ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1033 สัมผัส (1)
บ่าวสาวใหม่มาถึงช่วงดื่มเหล้าอวยพรในเวลาไม่นาน โต๊ะแต่ละโต๊ะทยอยดื่มเหล้าอวยพรให้
เมื่อดื่มเหล้าอวยพรเสร็จ ก็เป็นรอบพิธีท้องถิ่นสารพัดอย่าง ทั้งสองเดี๋ยวคุกเข่า เดี๋ยวท่องบทสวดเหมือนกับตุ๊ก กตาชักใยภายใต้การสั่งการของพิธีกร ขนาดคนนอกอย่างลู่เซิ่งเห็นแล้วยังเหนื่อยแทน
หลังผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเนื้อหาทั้งหมดก็จบลง งานแต่งงานค่อยเสร็จสิ้น
ทุกคนเริ่มกินอาหารอย่างเป็นทางการ เมนูที่ได้รับการคัดเลือกอย่างประณีตถูกเสิร์ฟเป็นระยะ เป็นอาหารยอดฮิตที่รา าคาไม่แพง แต่คุ้มค่าและมีรสชาติไม่เลว
หวังเฉิงมานั่งกินอาหารที่โต๊ะแล้วเช่นกัน
เขากินไปพลางเกลี้ยกล่อมให้ลู่เซิ่งลาออกจากงานไปพลาง ลูกผู้น้องกับภรรยานั่งอยู่อีกด้านของลู่เซิ่ง กระซิบกระซา าบกันเบาๆ จึงไม่มีใครได้ยิน
เพียงแต่ลู่เซิ่งทำงานเป็นผู้ดูแลห้องสมุดมาโดยตลอดเพราะต้องการตอบสนองความปรารถนาเดิมของหวังมู่ ย่อมเปลี่ยนงานไ ไม่ได้
หลังกินข้าวและใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายงานเลี้ยงแต่งงานก็จบลง
แขกทยอยลุกจากไป สักพักต่อมาโถงแต่งงานที่ใหญ่โตก็เหลือแต่ญาติของตระกูลหวังเท่านั้น
“มาๆ พวกเราคนกันเองมากินด้วยกัน!” หวังจวินหาวลากคนที่กำลังจะไปกลับมา แล้วมองไปยังลู่เซิ่งที่เพิ่งจะลุกขึ้น
“ห้ามไปไหนทั้งนั้น พวกเรามาดื่มด้วยกันสักแก้ว! ไม่ได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้กี่ปีแล้วนะ” ความจริงเขา เป็นคนหัวโบราณมาก ให้ความสำคัญกับแนวคิดเรื่องครอบครัวแบบโบราณ
เขาปฏิบัติกับน้องๆ ของตระกูลหวัง และลูกๆ ของพวกเขาเหมือนกับคนในครอบครัว
คนของตระกูลหวังทั้งหมดถูกเขาลากมารวมตัวกันที่โต๊ะตัวเดียว นอกจากพ่อของหวังมู่แล้ว คนอื่นๆ ต่างมากันครบ
คุณลุงให้คนของโรงแรมยกกับข้าวมาอีกชุด ตามด้วยเหล้าชนิดต่างๆ
“ครั้งนี้ขอบใจทุกคนจริงๆ ที่คอยช่วยเหลือ! ก่อนหน้านี้ฉันกับฮุ่ยจือเกือบไม่ไหวจริงๆ ขอขอบคุณบ้านน้องสามตรงนี เลยก็แล้วกัน!”
หวังจวินหาวลุกขึ้นแล้วเงยหน้าดื่มเหล้าขาวให้กับลุงสามของหวังมู่
“พี่ใหญ่พูดอะไรอย่างนั้น!? เป็นคนบ้านเดียวกันแท้ๆ พวกเราไม่ช่วยพี่แล้วใครจะช่วยล่ะ!? ต่อจากนี้ถ้าพวกเรามีเรื่อ องอะไร พี่จะต้องมาช่วยทันทีเลยนะ! รับปากด้วย!”
