ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1032 งานเลี้ยงแต่งงาน (2)
“ไร้ความหมายสิ้นดี” มีการสั่นไหวเล็กๆ ส่งมาจากข้างใต้เท้าลู่เซิ่ง เขาส่งพลังมากมายไปยังใต้ดิน เพื่อใช้พื้นดินสลายแรงปะทะ
ผู้ใช้พลังจิตระดับสูงทั้งหมดระเบิดพลังทั้งหมดมารวมกันไว้บนลวดเส้นเล็กเส้นหนึ่ง เป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่ง
ลวดโลหะเส้นนี้ไม่ทราบว่าทำจากอะไร ภายใต้การปะทะกันระหว่างพลังอันมหาศาล มันกลับไม่ขาด ความทนทานสูงจนไม่อาจบรรยาย
“นายรู้ไหมว่าทำไมฉันมาที่นี่เอง” ลู่เซิ่งย่างสามขุมเข้าหาหลี่เจ๋อ
พลังจิตของหลี่เจ๋อด้อยกว่าเจิ้งฮวนไม่น้อย แม้จะเป็นผู้ใช้พลังจิตระดับสูงเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างด้านพลังเช่นกัน
“แก…!” หลี่เจ๋อในตอนนี้เหงื่อแตกเต็มศีรษะ เส้นเลือดปูดโปนขึ้นทั่วร่าง ใช้พลังทั้งหมดที่มีแล้ว
แต่ลู่เซิ่งยังคงต้านพลังจิตทั้งหมดของเขาได้ พร้อมกับเดินเข้าหาเขาทีละก้าวๆ
เขาเข้าใจในทันทีว่า ตัวเองน่าจะเจอยอดฝีมือระดับสุดยอดเข้าแล้ว ว่ากันว่าเหนือกว่าผู้ใช้พลังจิตระดับสูงยังมีระดับสุดยอดที่แข็งแกร่งกว่าอยู่
คนที่อยู่ระดับนั้นเทียบได้กับกองยานระดับทำลายดาวที่ยิ่งใหญ่กองหนึ่ง
“ชีวิตคนต้องเผชิญกับตัวเลือกมากมายตลอดเวลา” ลู่เซิ่งกล่าวอีกรอบ “ตอนนี้ ถึงเวลาที่นายจะเลือกอีกครั้งแล้ว…”
ตระกูลพราดุน เคยเผชิญความวุ่นวายมามากมาย และเคยเผชิญตัวเลือกหลากหลาย แต่ตอนนี้…
หลี่เจ๋อรู้สึกว่าตนกำลังเผชิญตัวเลือกที่ยากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
อีกฝ่ายถึงกับมาหาตนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลโดยไร้ความเกรงกลัว
ตนในฐานะผู้ใช้พลังจิตระดับสูง เบื้องหลังไม่เพียงมีขุมกำลังของผู้ใช้พลังจิตเท่านั้น ยังมีเส้นสายขนาดมหึมา และความสัมพันธ์กับข้าราชการระดับสูงในประเทศเช่นกัน
แต่ทุกสิ่งนี้ยึดโยงอยู่กับสถานะผู้ใช้พลังจิตระดับสูงของเขา
และตอนนี้…
“แกเป็น…ใครกันแน่” หน้าผากเขามีแต่เหงื่อ เมื่อครู่นี้ ในสิบนาทีสั้นๆ เขาได้แปลงความสามารถโจมตีด้วยพลังจิตที่ตรวจจับได้ยากไปแล้วหลายชนิด
แต่พวกมันเหมือนกับไม่มีผลต่อผู้ชายคนนี้ ไร้การตอบสนองใดๆ
“ก็อย่างที่นายเห็น ฉันคือหวังมู่แห่งโถงเก้าชีวิต ฉันมาที่นี่ก็เพราะ ฉันยินดีให้โอกาสนายครั้งหนึ่ง” ลู่เซิ่งวางเข็มโลหะผสมที่เล็กเหมือนเส้นขนวัวเส้นนั้นลงบนกระเป๋าถือของหลี่เจ๋อ
“นายติดอยู่ที่เดิมมาสามปีแล้วใช่ไหม” เขาถามอีก
