ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1031 งานเลี้ยงแต่งงาน (1)
กลางทะเลสาบหยวนเล่อมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง คนในท้องที่เรียกว่าเกาะกระดิ่งทอง ว่ากันว่ามีกระดิ่งทองแขวนอยู่บนนั้นเป็นเวลาร้อยปี ภายหลังหายไปอย่างลึกลับ
ไม่มีใครรู้ว่ากระดิ่งทองมาได้อย่างไร และไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปได้อย่างไร
แต่นั่นเป็นตำนานเล่าขานในอดีต บนเกาะกระดิ่งทองในตอนนี้ปลูกดอกไม้สีแดงไว้เต็มไปหมด
คนไม่น้อยซื้อที่ดินบนเกาะเพื่อปลูกสวนผลไม้ บางคนซื้อริมหาดเพื่อเลี้ยงปลา
นอกจากนั้นในแต่ละปี ที่นี่ยังเป็นที่รวมตัวของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
บนเกาะเล็กที่กินเนื้อที่มากกว่าพันตารางเมตร อัดแน่นด้วยการท่องเที่ยวเชิงเกษตรสิบกว่าแห่ง รวมถึงความบันเทิงและทิวทัศน์มากมาย
แม้จะเป็นยุควิทยาการ แต่ที่นี่ก็ไม่มีร่องรอยความเจริญทางเทคโนโลยีใดๆ
“ช่วย…ช่วยด้วย!” ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลืออันแหลมสูงดังมาจากริมหาด
ซู่ม
ชายที่เปลือยท่อนบนคนหนึ่งกระโดดลงไปในน้ำ ว่ายน้ำเข้าหาหญิงสาวที่กำลังสำลักน้ำอยู่ไกลออกไป
ไม่นานนัก เขาก็ใช้แรงทั้งหมดอุ้มหญิงสาวขึ้นฝั่ง ตัวเองนอนหอบหายใจอยู่ริมหาดอย่างเหน็ดเหนื่อย
หลังพักผ่อนครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นจากไป
“เดี๋ยวก่อนสิ โทรศัพท์ฉันยังอยู่ในน้ำ! โทรศัพท์ฉัน!” หญิงสาวคนนั้นดึงเขาไว้พลางร้องตะโกน
“คุณหนู น้ำเชี่ยวขนาดนี้ ต่อให้งมโทรศัพท์คุณขึ้นมาได้ก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี” ผู้ชายกล่าวอย่างจนปัญญา
“คุณมาจากทีมช่วยชีวิตใช่ไหม ฉันให้เงินคุณสามพัน! คุณช่วยงมโทรศัพท์ฉันมาให้ที! รีบหน่อย!” หญิงสาวคนนั้นสวมเครื่องประดับแพรวพราว ทำท่าบงการ
“ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ…” ผู้ชายตอบอย่างจนใจ เขาแรงน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ช่วยคนขึ้นมาได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
“ฉันไม่สน ถ้าคุณไม่งมโทรศัพท์ฉันขึ้นมา ฉันจำหน้าคุณไว้แล้ว คุณหนีไม่รอดแน่ จำเอาไว้!”