ลุงสามเป็นคุณครู สวมแว่นตา ร่างผอมสูง ดูมีการศึกษา เวลาทำอะไรหรือพูดอะไรต่างตรงไปตรงมา หยิบเหล้าขึ้นดื่มค คนเดียวแก้วหนึ่ง
ทุกคนสะท้อนใจว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นล้ำค่า จากนั้นก็คุยโวอะไรกันอีกสักพัก ค่อยพูดถึงเรื่องของหวังจื่ ออวิ๋นลูกสาวของลุงใหญ่
“เสี่ยวอวิ๋นจะสมัครสาขาอะไร” ลุงสองที่ถือแก้วเหล้าอยู่ถาม “ลุงว่าสมัครสาขาออกแบบเครื่องแต่งกายสิ ตอนนี้พวก สาวๆ ชอบอะไรพวกนี้กันไม่ใช่เหรอ หากสนใจค่อยสร้างชื่อได้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่ดี แย่เหมือนเสี่ยวจิ้งเอานะ”
เสี่ยวจิ้งเป็นลูกสาวของเขาเอง อายุยี่สิบหกแล้ว เรียนจบมาหลายปี แต่ตอนนี้ยังหางานไปทั่ว หาอยู่หลายแห่งก็ ยังไม่เจออาชีพที่เหมาะสม เป็นเพราะสาขาที่เธอเรียนมาไม่เป็นที่ต้องการ งานที่หาได้ล้วนเป็นงานที่เงินเดือนต่ำ ำ
ตอนนี้หวังรั่วจิ้งกลายเป็นตัวอย่างด้านลบที่ทุกคนเรียกชื่อกันตรงๆ คนอื่นๆ ก็ใช้หวังรั่วจิ้งเป็นตัวอย่างที่ไม ม่ดีให้แก่หวังจื่ออวิ๋นเช่นกัน
หญิงสาวคนนี้นั่งอยู่บนโต๊ะ เป็นผู้หญิงร่างผอมที่สวยมากคนหนึ่ง เธอสวมเชิ้ตสีขาวและกระโปรงสีดำแบบง่ายๆ ดูดีอยู่หลายส่วน พอถูกพูดถึงหลายรอบ สีหน้าเธอก็ดูไม่ดีบ้างแล้ว
“ยังมีอามู่อีกคน...” ลุงสองพูดเปิดเผย เริ่มเรียกชื่อลู่เซิ่งต่อ
คนอื่นๆ เองก็ดุเขายกหนึ่ง ปฏิบัติอะไรไม่ต่างจากหวังรั่วจิ้งเมื่อครู่
หวังรั่วจิ้งมองเขาอย่างค่อนข้างเห็นใจ ให้ความรู้สึกเป็นคนหัวอกเดียวกัน
“หวังมู่ แกก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่อาชีพของแกหาเมียยากจริงๆ ฉันถามให้แกหลายคนแล้ว แต่พอพวกหล่อนรู้เงินเดื อนแกก็ปฏิเสธกันหมด” ลุงใหญ่รำคาญใจ
เงินเดือนของหวังมู่พอจะเลี้ยงตัวเองได้เท่านั้น อย่าว่าแต่ภรรยา ภายหลังยังมีลูกอีก ต่อให้มีคนยินดี แต่หากเก กิดลูกออกมา ใครจะเป็นคนเลี้ยงล่ะ
“ผมรู้ เรื่องของผม ผมรู้ดีครับ” ลู่เซิ่งตอบยิ้มๆ
พูดตามจริง นอกจากพ่อของหวังมู่แล้ว ญาติๆ ที่อยู่ที่นี่ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ต่างก็สนิทกันมาก
“แล้วแกคิดถึงอนาคตแล้วเหรอ ตอนนี้เงินเดือนของแกเลี้ยงตัวเองได้ไม่มีปัญหา แต่ต่อจากนั้นล่ะ จะไม่แต่งงานไม่มีล ลูกหรือไง นมผง ผ้าอ้อม กับของเล่นต้องใช้เงินทั้งนั้นนะ”
