ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1036 ถนนกลางคืน (2)
ในจำนวนนี้จำเป็นต้องบอกว่าหงซื่อกับอันซาเป็นอัจฉริยะ
พวกเขาได้สร้างวิธีการที่ใช้อนุภาคพลังงานไฟฟ้าเพิ่มความเร็วในการฝึกวิชาแบกภาระ
พวกเขาซึ่งมาทีหลังได้แซงพี่น้องไป๋จวิ้นเฉิงไปแล้ว มีความสามารถในด้านวิชาต่อสู้แบกภาระล้ำลึกกว่า
ปัจจุบันพวกเขาได้ไปถึงจุดสูงสุดของระดับจิตปลอดโปร่งแล้ว เมื่อแต่ละคนสวมชุดเกราะอัลลอยด์ จะแสดงพลังทำลายล้างออกมาได้หลายตัน
กริ๊งๆๆ…
ทันใดนั้นโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะก็ส่งเสียงเรียกเข้าออกมา
เสียงเรียกเข้าที่ไพเราะดึงลู่เซิ่งออกจากภวังค์
เขายื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา บนจอแสดงชื่อของเว่ยหานตง
“เรื่องอะไร”
“อาจารย์ ศิษย์พี่หงซื่อเพิ่งกลับมาครับ กลุ่มสการ์เล็ตในจังหวัดลักแซมย่อยยับแล้ว” เว่ยหานตงเอ่ยเสียงนอบน้อม
“งั้นเหรอ ให้เธอพักไปเที่ยวหลายๆ วันหน่อย เธอจะกลับบ้านไม่ใช่เหรอ ให้เวลาเธอพักสิบวันก็แล้วกัน”
“ไม่ใช่ครับ…อีกสักสองวันศิษย์พี่จะไปเยี่ยมอาจารย์ครับ” ในน้ำเสียงของเว่ยหานตงแฝงความอิจฉา
“หือ” ลู่เซิ่งงุนงงก่อนจะค่อยๆ ยืดตัวตรง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตกใจหลังจากมาถึงโลกใบนี้
“เธอแน่ใจนะ” เขาถามเสียงขรึม
“แน่ใจครับ ตอนศิษย์พี่ซื้อเตาปฏิกรณ์พลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก ผมได้ช่วยลงทะเบียนให้เธอ ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะทำสำเร็จแล้วจริงๆ” เว่ยหานตงข่มความตื่นเต้นในใจ
ลู่เซิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มปลาบปลื้ม
“ช่างน่า…ประหลาดใจจริงๆ…”
หงซื่อมีพรสวรรค์ จิตใจ ความแน่วแน่ และความโหดเหี้ยมต่างอยู่ในระดับสูง เธอมีชาติกำเนิดโดดเด่น กลับไม่ลุ่มหลงมัวเมา ทั้งยังแสวงหาพลังของตัวเองอย่างบ้าคลั่งราวกับต้องมนต์สะกด
หลังจากถูกตัดสินว่าไม่มีพรสวรรค์ด้านพลังจิต เธอก็แสวงหาวิชาต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เธอได้ยื่นเรื่องทดลองใช้พลังนิวเคลียร์เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่วิชาต่อสู้แบกภาระ
ลู่เซิ่งถ่ายทอดวิชาต่อสู้แบกภาระทั้งหมดให้พวกเขาไปนานแล้ว
สิ่งที่หงซื่อเลือกคือหงส์ชาด
โดยธรรมชาติแล้ว วิชาต่อสู้แบกภาระเป็นฐานของวิชาเกลียวเก้าชีวิต มีทั้งหมดเก้าระดับ เมื่อไปถึงจุดสูงสุด ดาบหอกจะฟันแทงแทบไม่เข้า สามารถต้านทานกระสุนปืนกลขนาดเล็กทั่วไปและปืนเลเซอร์ธรรมดาๆ ได้
