้มแล้วมองไปยังเพื่อนสาว
“นี่เป็นเพื่อนฉัน เขาบอกว่าทำงานในห้องสมุด แต่ฉันรู้สึกว่าเขาแปลกๆ ยังไงไม่รู้”
“บ้านเขารวยมากเลยใช่ไหม” เพื่อนสาวถามเบาๆ อย่างสงสัย
“ไม่รู้สิ ไม่น่ารวยนะ…ฉันจำไม่ยักได้ว่าบ้านเขามีเงิน” ใบหน้าของเซียวฉางหลิงประหลาดใจขึ้น “เธอถามทำไม”
“พูดอะไรของเธอ เธอโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่เนี่ย สูทของเขาคือเจอร์นี ใส่รองเท้าโยเดอร์ แค่ชุดก็ปาเข้าไปหลายแสนแล้วนะ!” เพื่อนสาวกล่าวอย่างหมดคำพูด
“จริงรึเปล่า” เซียวฉางหลิงงงงัน ถามอย่างเหลือเชื่ออยู่บ้าง
“หลอกเธอแล้วได้อะไรขึ้นมา ฉันเคยเป็นผู้จัดการของโยเดอร์มาก่อน รองเท้าของพวกเขาคนธรรมดาแยกไม่ออกหรอก แต่พวกฉันเห็นมาเยอะ มองแวบเดียวก็จำได้แล้ว” เพื่อนสาวตอบเสียงเบา
“คุณสมบัติดีขนาดนี้เธอดันไม่ตามจีบ แถมให้ฉันแนะนำคนอื่นๆ ให้อีก เสียเปล่าจริงๆ” เพื่อนสาวแขวะ “ช่างเถอะ ไม่ว่าเธอแล้ว ตอนเย็นฉันต้องไปทำสปาหน้า ใกล้ถึงเวลาแล้วมั้ง”
“อืม เธอไปเถอะ จู่ๆ ฉันก็ไม่อยากไปแล้ว” เซียวฉางหลิงหน้าเปลี่ยนสีหลายรอบ พลันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
“ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อนนะ” เธอโบกรถแท็กซี่คันหนึ่งอย่างแน่วแน่ แล้วกระโดดขึ้นไป ทิ้งรอยฝุ่นไว้โดยไม่สนใจเพื่อนอีก
“เฮ้! เธอ!? เซียวฉางหลิง! เธอจะเด็ดขาดไปแล้วนะ!” ด้านหลังมีเสียงร้องเรียกของเพื่อนสาวดังมา
…
ตูม! ตูมๆๆ!
ลู่เซิ่งเปลือยร่างท่อนบน สองหมัดต่อยใส่ใบจักรที่หนักอึ้งและใหญ่โตตรงหน้าเหมือนเงาลวงตา
กระสอบทรายไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้อีกแล้ว
สิ่งที่มาแทนที่คือ ใบจักรขนาดกลางที่หนักถึงสิบตันชนิดนี้
มันยึดอยู่กับพื้น น้ำหนักถูกเพิ่มขึ้น มากพอจะรับแรงกระแทกในแนวขวางได้มากกว่าสิบห้าตันขึ้นไป
ลู่เซิ่งพอจะใช้อบอุ่นร่างกายได้
ใบจักรหุ้มหนังผืนหนาไว้ชั้นหนึ่ง
กำปั้นทุกกำปั้นของลู่เซิ่งกระจายไปตามตำแหน่งต่างๆ เพราะไม่อยากทำหนังขาดในเวลาสั้นๆ
เขาเลือกบ้านเอาไว้แล้ว รอเจ้าหน้าที่และคนงานของโถงเก้าชีวิตจัดการเสร็จค่อยเข้าไปอยู่
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการอบอุ่นร่างกายเพื่อเตรียมยกระดับชีวิตที่สี่ในคืนนี้
ดังนั้นพอเลือกบ้านเสร็จ ลู่เซิ่งก็มายังศูนย์ใหญ่ของโถงเก้าชีวิตทันที แล้วฝึกฝนแบบส่วนตัวอยู่ในเขตออกกำลังส่วนตัวที่ตนเองสร้างขึ้น
วันมะรืนเขาจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของลุงใหญ่ อย่างไรก็ต้องติดต่อกับครอบครัวของหวังมู่เพราะชาติกำเนิด
ความจริงลู่เซิ่งเป็นคนที่ไม่เคยลืมมิตรภาพ เขาให้ความสำคัญกับครอบครัวเหนือกว่าคนปกติ โดยเฉพาะหลังจากตนพลัดพรากกับลูกชาย และตอนนี้ยังหาร่องรอยไม่เจอ
ส่วนหวังมู่กับพ่อและแม่นั้น