หลี่เจ๋อม่านตาหดตัว
“แกรู้ได้ยังไง! แกเป็นใครกันแน่”
“ฉันทำให้นายแข็งแกร่งขึ้น…กว่าเดิมได้” ลู่เซิ่งถอดแว่นตาออก เผยให้เห็นสองตาแปลกประหลาดที่ปรากฏสีแดงจางๆ
ณ ส่วนลึกของม่านตาสองข้าง เหมือนมีวังวนที่ล้ำลึกชนิดหนึ่งกำลังหมุนช้าๆ
หลี่เจ๋อเพียงกวาดมองตาคู่นี้โดยไม่ได้ตั้งใจก็พลันตกตะลึง หัวสมองหยุดทำงานทันที
เมล็ดทำลายจิตที่ไร้รูปร่างถูกฝังเข้าไปในวิญญาณของเขาอย่างเงียบงัน
…
บริษัทเหมืองกิเลนที่ตระกูลพราดูนแห่งมณฑลอานุสครอบครอง เปลี่ยนเจ้าของอย่างไร้ข่าวคราว
ประมุขตระกูลหลี่เจ๋อ สวามิภักดิ์กับลู่เซิ่ง เหมืองหินกิเลนของเขาย่อมไม่มีความจำเป็นต้องโอนย้าย
ลู่เซิ่งไปยังโกดังของตระกูลพราดูน แล้วอยู่ที่นั่นถึงอีกวัน
ตอนที่ออกมา เขาก็มีพลังอาวรณ์สองพันกว่าล้านโผล่ขึ้นมาบนร่าง
ในเวลานี้เอง โถงเก้าชีวิตได้จัดพิธีรับสมาชิกใหม่ขึ้นที่เมืองอันหมิง
หลี่เจ๋อและผู้ใช้พลังจิตระดับสูงสองคนจากตระกูลของเขาเข้าร่วมกับโถงเก้าชีวิตพร้อมกัน
เมื่อข่าวกระจายออกไป มณฑลอานุสก็เกิดความปั่นป่วน
ขุมกำลังของตระกูลพราดูนกระจายอยู่ทั่วมณฑล แทบกล่าวได้ว่าเป็นผู้ทรงอำนาจ
ทว่าประมุขตระกูลของตระกูลที่ยิ่งใหญ่นี้และผู้ใช้พลังจิตอีกสองคน กลับเข้าร่วมองค์กรเล็กๆ ที่เพิ่งผาดขึ้นมาได้ไม่ถึงปี
องค์กรปริศนาขนาดเล็กที่คล้ายกับขุมกำลังเอกชน
แม้ข่าวใหม่อันใหญ่โตนี้จะไม่ได้มีการประกาศทางสื่อบันเทิง แต่พวกที่มีการข่าวฉับไวในวงการจำนวนไม่น้อย ก็เกิดความสนอกสนใจอย่างรุนแรงต่อองค์กรใหม่อย่างโถงเก้าชีวิต
ลู่เซิ่งไม่สนใจ ขอแค่ไม่ใช่พวกที่แข็งแกร่งเหมือนเขา เมื่อจิตใจเกิดสั่นคลอนหลังเขาเอาชนะได้ ก็จะถูกฝังเมล็ดทำลายจิต กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งใต้สังกัดเขา
หลี่เจ๋อกับตระกูลพราดูนเป็นหนึ่งในจำนวนนี้เท่านั้น
และตอนนี้ เขาก็แก้ไขความเร่งด่วนของการขาดหินกิเลนได้แล้ว น่าจะเพียงพอสำหรับการยกระดับของชีวิตที่ห้าในขั้นต่อไปแล้ว พลังอาวรณ์จำนวนสองพันกว่าล้านหน่วยทำให้เขาสะท้อนใจว่า สมกับเป็นโลกระดับพลังงานสุดยอด
นี่ยังเป็นแค่ดาวเคราะห์ดวงเดียวเท่านั้น กลับเก็บเกี่ยวพลังอาวรณ์ได้มากมายขนาดนี้
ต่อจากนั้น ก่อนที่จะย่อยสลายเหมืองหินกิเลนของตระกูลพราดูนเสร็จ เขาไม่คิดจะลงมือขยายอำนาจด้วยตัวเอง การขุดเหมืองหินกิเลนจำเป็นต้องใช้เวลา แต่เขารอนานขนาดนั้นไม่ได้
ผ่านไปอีกสักพัก เขาก็วางแผนออกจากเมืองอันหมิงไปยังเขตเหมืองเพื่อดูดซับพลังอาวรณ์โดยตรง ส่วนที่อื่นๆ ให้คนของเขาขุดค้นและขยับขยายด้วยตัวเอง