ณ ริมหาด
ชายวัยกลางคนที่สูงใหญ่ล่ำสันคนหนึ่งสวมแว่นกันแดดสีชา เด็กหนุ่มที่ผอมอยู่บ้างคนหนึ่งติดตามอยู่ด้านหลังเขา
ทั้งสองคนมองชายหนุ่มที่กำลังคุยเหตุผลกับหญิงสาวอยู่ไกลๆ
“เขาทำเรื่องดีแท้ๆ ทำไมถึงไม่ได้รับผลตอบแทนดีๆ กัน” ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“เป็นเพราะคนอื่นคิดว่าเรื่องที่เขาทำไม่มีอะไรแปลกล่ะมั้งครับ” เด็กหนุ่มด้านหลังครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนตอบ
“ถูกต้อง” ชายวัยกลางคนพยักหน้า “เป็นเพราะเขาช่วยคนผิด คนที่เขาช่วยไว้ยังไม่เจอวินาทีที่สิ้นหวังที่สุด ดังนั้นเลยไม่นึกขอบใจเขา”
“วินาทีที่สิ้นหวังที่สุดเหรอครับ” เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ
“เหมือนกับครอบครัวที่พวกเราต้องไปหานั่นแหละ” ชายวัยกลางคนมองผู้ชายที่ช่วยคน ถูกหญิงสาวดึงเสื้อไว้ไม่ยอมปล่อย
“แต่เกิดสภาพการณ์ไม่ถึงสุดโต่งขนาดนั้น จะทำยังไงล่ะครับ” เด็กหนุ่มถามอีก
“ง่ายมาก”
ชายวัยกลางคนเดินเข้าไป
หมับ
เขาจิกผมของหญิงสาวที่กำลังทำตัวไร้เหตุผลคนนั้น ยกตัวเธอลอยขึ้นแล้วโยนลงไปในน้ำ
ตูม
“กรี๊ด! ช่วยด้วย!”
เสียงโหยหวนและเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นพร้อมกัน
ชายจากทีมช่วยชีวิตคนนั้นตกตะลึง พอเห็นหญิงสาวตกน้ำ ก็คิดจะโดดลงไปช่วยเหลือโดยสัญชาตญาณ
เปรี้ยง!
ชายวัยกลางคนสับมือใส่ข้างคอของเขา เขาพลันสลบ ลุกไม่ขึ้นอีก
“ตอนนี้เธอสิ้นหวังแล้ว” ชายวัยกลางคนมองหญิงสาวที่ดิ้นรนอยู่ในน้ำอย่างเรียบเฉย ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังที่ไกล
“อาจารย์หวัง เธอจะตายไหมครับ” เด็กหนุ่มอดถามไม่ได้ ขณะมองหญิงสาวที่กำลังดิ้นรน เขาก็เหมือนจะทนไม่ไหว
“ใครจะไปรู้ล่ะ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “ชีวิต คือการเลือกครั้งแล้วครั้งเล่า และพวกเราก็ต้องรับความเปลี่ยนแปลงและผลที่ตามมาขณะที่เลือก”
เขาเว้นเล็กน้อย
“อย่างเช่นเธอคนนั้น ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครช่วย เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น ฉันก็แค่ช่วยสงเคราะห์ให้เธอตายเร็วขึ้น”
เด็กหนุ่มสะอึกอยู่ชั่วขณะ ไม่ทราบควรพูดอะไรดี
แม้ในใจเขาจะรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่กลับบอกไม่ถูกว่าไม่ถูกต้องตรงไหน
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งพาเขาเดินไปยังเขตท่าเรือที่อยู่ไกลออกไป
เขารู้ว่า อาจารย์ทำให้สถานการณ์กลับมาเหมือนเดิม เพื่อมอบโอกาสใหม่ให้กับผู้ช่วยชีวิตและหญิงสาวคนนั้น โอกาสในการเลือกใหม่