พละกำลัง ความเร็ว และความทนทานจะไปถึงขั้นก้าวข้ามขีดจำกัดทางร่างกายมนุษย์ได้
นี่เป็นตัวแทนการขุดค้นขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ในโลกใบนี้
แต่ในเวลาสั้นๆ หงซื่อได้ฝึกวิชาต่อสู้แบกภาระถึงจุดสูงสุด ทั้งยังสร้างวิชาหนึ่งขึ้นมา เป็นวิชาที่ใช้กายเนื้อดูดซับรังสีนิวเคลียร์
เธอที่ใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์ได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ทำลายโซ่ตรวนของวิชาต่อสู้แบกภาระ และเดินบนเส้นทางที่ลู่เซิ่งไม่เคยสัมผัสมาก่อน
นั่นก็คือการใช้วิทยาการเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
‘น่าสนใจ…มีพรสวรรค์ความสามารถขนาดนี้ ไม่เสียทีที่เกิดมาบนโลกแบบนี้จริงๆ…’ ลู่เซิ่งรู้สึกสนใจในตัวลูกศิษย์เป็นครั้งแรก
เขารู้จุดประสงค์ที่หงซื่อจะมาเยี่ยมเขา
ต่อให้เขาไม่คิดจะเพาะเมล็ดทำลายจิตในโถงเก้าชีวิต แต่เพราะอิทธิพลของเขา ศิษย์ทั้งหมดในหน่วยหลักต่างก็มองเขาว่าไร้เทียมทาน
นี่เป็นทั้งความเคารพยำเกรงและเงามืดทางจิตใจที่มองไม่เห็น
มันอาจจะไม่มีผลกระทบสำหรับศิษย์ทั่วไป
แต่ผู้เข้มแข็งที่ความสามารถและพรสวรรค์ไปถึงจุดสูงสุดอย่างหงซื่อ ย่อมไม่ยอมตกเป็นรองคนอื่นตลอดไป
ลู่เซิ่งเคยเปรยในโถงเก้าชีวิตว่า ผู้เข้มแข็งคือเจ้า ปัจจุบันเขาแข็งแกร่งที่สุดในโถงเก้าชีวิต ดังนั้นเขาจึงเป็นประมุขโถง
ส่วนคนอื่นๆ ใครแข็งแกร่งกว่า ก็ให้คนนั้นมารับตำแหน่งประมุขโถงเก้าชีวิต
เวลานี้หงซื่อเพิ่งเลื่อนระดับพลังสำเร็จก็จะมาเยี่ยมทันที ทั้งยังเป็นหลังจากที่ได้เห็นฉากน่ากลัวที่เขาทำให้ตึกหักในการโจมตีเพียงครั้งเดียวด้วย
แสดงให้เห็นว่า พลังของเธอเพิ่มขึ้นอย่างน่าสะพรึงขนาดไหน
ลู่เซิ่งตัดสายโทรศัพท์แล้ววางมันไว้บนโต๊ะ
หลังจากมีการขุดค้นเหมืองหินกิเลนอย่างต่อเนื่อง ในเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา เขาเคยไปยังเหมืองเพียงลำพัง แต่ที่นั่นยังไม่ผ่านการสกัด พลังอาวรณ์ที่ดูดซับได้จึงมีไม่มากนัก
ภายใต้การคิดถึงผลได้ผลเสีย การรอให้ขุดค้นจนเสร็จค่อยดูดซับหินกิเลน จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า
ลู่เซิ่งรออยู่ในเมืองมาโดยตลอด แต่ละวันสงบใจฝึกฝนและคอยสั่งสอนศิษย์เพื่อรอให้การปรับร่างจบลง
กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้จึงหาอะไรมาอ้างอิงไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบดู เขารู้สึกว่าร่างกายนี้มีพลังถึงหนึ่งในล้านส่วนของร่างหลักของเขาที่อยู่ในโลกมารสวรรค์แล้ว
นี่เป็นตัวเลขที่น่าสะพรึงกลัว
พึงทราบว่าร่างหลักของเขาเป็นผู้ปกครองมารสวรรค์ระดับสูงสุดที่ทำลายระบบดาวได้ตามใจชอบ หนึ่งในล้านส่วนของร่างหลักอยู่ในระดับทำลายผิวดาวเคราะห์ได้อย่างง่ายดาย
พูดอีกอย่างก็คือ เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่เขาได้รับพลังทำลายล้างหนึ่งในล้านส่วนของร่างหลักตอนอยู่บนโลกมารสวรรค์มาแล้ว
‘น่าเสียดายที่ยังไม่มีข่าวของหนิงเอ๋อร์ และหาร่องรอยการมาถึงของสิ่งมีชีวิตใดๆ ไม่เจอ’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมุ่น ‘จักรวาลแห่งนี้ใหญ่เกินไป จำเป็นต้องขยับขยายขุมกำลังโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นหากเป็นแบบนี้ต่อไป เราจะหาลูกเจอตอนไหน’
ใคร่ครวญสักพัก ยังคงคิดหาวิธีไม่เจอ ลู่เซิ่งจึงได้แต่โทรศัพท์สั่งชานมไข่มุกด้วยความจนปัญญา
เพิ่งจะสั่งเสร็จ ชานมยังไม่มาส่ง ก็มีข้อความส่งมาทางโทรศัพท์
ความจริงคนที่ลู่เซิ่งให้เบอร์โทรศัพท์นี้มีไม่กี่คน นอกจากคนในหน่วยหลักแล้ว ก็เป็นญาติทางฝั่งลุงๆ ที่ดีกับเขา
ลู่เซิ่งเปิดข้อความอ่าน แล้ววางลงอย่างค่อนข้างหมดคำพูด
เนื้อหาข้อความไม่ยาวนัก
‘พี่คะ ฉันหวังจื่ออวิ๋น ฉันเจอปัญหาที่ร้านคาราโอเกะซิงกวง รีบมาช่วยหน่อยค่ะ!’
ลู่เซิ่งไม่มีความทรงจำใดๆ ต่อหวังจื่ออวิ๋น ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้พูดอะไรกัน ยัยหนูนั่นเอาแต่เชิดหน้าไม่สนใจใคร
ถ้าเป็นหวังเฉิงซึ่งเป็นลูกผู้น้องมีเรื่อง เขายินดีจะไปช่วยเหลือทันที นอกจากนี้หวังจื่ออวิ๋นก็ไม่ได้สนิทกับเขาเสียหน่อย
ตอนนี้เขายุ่งตัวเป็นเกลียว จะมีเวลาไปจัดการเรื่องเล็กๆ ให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้อย่างไร อย่างไรบริวารก็รู้ว่าเป็นครอบครัวเขา ต้องให้การดูแลในที่ลับแน่
ลู่เซิ่งนอนเล่นโทรศัพท์รอชานมอยู่บนโซฟา
ด้วยความเร็วของมือ ปฏิกิริยาตอบสนอง และความสามารถในการตัดสินใจของลู่เซิ่ง เขาอ่านแค่ไม่กี่วินาทีก็ปิดโทรศัพท์ จากนั้นก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนที่ดังมาจากโทรศัพท์ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่นานนักก็มีข้อความส่งมาอีก
‘พี่คะ ฉันเสี่ยวอวิ๋นนะ พี่รีบมาหน่อยค่ะ พวกเราถูกคนขวางไว้ในร้านคาราโอเกะ ออกไปไม่ได้! ช่วยด้วยค่ะ!’