แต่ก่อนหน้านั้น เขาจะต้องไปเข้าร่วมงานแต่งงานของลูกผู้น้องของหวังมู่ หรือลูกชายของลุงใหญ่ก่อน
…
แถบชานเมืองอันหมิง ในโรงแรมว่านฝูเร่อ
ในโถงงานเลี้ยงของโรงแรม
โต๊ะกลมมากมายที่จัดวางเหล้าและเครื่องดื่มเป็นสัญลักษณ์ของงานเลี้ยงแต่งงานไว้
ลุงใหญ่ของหวังมู่ หวังจวินหาวพาหวังเฉิงผู้เป็นลูกชายไปยืนต้อนรับแขกอยู่ที่ทางเข้า
หวังจวินหาวอายุเลยเลขเจ็ดแล้ว ดูเหมือนยังคงมีกำลังวังชา หวังเฉิงเป็นลูกที่เขาได้มาตอนแก่ จึงรักทะนุถนอม และลูกชายก็เป็นคนมุมานะ ไม่ได้ถูกตามใจจนเสียคน เรียนเก่ง วางตัวดี และมีนิสัยอ่อนโยนตั้งแต่ยังเด็ก
หน่วยงานของหวังเฉิงคือโรงกลั่นเหล้าสาธารณะในเมือง ถือเป็นฝ่ายบริหารของรัฐวิสาหกิจ เหล้าที่ผลิตส่วนใหญ่มอบให้ข้าราชการระดับสูงเท่านั้น ไม่ขายให้คนอื่น
ครั้งนี้เขาแต่งงาน โรงงานได้มอบเหล้าให้ขวดละโต๊ะ ถือเป็นของขวัญอวยพร นี่ทำให้หวังเฉิงและพ่อของเขาหวังจวินหาวค่อนข้างมีหน้ามีตา
หวังจวินหาวทำงานในโรงงานยาสูบมาหลายสิบปี ยังไม่เคยได้รับเกียรติขนาดนี้มาก่อน
แขกที่เข้ามา เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ขณะเห็นว่าใกล้จะบ่ายสองโมง กำลังจะเริ่มงานเลี้ยงแต่งงานอย่างเป็นทางการแล้วนั่นเอง
หลังจากหวังจวินหาวส่งแขกเข้าไปอีกคนเสร็จก็มองนาฬิกาข้อมือ
“ลูกผู้พี่ลูกล่ะ” เขาถามหวังเฉิงที่แต่งสูทเจ้าบ่าว
“ไม่เห็นครับ…แต่เขาโทรบอกผมแล้วว่าจะมาแน่” หวังเฉิงยิ้มฝืดเฝือ
เขาเองก็ค่อนข้างจนปัญญากับลูกผู้พี่อย่างหวังมู่เช่นกัน
เขาอยากจะแนะนำงานอื่นให้หวังมู่มาโดยตลอด หากสวัสดิการดี ก็จะเก็บสะสมเงินเพื่อซื้อบ้านและแต่งงานได้
แต่อย่างไรหวังมู่ก็ไม่ยอม เป็นคนหัวดื้อ
“เจ้าหลานคนนี้…เฮ้อ ไม่บล็อกเบอร์โทรศัพท์ก็นับว่ามีพัฒนาการแล้ว อีกเดี๋ยวพ่อจะโทรศัพท์หามันดู ถึงเวลาแล้วลูกรีบเข้าไปนะ พิธีกรจะจัดการให้เอง” หวังจวินหาวสั่ง “อย่าให้เยี่ยนเยี่ยนรอนาน”
“ครับ ผมรู้แล้ว” หวังเฉิงรีบพยักหน้า
ตอนแรกเขาคิดจะหมั้นเฉยๆ แต่เพราะความสัมพันธ์พัฒนาไวเกินไป เลยถือโอกาสเปลี่ยนเป็นแต่งงานเสียเลย
จัดพร้อมกับงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์มหาวิทยาลัยของน้องสาวไปเลย
ทั้งสองรออยู่อีกสักพัก ในที่สุดก็เป็นหวังเฉิงที่ตาไว เห็นลู่เซิ่งที่เดินลงจากรถแท็กซี่อย่างสบายอารมณ์
เขารีบเดินเข้าไปจับแขนหวังมู่
“ทำไมเพิ่งมา เร็วหน่อย ขาดพี่คนเดียว! ฉันจะพาพี่ไปที่โต๊ะเอง!”