ครั้งนี้ที่พวกเขามาที่เกาะแห่งนี้ ก็เพราะมีเป้าหมายแบบนี้เช่นกัน
สมาชิกหลักของตระกูลพราดูนปกติจะพักอยู่บนเกาะแห่งนี้ ตระกูลใหญ่ซึ่งทำธุรกิจเหมืองหินกิเลนที่ใหญ่ที่สุดประจำมณฑล ตระกูลนี้มีสมาชิกหลักทั้งหมดสามคน
โอลินน์ พราดูน ซีซาร์ พราดูน และหลี่เจ๋อ พราดูน
สามคนนี้ควบคุมธุรกิจเหมืองเกือบทั้งหมดของตระกูล แทนที่จะบอกว่าพวกเขาเป็นคนของตระกูลพราดูน ควรบอกว่าตระกูลพราดูนเจริญรุ่งเรืองขึ้นเพราะพวกเขาดีกว่า
ในบรรดาสามคนนี้ หลี่เจ๋อ พราดูนเป็นหัวหน้า นำคนอีกสองคนควบคุมกิจการของตระกูลทั้งหมด
การโจมตีของโถงเก้าชีวิตกินพื้นที่ใหญ่โต แต่ก็ซ่อนเร้นเป็นอย่างยิ่ง ตระกูลพราดูนจึงยังสัมผัสไม่ได้
และที่ลู่เซิ่งพาเว่ยหานตงมา เพราะมีเป้าหมายอีกอย่าง
ทั้งสองเดินไปตามเขตท่าเรือ ลัดเลาะเลียบชายฝั่งอยู่สักพัก ไม่นานก็เห็นกลุ่มคฤหาสน์ริมฝั่งกลุ่มเล็กๆ
คฤหาสน์แห่งนี้ยึดครองพื้นที่ครึ่งเล็กๆ ของเกาะทั้งเกาะ
“มาถึงแล้วครับ” เว่ยหายตงอ่านแผนที่ “ปกติหลี่เจ๋อจะพักอยู่นี่ เสแสร้งเป็นนักวิชาการอายุน้อยธรรมดาๆ กับคนอื่น ออกบ้านเช้ากลับบ้านค่ำ จนถึงตอนนี้ ครอบครัวของเขาที่อยู่ที่นี่ยังไม่ระแคะระคายว่าเขาเป็นผู้ควบคุมใหญ่สุดของพราดู มีทรัพย์สินมากกว่าแสนล้าน”
“นี่เป็นชีวิตที่เขาเลือก” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ละทิ้งชื่อเสียง ความสุข ความหรูหรา เพื่อรักษาความสงบและความอบอุ่นเอาไว้ เขาทำได้ไม่เลวจริงๆ เพราะอย่างหลังหายากกว่าอย่างแรก”
เวลานี้เว่ยหานตงเริ่มเข้าใจแล้ว
“ความจริง ความหรูหรา ชื่อเสียง และความสุข เป็นสิ่งที่หามาได้ทุกเวลาหากมีอำนาจและทรัพย์สมบัติ แต่ถ้าสูญเสียอย่างหลังไปก็ไม่มีอีกแล้ว เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้”
“เธอเข้าใจก็ดีแล้ว เงินทองเป็นเครื่องมือที่เอาไว้ใช้แลกเปลี่ยนทรัพยากรเท่านั้น และอำนาจก็ซื้อความจริงใจและกาลเวลาที่ผ่านเลยไปไม่ได้”
ลู่เซิ่งก้าวเท้ายาวๆ ไปยังเขตคฤหาสน์
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนที่อารักขาประตูรีบเข้ามา เพื่อสอบถามความเป็นมา แต่ลู่เซิ่งเพียงแค่ยกมือขึ้นแล้ววาดลงอย่างเงียบเชียบ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกคนพลันตาลอย พอได้สติกลับมา ตรงหน้าก็ไม่เหลือใครแล้ว
พวกเขากลับไปยังตำแหน่งของตัวเองเหมือนไม่มีอะไร แล้วทำเรื่องที่เมื่อครู่ยังทำไม่เสร็จต่อไป
ในชุมชนมีผู้สูงอายุนั่งเล่นหมากรุกและสนทนากันอยู่ด้านนอกไม่น้อย ยังมีคนแก่พาเด็กมาเล่นเครื่องเล่นในสวนสาธารณะด้วย