คุณป้าเริ่มล้างสมองลู่เซิ่ง สั่งสอนอย่างจริงใจ
อีกด้านหนึ่ง หวังรั่วจิ้งเอง ก็กำลังถูกลุงสองสั่งสอนเช่นกัน เนื้อหามีส่วนคล้ายๆ กัน
หัวข้อของคนทั้งสอง กลายเป็นศูนย์กลางของงานเลี้ยงประจำบ้าน
น้องห่างๆ หวังจื่ออวิ๋นที่ถือโทรศัพท์อยู่รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นตัวประกอบ ทั้งๆ ที่เธอควรเป็นตัวหลักแท้ๆ
เธอมองหวังรั่วจิ้งกับหวังมู่อย่างหงุดหงิดและไม่ชอบใจอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งเองก็ไม่สนใจว่าใครจะพูดอะไร เพียงแต่ยิ้มพลางพยักหน้าเท่านั้น
ลุงใหญ่เห็นดังนั้นก็ร้อนใจ
เขามองดูหวังมู่ที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เอาแต่ยิ้มแย้ม การตัดสินใจที่ก่อนหน้านี้ยังไม่แน่ใจเริ่มจะเด็ดขาดขึ้น
เขามีเส้นสายบางส่วนในโรงงานกลั่นเหล้าของหวังเฉิง บวกกับหวังเฉิงก็ทำงานในนั้นได้อย่างราบรื่น และห้องสมุดพน นักงานด้านในต้องการหาคนมาดูแลพอดี
เขาวางแผนว่าจะพาลูกชายไปมอบของขวัญให้หัวหน้าที่ดูแลสาขานี้สักหน่อย ดูว่าจะมีโอกาสยัดหวังมู่เข้าไปได้หรือไ ไม่
นี่ก็เป็นงานดูแลหนังสือเหมือนกัน ครั้งนี้หวังมู่ต้องไม่บอกปัดแน่
งานเลี้ยงครอบครัวจบลงอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งไปห้องน้ำ หลังจัดการธุระและล้างมือเสร็จแล้วก็ออกมา
เขาเจอหวังรั่วจิ้งที่เดินออกมาพอดี
ลู่เซิ่งมีภาพความทรงจำที่ดีต่อหญิงสาวที่มีชื่อยาวกว่าหวังจิ้งคนนี้ เหมือนจะเป็นผู้หญิงที่แกร่งมาก ไม่ว่าอ อย่างไรก็ไม่ต้องการให้คนในบ้านช่วย
ครั้งนี้ทั้งสองเป็นเป้าหมายที่ถูกรุมวิพากษ์วิจารณ์ เวลานี้มาเจอกัน ให้ความรู้สึกเหมือนคนหัวอกเดียวกัน
“พี่จะฟังลุงใหญ่ไหมคะ” หวังรั่วจิ้งเดินมาเปิดน้ำล้างมือ
“พวกท่านมีเจตนาดี แต่ฉันมีแผนการของตัวเองอยู่แล้วน่ะ” ลู่เซิ่งยิ้มพลางส่ายหน้า
“ใช่ อีกสักพักฉันจะลองอาชีพใหม่ดู งานวิศวกรรมชลศาสตร์เมื่อก่อนหน้านี้ทำไม่ไหวจริงๆ…” หวังรั่วจิ้งถอนใจ
ความจริงเธอเป็นคนที่มีความดื้อรั้นอยู่บ้าง คิดจะยืนกรานในทิศทางที่ตัวเองสนใจ แต่ความจริงกลับตบหน้าเธออย่า างจัง