ลู่เซิ่งพลิกดูความทรงจำของหวังมู่ ก่อนจะเปรียบเทียบชายสวมสูทเจ้าบ่าวคนนี้กับหวังเฉิงลูกผู้น้องของหวังมู่
เขาเพิ่งจะใช้วิชาหดกระดูกบีบร่างให้เล็กลงส่วนหนึ่ง ทำให้ล่ำสันกว่าเดิมเล็กน้อย นับว่าเหมือนคนปกติ
เขาปล่อยให้หวังเฉิงลากเข้าไปในโถงแต่งงาน ลู่เซิ่งทักทายกับคุณลุงหวังจวินหาว และคุณป้าที่นั่งอยู่ด้านข้าง ก่อนจะถูกหวังเฉิงพาไปนั่งที่โต๊ะญาติๆ
แม้จะบอกว่าเป็นญาติ แต่ลู่เซิ่งกวาดตามองดู คนที่นั่งอยู่รอบๆ ล้วนไม่ใช่คนที่เขารู้จัก
เหมือนจะเป็นญาติฝั่งหญิง
น้องสาวห่างๆ ก็นั่งอยู่โต๊ะนี้เช่นกัน อยู่ตรงข้ามเขาพอดี
ปีนี้หวังจื่ออวิ๋นน้องสาวห่างๆ เพิ่งอายุสิบแปดปี กำลังสอบติดมหาวิทยาลัย เตรียมไปเรียนต่อต่างประเทศ ตอนนี้อยู่ในวัยบานสะพรั่ง
เพียงแต่เธอไม่คุ้นกับลูกผู้พี่อย่างหวังมู่ เลยเอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์
ลู่เซิ่งเองก็ไม่สนใจ เขาคิดจะนั่งสักพัก ดื่มเหล้าสักแก้วแล้วค่อยไป
คนที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของเขาเป็นหญิงสาวสวมชุดยาวสีเขียว ใบหน้ารูปทรงแต่งหมดจด สองขาใต้ชายกระโปรงนับว่าสมส่วน เพียงแต่อวบไปเล็กน้อย เลือกสวมถุงน่องสีดำที่รัดติ้ว มันรัดสองขาและสะโพกจนตึง มองไปให้ความรู้สึกถึงเนื้อหนัง
“คุณเป็นญาติฝั่งผู้ชายนี่ ทำไมรู้สึกว่าฝั่งผู้ชายคนไม่ค่อยเยอะล่ะ” หญิงสาวคนนี้พูดอย่างเปิดเผย ทำท่าเหมือนชวนคุย
“ผมเองก็ไม่รู้ เพิ่งจะมาถึงน่ะ” ลู่เซิ่งตอบ
“รู้สึกว่าแสงไฟสว่างเกินไปหน่อยนะ” เธอบ่น “มีแต่สปอทไลต์ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเลย”
ลู่เซิ่งขี้เกียจตอบ เพียงแค่กวาดตามองรอบๆ เพื่อตรวจสอบว่าพ่อแม่ของหวังมู่มาไหม
พ่อของหวังมู่เป็นน้องชายของลุงใหญ่ อาจจะมา แต่แม่นั้นแตกต่าง ไม่ได้สนิทกันนัก ไม่แน่ว่าจะมา
เวลานี้ลุงใหญ่กับหวังเฉิงเข้ามาแล้ว พิธีกรเริ่มแผนงาน เจ้าสาวเป็นหญิงสาวร่างผอมเรียวและหน้าตาดูดี
แม้ไม่นับว่าสวย แต่ดูอ่อนโยนมาก มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
พิธีกรที่อยู่ด้านบนพูดบรรยาย ทั้งสองคอยเคลื่อนไหวและพูดตาม เสียงเพลงดังขึ้น กลายเป็นเพลงเข้าพิธีแต่งงาน