ตอนแรกสุดพ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงหวังมู่จนโต ตากับยายเป็นคนเลี้ยงเขามา ตอนเขาอายุสิบหก คุณตาก็จากไป ตอนอายุสิบเจ็ด คุณยายก็ตรอมใจตายตามไปอีกคน
ตอนนั้นพ่อแม่ของเขาไม่รู้ไปอยู่ไหน
ต่อมาเขาค่อยทราบว่า สองคนนั้นหย่ากัน คนหนึ่งสร้างครอบครัวใหม่ ลูกชายที่ถูกหนีบอยู่ตรงกลางอย่างเขาไม่มีใครสนใจใยดี
สิ่งที่ยังโชคดีก็คือ เพราะทรัพย์สมบัติของตากับยาย บวกกับเขาหางานทำตอนเรียนหนังสือ จึงทำให้เรียนจบมหาวิทยาลัยได้
ในช่วงเวลานี้พ่อแม่ไม่เคยสนใจเขา มีแต่ลุงใหญ่ที่คอยช่วยเหลือ
ดังนั้นการตัดความสัมพันธ์ในภายหลังจึงเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
สองคนนั่นไม่อยากจะข้องเกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว จึงเลิกติดต่อกับเขาด้วยความยินดี เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อครอบครัวในปัจจุบันของตัวเอง
กลับเป็นครอบครัวฝั่งลุงใหญ่ที่ทนดูต่อไปไม่ได้
ลู่เซิ่งได้สติกลับมา หยุดการเคลื่อนไหว เดินไปดื่มน้ำที่ด้านข้าง จากนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะปิดเครื่อง
กริ๊งๆ..
ทันใดนั้นเสียงข้อความก็ดังขึ้น
เขาเปิดอ่านดู เป็นข้อความเอ็มเอ็มเอส
ในข้อความมีรูปอยู่รูปหนึ่ง
เป็นข้อความจากเซียวฉางหลิง เธอเหมือนจะนั่งอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะ มือประคองลูกนกสีขาวที่ได้รับบาดเจ็บไว้ตัวหนึ่ง
กล้องหันไปหาลูกนก ด้านล่างมีตัวอักษรพิมพ์ว่า
‘เจอลูกนกได้รับบาดเจ็บตัวหนึ่ง หวังมู่เธอมีวิธีช่วยมันไหม’
ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนี้ หากเป็นขาเรียวยาวสมบูรณ์แบบของเซียวฉางหลิงข้างใต้นกในกล้อง
เธอเบียดขาชิดกัน ชายกระโปรงหมือนถูกลมพัดพลิกขึ้นข้างบนบางส่วนโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นขางามครึ่งหนึ่งกับสีขาวที่แพลมออกมาระหว่างถุงน่องใต้กระโปรงได้อย่างรำไร
ลู่เซิ่งกวาดตามองก่อนตอบอย่างรวดเร็ว
‘237719 คือเบอร์โทรศัพท์ของกรมป่าไม้ ไม่ต้องขอบคุณนะ ฉันจะปิดเครื่องแล้ว’
ตุบ เขาปิดโทรศัพท์
จากนั้นก็ใส่มันไว้ในเคสโทรศัพท์ที่แขวนบนผนัง ก่อนจะบิดคอพร้อมเดินไปยังห้องด้านในสุด
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเซียวฉางหลิงเจอลูกนกบาดเจ็บแล้วถึงส่งข้อความหาเขา เขาไม่ใช่ผู้พิทักษ์สัตว์ป่าของกรมป่าไม้เสียหน่อย
นอกจากนั้น แม้สัญชาตญาณของหวังมู่เหมือนจะสนใจในตัวเซียวฉางหลิงมาก แต่สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการเลื่อนระดับเคล็ดวิชาของตัวเอง
เดินเข้าไปในห้องด้านในสุด ลู่เซิ่งผลักประตู ประตูค่อยๆ ปิดลง แล้วลงล็อกโดยอัตโนมัติ