“ลองเยอะๆ ก็ดีนะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “แม้รายรับของฉันในตอนนี้จะไม่มาก แต่ก็พอสำหรับใช้ชีวิตคนเดียว ไอ้เรื่อง ที่ลุงใหญ่พูดพวกนั้นน่ะ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลย…วันหน้า…ฉันอยากหาผู้หญิงธรรมดาสักคนมาใช้ชีวิตด้วยกัน”
“แบบนั้นจะลำบากเอานะคะ” หวังรั่วจิ้งกล่าวพลางส่ายหน้า
“บางที ฉันอาจเป็นคนประเภทไร้ความทะเยอทะยานล่ะมั้ง” ลู่เซิ่งหัวเราะ “ฉันอยากจะใช้ชีวิตกับคนที่รักในอนาคต ทุกว วันหาอะไรอร่อยๆ กิน เดินเล่นใกล้ๆ บ้านเหมือนนักท่องเที่ยว ทำเรื่องที่ตัวเองชอบทำ…แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”
เขาเริ่มนึกย้อนถึงตอนที่ได้อยู่กับเฉินอวิ๋นซีและหวังจิ้ง
นี่เป็นความคิดที่แท้จริงของเขา
รอจนทุกอย่างเรียบร้อย ค่อยหาจักรวาลที่ไม่รู้จักสักแห่ง แล้วใช้ชีวิตกับหวังจิ้ง
ทุกๆ วันกินอิ่มแปล้ และเดินเล่นในจักรวาลรอบๆ เสมือนการท่องเที่ยว
เวลามีอะไรกันไม่ต้องกลัวจะทำใครตาย เวลากินก็ไม่ต้องกลัวว่าจะกินจนเผ่าพันธุ์สูญพันธุ์
ความจริงนี่เป็นภาพฝันของลู่เซิ่ง
“อย่างนั้นพี่ก็เป็นคนมักน้อยจริงๆ นะคะ…” หวังรั่วจิ้งเอ่ยอย่างชื่นชม
“ใช่ ฉันเป็นคนมักน้อยแบบนี้นี่แหละ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ความจริงหลายๆ ครั้งเวลาเจอปัญหา ฉันก็มักจะปล่อยให้เรื องมันจบๆ ไปมากกว่า แต่สุดท้ายคนที่ถูกบีบบังคับกลับเป็นฉันทุกที…”
“อดทนเพื่อชีวิตที่สงบสุข ฉันเข้าใจพี่ค่ะ” หวังรั่วจิ้งพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ใช่แล้ว…อยู่ดีๆ ใครมันจะไปหาเรื่องใส่ตัวกัน” ลู่เซิ่งย้อนนึกถึงเรื่องราวมากมายที่ได้เจอมาเมื่อก่อนหน้าอย่า างสะทกสะท้อนใจ “ฉันอยากจะหาผู้หญิงดีๆ สักคนมาแต่งงาน จากนั้นมีลูก ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างเรียบง่าย มีความสุขสบาย ยของตัวเอง…”
“พี่ใหญ่! แย่แล้วครับ! เจิ้งฮวนถูกคนเล่นงานมา!” ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ร่างกำยำล่ำสันหลายคนก็พุ่งเข้ามา พร้อมตะโก กนใส่ลู่เซิ่งด้วยใบหน้าเร่งร้อน
“นายท่าน!”
“พี่ใหญ่!”
“ประมุขโถง”
“ตอนที่ถูกพบตัว พี่ฮวนก็อาการร่อแร่แล้ว พวกเราไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่รอท่านไปช่วยชีวิต!”