แขกด้านล่างปรบมือตลอดเวลา บรรยากาศค่อนข้างคึกคัก
หลังกล่าวคำพูดเสร็จ ก็เป็นการสวมแหวน ต่อด้วยการเดินโชว์ตัว พอเดินจบ ทั้งสองก็เหนื่อยแทบหอบ
ลู่เซิ่งนั่งมองอยู่ด้านล่างด้วยรอยยิ้ม แม้ไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่หวังเฉิงกับหวังมู่มีความสัมพันธ์ดีมาก คุณลุงเองก็สนิทกับหวังมู่มาก พลอยทำให้เขามีภาพความทรงจำที่ไม่เลวต่อครอบครัวของคุณลุงไปด้วย
ครั้งนี้นึกว่าจะแค่หมั้นเฉยๆ เลยไม่ได้ให้ของขวัญมีค่าเท่าไหร่ แต่ตอนนี้กลายเป็นการแต่งงาน ของขวัญเมื่อก่อนหน้านี้จึงควรเปลี่ยน
ลู่เซิ่งกำลังใคร่ครวญว่าอีกเดี๋ยวจะมอบของขวัญอะไรให้ดี
…
นอกชานเมืองอันหมิง ในที่รกร้างริมทาง
เจิ้งฮวนกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น หยิบเข็มโลหะผสมโปร่งแสงที่เล็กเหมือนเส้นขนวัวเส้นหนึ่งออกมาจากพื้นเบาๆ พลางขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อครู่เขาเพิ่งจะเปิดพิกัด เตรียมแจ้งเพื่อนร่วมงานเมื่อก่อนหน้าว่าจะยกเลิกการร่วมมือ
กลับนึกไม่ถึงว่าจะได้รับข่าวจากเพื่อนร่วมงานทันที
ร่องรอยของเขาถูกเปิดเผยตั้งแต่ต้นแล้ว ตระกูลโฮรัสได้ส่งสมาชิกออกมากำจัดเขาอย่างเป็นทางการ
เขาในตอนนี้ไม่เหลือการคุ้มครองจากสมาชิกของสหพันธ์อีกต่อไป เป็นแค่นักล่าค่าหัวคนเดียว ถึงตายไปตรงไหนสักแห่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก็ไม่มีคนสนใจอยู่ดี
อย่างมากสุดก็เป็นเพราะเขาคือผู้ใช้พลังจิตระดับสูง สามารถขึ้นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ได้หลายวัน
เพียงแต่เจิ้งฮวนนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาเร็วขนาดนี้ เขาเก็บเข็มโลหะผสมก่อนจะเงยหน้ามองไปที่ไกล
“เจิ้งฮวน” ตรงที่รกร้างไกลออกไป ชายหญิงคู่หนึ่งที่สวมเครื่องแบบแนบเนื้อสีขาวทิ้งตัวลงมาจากฟ้าอย่างช้าๆ แล้วหยุดอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงร้อยเมตร
“ครั้งนี้แกหนีไม่รอดแล้ว…” ผู้หญิงคนนั้นผุดสีหน้าเย็นชา ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
……………………………………….