ลู่เซิ่งกวาดตาอ่าน จากนั้นก็หยุด ก่อนจะถามไปทางหน่วยธุรกิจของโถงเก้าชีวิต
ทางนั้นส่งกล้องวงจรปิดทางด้านหวังจื่ออวิ๋นมาให้ลู่เซิ่งดูผ่านโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
เขาเห็นหวังจื่ออวิ๋นทันที เธอกับเพื่อนๆ เหมือนกำลังทะเลาะกับคนอื่นอยู่
ลู่เซิ่งเห็นก็รู้ว่าเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง จึงคร้านจะสนใจ
เขาปิดกล้องวงจรปิดแล้วเปลี่ยนไปเล่นเกมตัวต่อต่อ
อย่างไรขอแค่ไม่เกิดเรื่องใหญ่ เขาก็ไม่มีทางสนใจเรื่องเล็กๆ และไร้สาระของเด็กๆ แบบนี้
…
ณ ร้านคาราโอเกะซิงกวง
หวังอวิ๋นจื่อและเพื่อนๆ ยืนเผชิญหน้ากับคนกลุ่มหนึ่งอยู่บนระเบียง
เมื่อครู่เพื่อนที่มากับพวกเธอเดินเข้าผิดห้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ห้องนั้นไม่ได้ล็อกไว้ หลังเข้าไป ก็เจอคนในห้องกำลังมีอะไรกันอยู่พอดี
อีกฝ่ายโกรธจัด จึงฟาดที่เขี่ยบุหรี่ใส่เพื่อนเธอคนนั้นจนหัวแตก จากนั้นเธอก็ร้องไห้กลับห้องตัวเอง
แม้ทุกคนจะแค้นมาก แต่นักเรียนธรรมดากลุ่มหนึ่งจะไปกล้าทำอะไรใครได้
หลังจากหวังจื่ออวิ๋นแอบได้ยินว่าลูกผู้พี่ออกไปพร้อมชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง ก็เดาออกเลาๆ ว่าลูกผู้พี่จะต้องเป็นมาเฟียที่แอบปิดคนที่บ้านไม่ให้ใครรู้แน่นอน
คนที่โดนฟาดหัวแตกในครั้งนี้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ เธอจึงโมโหและลุกขึ้นทันที
“เหยาเหยา เรื่องนี้เธอไม่ต้องกลัวนะ ลูกผู้พี่ฉันเป็นคนในวงการมาเฟีย ฉันจะส่งข้อความบอกเขามาช่วยเอง!”
จากนั้นเธอก็โทรศัพท์หาลู่เซิ่ง เบอร์โทรศัพท์เธอได้มาจากพ่อ
ผลก็คือเธอโทรไม่ติด หน้าจอแสดงสถานะกำลังโทรตลอดเวลา
จากนั้นเธอที่จนปัญญาก็ได้แต่ส่งข้อความ
ไม่คาดส่งไปสองครั้ง เหมือนหินจมลงมหาสมุทร ไม่มีข้อความตอบกลับสักข้อความ
หวังอวิ๋นจื่อรู้สึกเสียหน้า เพื่อนสนิทหานซูเหยากุมหน้าผากที่เลือดไหลพร้อมมองเธอตาปริบๆ
นักเรียนหญิงคนอื่นต่างรอให้เธอเรียกคนมา
“พวกเธอรอก่อน ฉันจะออกไปโทรศัพท์!” หวังจื่ออวิ๋นหน้าแดงก่ำ วันนี้เธอจะต้องให้ลูกผู้พี่มาระบายความโกรธให้เพื่อนสนิทให้จงได้!
เธอลุกพรวดขึ้น ยังเดินไปไม่ทันถึงประตู
ด้านนอกก็มีคนเคาะประตูพอดี
หวังอวิ๋นจื่อดึงประตูเปิด เห็นคนอ้วนที่หน้าบวมจมูกเขียวและแสดงสีหน้าหวาดผวา พาหญิงสาวแต่งหน้าหนาที่ใบหน้าอาบเลือดคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าห้อง
“ผมมาจากห้องข้างๆ เมื่อครู่พลั้งมือทำร้ายเพื่อนคุณไป ต้องขอโทษจริงๆ นี่เป็นค่ารักษารวมถึงค่าตกใจ ขอให้รับไว้ด้วย”
คนอ้วนยื่นมือส่งเช็คใบหนึ่งให้ด้วยมือสั่นเทา
หวังอวิ๋นจื่อเห็นว่าบนข้อมืออวบของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยรอยเลือด แสดงให้เห็นว่าถูกทุบตีมาอย่างอนาถทีเดียว
“คุณ…” เธอลังเลเล็กน้อย
คนอ้วนและผู้หญิงคนนั้นนึกว่าเธอไม่ยอมรับไว้ พลันร้อนใจ รีบจับมือเธอไว้ พลางกล่าวขอโทษขอโพยและอ้อนวอน ถึงขั้นยังเพิ่มเงินให้ด้วย
หวังอวิ๋นจื่อมองเลขศูนย์บนเช็ค รู้สึกตาลาย
นั่นมันเกือบแสนเลยนะ!