สมาชิกโถงเก้าชีวิตหลายคนที่เพิ่งเข้าร่วมร้อนใจจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ
“พวกแก…” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าอึ้งงัน ก่อนมองหวังรั่วจิ้งที่มีสีหน้าตกตะลึงงุนงงเหมือนกัน
“ตายไปสองแล้วครับพี่ใหญ่! ถ้ายังไม่ไปจะไม่ทันกาลเอานะครับ!” คนที่เป็นผู้นำเดินพล่าน เหงื่อบนตัวทำให้เสื้อ อกล้ามเปียกชุ่ม
เสื้อกล้ามที่เปียกชุ่มทำให้ปืนสั่นสะเทือนและมีดสั้นระเบิดพลังไฟฟ้าที่เต็มไปด้วยฟันเลื่อยตรงเอวของเขาเด่นชัดข ขึ้น
ชายฉกรรจ์ร่างล่ำสันสี่ห้าคนรุมล้อมเข้ามา สักรอยสักดุร้าย มองดูไม่เหมือนคนดี
“…ช่างเถอะ ไปกัน” ลู่เซิ่งถอนใจยาว ทำไมต้องมีคนบีบบังคับเขาตลอดด้วย เขาก็แค่อยากใช้ชีวิตธรรมดาๆ แบบคนทั่ วไปเท่านั้น หรือแบบนี้ก็ยังผิดอีก
เขาเดินออกจากห้องน้ำก่อน ด้านหลังคือหวังรั่วจิ้งที่มีสีหน้าตกตะลึง
“ไปไกลๆ! อย่ามาเดินกับฉัน! ฉันไม่รู้จักพวกแก!” เสียงด่าอย่างโมโหของลู่เซิ่งดังมา
“ครับๆๆ!”
หวังรั่วจิ้งกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าเมื่อครู่ตนเห็นภาพหลอนใช่หรือไม่
เธอรีบก้มหน้าลงเปิดก๊อกน้ำแล้วล้างหน้าแรงๆ
‘ชีวิตของหวังมู่ธรรมดามากเลย’ ไม่รู้เพราะอะไร พอเธอนึกถึงสีหน้าของหวังมู่ตอนพูดกันเมื่อครู่ ก็อยากหัวเราะ ะโดยไม่รู้ตัว
แกร๊ก
ประตูห้องน้ำที่อยู่ด้านข้างเปิดออก หวังจื่ออวิ๋นเดินออกมาด้วยสีหน้างงงัน ก่อนจะเจอกับหวังรั่วจิ้งที่มีสีหน น้าผิดปกติเช่นกัน
ทั้งสองกะพริบตาพร้อมกัน ไม่ทราบว่าเวลานี้ควรแสดงสีหน้าอย่างไรดี
…
ตูม!
ลู่เซิ่งถีบชายฉกรรจ์ที่มาแจ้งข่าวจนกระเด็นออกไปสิบกว่าเมตร
“ก่อนหน้านี้ฉันบอกพวกแกไปว่ายังไง หือ!?”
เขาจับคอของชายฉกรรจ์อีกคน ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะดิ้นทุรนทุรายขนาดไหน ลากอีกฝ่ายเดินไปยังประตูโรงพยาบาลส่วนบ บุคคลสำหรับใช้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นของโถงเก้าชีวิต
“มาหาฉันต่อหน้าครอบครัวของฉัน แถมยังแต่งตัวแบบนี้อีก คำพูดของฉันเมื่อก่อนหน้านี้ พวกแกฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา หรือไง”
เปรี้ยง!
เขากระแทกชายฉกรรจ์ในมือเข้ากับประตูใหญ่ ประตูของโพรงพยาบาลพลันถูกฟาดจนระเบิดและเปลี่ยนรูป
กรวดหินและฝุ่นผงมากมายร่วงลงมาจากรอยแยก ทำให้บริเวณรอบๆ ขมุกขมัวน้อยๆ
ลู่เซิ่งไม่เหลือบแลชายฉกรรจ์ที่ร้องโหยหวนอยู่แทบเท้า หากสาวเท้าเข้าไปในโรงพยาบาล
“ประมุขโถง!”
“ประมุขโถง!”
ชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำกลุ่มหนึ่งที่พกพาอาวุธและมีดสั้น ทักทายลู่เซิ่งอย่างเคารพ
ลู่เซิ่งไม่มองคนกลุ่มนี้ เห็นเจิ้งฮวนที่ถูกพันผ้าพันแผลเป็นมัมมี่ทันที