อาหารแห้งพลังงานสูงสิบกว่ากล่องกองอยู่ตรงมุมกำแพง ยังมีอาหารเหลวอีกห้าหกลังที่จัดให้อย่างเข้มงวดตามความเหมาะสมของหลักโภชนาการอยู่ด้วย
ของพวกนี้เป็นการจัดเตรียมทั้งหมดของเขา
จากนั้นลู่เซิ่งก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้างห้อง
เก้าอี้ทำขึ้นจากโลหะ แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ด้านบนมีอักขระพิเศษที่ลู่เซิ่งสลักด้วยมือตัวเอง
อักขระเหล่านี้ไม่ค่อยมีผลบนโลกใบนี้มากนัก พวกมันไม่ใช่สัญลักษณ์ที่เอาไว้ควบคุมพลังงาน
ลู่เซิ่งเพียงแค่เอามาใช้โน้มนำจิตตัวเองเท่านั้น
ผลเพียงหนึ่งเดียวของมันคือทำให้คนเพ่งจิตตั้งสมาธิได้ดีกว่าเดิม
ลู่เซิ่งที่นั่งบนเก้าอี้ค่อยๆ ปรับลมหายใจและหลับตา
‘ดีปบลู’
พรุ่บ
อินเตอร์เฟซสีฟ้าเด้งออกมาอย่างฉับพลัน กรอบด้านล่างสุดขยายใหญ่ขึ้นโดยอัตโนมัติแล้วโผล่ขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่ง
[วิชาเกลียวก้าชีวิต: ชีวิตที่สาม (คุณสมบัติพิเศษ: ผิวแข็งแกร่งขึ้น, พลังกล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น, ต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น)]
‘ครั้งก่อนเสียพลังอาวรณ์ไปหลายล้าน ครั้งนี้…หวังว่าจะพอนะ’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกแล้วกดความคิดลงบนปุ่มปรับเปลี่ยน
ซู่…เครื่องมือปรับเปลี่ยนพลันสั่นไหว
‘ยกระดับวิชาเกลียวเก้าชีวิตถึงชีวิตที่สี่’
เพิ่งสิ้นความคิด กรอบทั้งกรอบก็พลันพร่ามัวแล้วกลายเป็นความโกลาหลสีเทาโดยสมบูรณ์
พลังอาวรณ์นับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากทรวงอกลู่เซิ่ง
…
ในสวนสาธารณะ
เซียวฉางหลิงวางลูกนกสีขาวไว้บนม้านั่ง หน้าตาบูดบึ้งไม่พอใจ
‘หวังมู่ ให้ตายเถอะ!’ เธออ่านข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างคับข้องใจ
ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่า ทำไมตอนนี้หวังมู่ยังไม่แต่งงานและไม่มีแฟน
อีคิวขนาดนี้ ยังคิดหาเมียอีก ฝันไปเถอะ!
เธอลุกขึ้นอย่างโมโห ก่อนจะดึงกระโปรงที่จงใจเลิกขึ้นลง
‘ซื้อบื้อจริงๆ! ฉันมันบ้าเองที่คิดจะคุยกับเจ้าหมอนี่’
เธอเดินพล่านไปมา ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเป้าหมาย แต่พิจารณาดู ไม่มีวิธีหาคู่ที่เหมาะสมเจอจริงๆ
พวกที่หน้าตาไม่เลว ก็ไม่มีสถานะ เลี้ยงดูเธอไม่ไหว หรือจะให้เธอเป็นคนเลี้ยง
พวกที่มีสถานะ ก็หน้าตาขี้เหร่ ไม่เข้าตา
คิดไปคิดมา ก็มีแต่หวังมู่คนเดียวที่สอดคล้องกับเงื่อนไข
‘ให้อ้ายอายแนะนำตัวเลือกให้ฉันดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยไปติดต่อดูก็ได้’ เซียวฉางหลิงกำลังหงุดหงิด
‘ใช้วิธีการตอนจีบต้วนหลานทำความเข้าใจความตื้นลึกหนาบางของเขาดูก่อน ถ้าสำเร็จค่อยบุก! ถ้าไม่ไหวนายก็ไสหัวไปไกลๆ เถอะ!’
……………………………………….