อากาศเย็นฉ่ำ อุณหภูมิกำลังดี คนที่ออกมาด้านนอกจึงมีไม่น้อย
ตอนพวกลู่เซิ่งเดินไปถึงหน้าประตูอาคารแห่งหนึ่ง เด็กผู้หญิงที่มัดผมแกละสองข้างคนหนึ่งก็วิ่งลงมาจากบนอาคารพอดี
ครั้นเด็กผู้หญิงเห็นพวกลู่เซิ่ง ฝีเท้าก็ผ่อนช้าลง เหมือนจะกลัวอยู่บ้าง เป็นเพราะรูปร่างของสองคนนี้ดูผิดปกติเกินไป
ลู่เซิ่งล่ำสันกว่าเดิม ร่างสูงเกือบสองเมตร ยืนบังผู้ใหญ่ไว้ในเงาได้ ครั้งนี้ที่ออกมา เขาไม่ได้อำพรางรูปลักษณ์ไว้ ตอนอยู่เมืองอันหมิง ความจริงเขาใช้วิชาประเภทหดกระดูกตลอดเวลา เพื่อรักษารูปร่างไว้
แต่หลังจากออกมาก็ไม่ควบคุมตัวเองอีก
เว่ยหานตงที่อยู่ด้านหลังเขาสูงหนึ่งเมตรแปดสิบเซ็นติเมตรกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งต่อให้สวมเสือยืดตัวใหญ่ก็ปกปิดไม่มิด บุคลิกแน่วแน่เด็ดขาด นี่เป็นสนามพลังที่เกิดขึ้นตอนติดตามไป๋จวิ้นเฉิงไปเก็บหินกิเลนตามที่ต่างๆ
ทั้งสองยืนขวางปากบันไดเอาไว้ แทบปิดตายทางเข้าออก
“ไม่ต้องกลัว หนูน้อย บอกลุงหน่อยได้ไหมว่าบ้านหลี่เจ๋ออยู่ไหน” ลู่เซิ่งยิ้มแย้มพร้อมก้มหน้าพูดกับเด็กผู้หญิง
คฤหาสน์แห่งนี้มีอาคารสี่หลัง หากไม่ถามให้แน่ใจต้องไล่หาไปทีละหลัง
เด็กผู้หญิงก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างหวาดกลัว เกือบจะทรุดล้มลงบนบันได
“หนู…หนูไม่รู้ค่ะ…” ใบหน้าของเธอฉายแววกระวนกระวาย จู่ๆ ก็กลืนน้ำลาย ก่อนจะมุดผ่านใต้ข้อศอกของลู่เซิ่งแล้วหนีออกไป
ลู่เซิ่งก็ไม่ขวางไว้ เพียงแค่มองตามเธอจากไป
“ตามข้อมูล เป็นชั้นสองของที่นี่ ชั้นสองและชั้นสามเป็นของครอบครัวเขาทั้งหมด” เว่ยหานตงเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้านหลังเขา
“ความจริงเด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้ก็เป็นคนในครอบครัวเขาเหมือนกันครับ”
“ฉันรู้” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาย่อมรู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของหลี่เจ๋อ ความจริงเขายังรู้อีกเช่นกันว่า ตั้งแต่เขาเข้ามาในเขตนี้และมาถึงที่นี่ อีกฝ่ายรับรู้แล้ว
เมื่อครู่ที่เขาก้มหน้าถาม ก็เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย
ทั้งสองไปนั่งลงในศาลาที่เย็นฉ่ำด้านข้าง
เว่ยหานตงหยิบน้ำและแท่งอาหารแห้งพลังงานสูงออกมาจากเป้สะพายหลังอย่างคุ้นเคย จากนั้นค่อยหยิบเครื่องต่อต้านการสอดแนมติดตัวออกมา เพื่อทดสอบและศึกษาสภาพรอบๆ อย่างละเอียด