เธอไม่รู้เลยว่าหากไม่มีคนกำชับเป็นพิเศษ เดิมทีคนอ้วนคนนี้จะให้หนึ่งล้าน ตอนนี้ถูกสั่งให้ลดเหลือแสนหนึ่ง เพราะมีคนกลัวว่าถ้าให้เงินเยอะเกินไปจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการเรียนในเวลาปกติของหวังจื่ออวิ๋น หากก่อให้เกิดผลกระทบไม่ดีก็คงไม่คุ้ม
หลังจากขอบอกขอบใจกันไปยกหนึ่ง หวังจื่ออวิ๋นก็อธิบายสถานการณ์ให้หานซูเหยาฟัง เธอไม่กล้ารับเช็คไว้ แต่รับคำขอโทษไว้แทน คนอ้วนไม่ยอม ควักเงินสดมาราวหนึ่งหมื่นกว่าแล้วยัดใส่มือพวกเธอ
เรื่องราวได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์แบบ
สุดท้าย หวังจื่ออวิ๋นก็ยังไม่รู้ว่าสองคนนั่นถูกใครทำร้าย
แต่ลางสังหรณ์บอกเธอว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเกี่ยวข้องกับลูกผู้พี่ที่แปลกหน้าและลึกลับคนนั้น
หลังออกจากร้านคาราโอเกะ หวังจื่ออวิ๋นไม่ได้กลับบ้าน หากเดินไปนั่งลงพักผ่อนบนม้านั่งที่ป้ายรอรถประจำทาง
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา จอยังโชว์ข้อความที่ตนส่งไป ทางฝั่งลูกผู้พี่ไม่ได้ตอบกลับมา
‘ไม่ใช่สิ เวลาที่คนอ้วนคนนั้นมา เป็นตอนที่เราส่งข้อความไปไม่กี่นาทีพอดี’ หวังจื่ออวิ๋นรู้สึกว่าเจอเบาะแสแล้ว
เธอรู้สึกว่าตัวเองควรทดลองดู เป็นไปได้มากว่าลูกผู้พี่จะส่งคนมาคอยปกป้องเธอในที่ลับ
ถ้ายืนยันได้ว่ามีคนคอยปกป้องเธออยู่ในที่ลับจริงๆ อย่างนั้นขุมกำลังของลูกผู้พี่ในที่แจ้งก็ต้องแข็งแกร่งกว่าที่จินตนาการไว้เลยไม่ใช่เหรอ
อย่างนั้นต่อจากนี้เธอก็ไม่ต้องกลัวใครแล้วสิ
หวังจื่ออวิ๋นตื่นเต้นกว่าเดิม ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและความรู้สึกลึกลับในการตามหาคำตอบนี้ ทำให้เธอเกิดความรู้สึกเหมือนหยุดไม่ได้
เธอเพ้อฝันว่าต่อจากนี้ตนจะกลายเป็นสาวมาเฟียในเมืองอันหมิง ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวใคร หากไม่ถูกใจใคร ก็เล่นงานคนนั้น
มันจะน่าอภิรมย์ขนาดไหน
เปรี้ยง!
รถบรรทุกคันหนึ่งพุ่งมาจากด้านข้าง ชนใส่ที่นั่งรอรถสาธารณะพร้อมร่างหวังจื่ออวิ๋น
เธอกระเด็นออกไป เลือดกระจายออกจากร่าง พลิกกลิ้งไปชนฐานเสาไฟริมถนน จากนั้นก็แน่นิ่งไปเหมือนกับถุงกระสอบขาด
รถคันนั้นเหมือนวางแผนไว้แต่แรก ถอยหลังช่วงหนึ่งอย่างไร้ความลังเล แล้วเลี้ยวโค้งหายไปในม่านราตรีอันล้ำลึกด้วยความรวดเร็ว
……………………………………….