“หลี่เจ๋อเป็นผู้ใช้พลังจิต เคยเข้าร่วมสหพันธ์ผู้ใช้พลังจิตระดับสูงหลายแห่ง ต่อมาค่อยลาออกโดยไม่ทราบเหตุผล หากพวกเราต้องการเกลี้ยมกล่อมให้เขาโอนธุรกิจหินกิเลนให้ สามารถลงมือผ่านทางผู้ใช้พลังจิตได้” เว่ยหานตงแนะนำ
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอก” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “เดี๋ยวเขาจะรู้เจตนาการมาของพวกเราเอง นอกจากนี้ เขาจะตอบตกลงด้วย”
เว่ยหานตงงุนงงอยู่บ้าง แต่พอเห็นว่าอาจารย์ผุดสีหน้าเรียบเฉย เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร
ทั้งสองนั่งอยู่ที่นี่สิบกว่านาที
ไม่นานก็มีชายวัยกลางคนสีหน้าอึมครึมซึ่งดูมีอายุราวๆ สี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง ถือหีบเล็กๆ ใบหนึ่งสาวเท้าเข้ามาใกล้คนทั้งสอง
เขามีหน้าตาเป็นมิตรมาก ไม่แตกต่างจากคุณครูทั่วไป ไร้บุคลิกของผู้แข็งแกร่ง
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำแบบเก่า เมื่อเดินมาถึงด้านหน้าศาลา สายตาก็จ้องมองลู่เซิ่งอย่างเย็นชา
เขาแทบจะมองออกในทันทีว่าลู่เซิ่งเป็นผู้นำ
“บอกเป้าหมายของพวกคุณมา โถงเก้าชีวิต พวกคุณออกจากเมืองอันหมิงมาทำอะไรในถิ่นฉัน”
“กำไรขาดทุนในโลกไม่เคยเปลี่ยนแปลง” ลู่เซิ่งยังคงนั่งขณะมองคนคนนี้
“หลี่เจ๋อ ฉันต้องการแร่หินกิเลน แร่หินกิเลนทั้งหมดของตระกูลนาย”
“เอาอะไรมาซื้อล่ะ” หลี่เจ๋อยังคงใช้น้ำเสียงเย็นชา
“ชีวิตนาย พอไหม” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเมินเฉย
หลี่เจ๋อกลับยิ้มแทนที่จะโกรธ
“แกควรจะไปสืบว่าฉันมีชื่อว่าอะไรในสหพันธ์พลังจิต ไม่ได้ลงมือมาหลายปี ดูเหมือนคนอื่นจะลืมชื่อฉันไปแล้ว…”
ในกระเป๋าถือของเขามีเสียงหึ่งๆ ดังมาเบาๆ
“นายเป็นคนที่รู้จักตัวเองดีมาก” ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้น เขาสวมเสื้อกล้ามสีดำแนบเนื้อ ตราประทับสามจุดบนแขนขวามีสีสดเหมือนเลือดยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าอยากตายต่อหน้าลูกสาวตัวเอง ฉันจะสนองความต้องการให้” ลู่เซิ่งพูดอย่างสงบ
เขาพลันยกมือขึ้นแล้วคีบนิ้ว
เคร้ง!
เกิดเสียงปะทะดังเบาๆ เข็มโลหะผสมแหลมคมที่เล็กเหมือนเส้นขนวัวถูกเขาหนีบไว้ระหว่างนิ้ว
หลี่เจ๋อลงมือโดยไม่พูดอะไรสักคำ เส้นเอ็นหน้าผากเขาปูดโปน พลังจิตทำงานอย่างคลุ้มคลั่ง
แต่ลวดโลหะนั่นเหมือนกับถูกจักรกลขนาดยักษ์บางชนิดหนีบเอาไว้จนขยับเขยื้อนไม่ได้ ลวดโลหะกึ่งโปร่งแสงเริ่มแดงและร้อนขึ้น มันถึงขั้นเกิดร่องรอยหลอมละลายภายใต้การส่งเสริมและต่อต้านของพละกำลังยิ่งใหญ่สองสาย
……………………………………….